สามีข้า คือพรานป่า - ตอนที่ 327 ไม่อยากกลับบ้าน
ตอนที่ 327 ไม่อยากกลับบ้าน
เซินสิ่งไม่มีอารมณ์จะพูดหยอกล้อด้วย นางจับมือหยุนเกียนเถียนแล้วกล่าวว่า “คุณหนู… องค์ชายแห่งอวหยางมาสู่เฉิงก่อนกําหนด แล้วยังส่งคนสะกดรอยตามข้ามาตั้งแต่ที่สนามสอบแล้ว!”
หยุนเถียนเถียนตกตะลึงและใจหวิวทันทีเมื่อได้ยินคําว่าสนามสอบ หากองค์ชายใหญ่ผู้นี้เป็นคนโฉดที่ต้องการล้างแค้นเป็นการส่วนตัว ก็อาจใช้อํานาจบาตรใหญ่กลั่นแกล้งรังแกเฉินเฉินได้ผลการสอบของเฉินเฉินจะแสดงให้เห็นว่าองค์ชายผู้นี้เป็นคนเช่นไรกันแน่
“เขาสะกดรอยตามเจ้ามาที่นี่ทว่ายังไม่ได้ลงมือทําสิ่งใดมากไปกว่านั้น เช่นนี้จะสร้างปัญหาให้ครอบครัวของเจ้าหรือไม่?”
เซินสิงขมวดคิ้วครุ่นคิดอย่างรอบคอบ “ข้าได้ต่อสู้กับชายผู้นั้น… แม้ว่าเขาจะบอกว่าตนเองเป็นองครักษ์ทว่าระดับของเขายังคงไม่สูงนัก ทักษะการสะกดรอยตามของเขานับว่าพอใช้ทว่ายังไม่เพียงพอที่จะตบตาข้าได้”
“ตามที่เจ้ากล่าวมา ฝ่ายนั้นเพียงแค่สะกดรอยตามและยังไม่คิดจะโจมตีเจ้าก่อนใช่หรือไม่?”
เซินสิ่งพยักหน้ารับก่อนกล่าว “คุณหนู… ถึงแม้ว่าข้าจะคอยติดตามรับใช้ท่านทว่าข้าต้องนําเรื่องนี้ไปเตือนองค์ชายด้วย ไม่ว่าผู้มาเยือนจะเป็นมิตรหรือศัตรูก็ต้องพร้อมรับมืออยู่เสมอยิ่งข่าว มาช้าเช่นนี้ต้องมีบางอย่างผิดพลาดแน่…ไม่ว่าจะเกิดจากสิ่งใดพวกเราก็จะต้องรีบแก้ไขให้เร็วที่
สุด!”
หยุนเสียนเถียนพยักหน้า “ไปส่งข่าวให้แก่องค์ชายของเจ้าเถิด เขาอาจกําลังเตรียมวางแผนรับมืออยู่หรืออาจจะยังไม่รู้สถานการณ์ตอนนี้ก็ได้ เจ้าไม่ต้องห่วง…เราทุกคนที่นี่จะปลอดภัย”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเซิ่นสิงก็โค้งคํานับแล้วถอยหลังเดินออกไปทันที
ชายชุดดํากัดฟันข่มความเจ็บปวดจากบาดแผลฉกรรจ์ เขาฉีกมุมเสื้อออกมาพันแผลไว้อย่างแน่นหนาแล้วกลับไปรายงานเจ้านายของตน
สีหน้าของมู่หรงป้อเปลี่ยนไปทันที “ข้าเป็นถึงรัฐทายาทแห่งอวหยาง แม้จะมียศศักดิ์รองจากองค์ชายอยู่ระดับหนึ่ง ทว่าองครักษ์ที่ราชวงศ์ส่งมาคอยอารักขาข้าก็เป็นหนึ่งในยอดฝีมือที่เก่งกาจเช่นกัน ทว่าเขากลับต้องมาบาดเจ็บสาหัสในเมืองเล็ก ๆ เช่นนี้…ช่างเหนือความคาดหมายเสียจริง
“นายท่าน… ฝีมือของบุคคลผู้นั้นเทียบเท่าระดับราชองครักษ์ คาดว่าจะต้องมีองค์ชายหรือจักรพรรดิมาที่นี่แน่นอน!”
มู่หรงป๊อปฏิเสธทันควัน “เป็นไปไม่ได้! หากมีองค์ชายหรือจักพรรดิมาเมืองนี้ไม่มีทางที่ข้าจะไม่รู้”
“ความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวอาจเกี่ยวข้องกับจุดประสงค์หลักที่พวกเรามาที่นี่… เดิมที่จักรพรรดิโปรดปรานหยุนจึงเอ่อนัก บางทีบุคคลผู้นั้นอาจเป็นองครักษ์ที่จักรพรรดิส่งมาคุ้มครองนางก็ได้ ไม่แปลกที่ต้องใช้องครักษ์หญิงเพราะสามารถไว้วางใจได้เมื่อต้องคอยดูแลนางอย่างใกล้
ชิด”
เมื่อมู่หรงป้อกล่าวจบ เขาก็ครุ่นคิดบางอย่างอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้า “จักรพรรดิเป็นผู้มีจิตใจดีงามเสมอมาจึงไม่น่ากระทําเช่นนั้นเลย… ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าอย่าลืมว่าจักรพรรดิก็กําลังส่งคนออกตามหาหยุนจึงเอ่อไปทั่วทุกหนทุกแห่งหากมีองครักษ์ฝีมือดีคอยพิทักษ์อยู่ข้างกายนางพวกเราก็คงไม่จําเป็นต้องมาตามหาอยู่เช่นนี้แล้วไม่ใช่หรือ?”
องครักษ์ก้มหน้าลงโดยไม่ได้กล่าวสิ่งใด ข้ามีหน้าที่เพียงให้คําแนะนําเท่านั้น ไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจแทนเจ้านาย
“เราจะพักเรื่องนี้ไว้ก่อนเพราะคนผู้นั้นถึงขั้นเอ่ยปากเตือนข้าว่าไม่ควรไปยุ่งเกี่ยว แสดงว่าสถานะของข้าอาจด้อยกว่าอีกฝ่ายจริงฉะนั้นไม่ควรเสี่ยงจะดีกว่า… เด็กชายที่ข้าเห็นในห้องสอบมาจากหมู่บ้านเทพธิดาใช่หรือไม่? เขาเป็นคนมีพรสวรรค์เช่นนั้นย่อมต้องสอบได้อันดับต้นๆ แน่นอน”
“ข้าจะมอบรางวัลแก่เขาในฐานะแขกรับเชิญธรรมดา เพื่อหลีกเลี่ยงการเป็นจุดสนใจของผู้คนแล้วจะใช้โอกาสนี้เพื่อสอบถามเขา เราจะต้องดําเนินการตามแผนอย่างรอบคอบที่สุด เพื่อรากฐานอันมั่นคงในพระราชวังอวหยางตอนบั้นปลายชีวิตของข้าทว่าข้าจะทําเช่นไรให้เด็กนั่นยอมตอบอย่างไม่คลางแคลงใจ?”
บางครั้งการเอาหไปนาเอาตาไปไร่ก็เป็นสิ่งที่ดีในยามวิกฤติ เช่นเดียวกับตอนนี้ที่องรักษ์นิ่งเงียบราวกับว่าไม่ได้ยินรัฐทายาทแห่งอวหยางกําลังบ่นกับตัวเอง
“ช่างเถิด… เจ้าควรรีบไปทําแผลก่อน!”
องครักษ์ออกไปแล้ว ทว่าจนถึงบัดนี้รัฐทายาทแห่งอวหยางก็ยังคงไม่เข้าใจ ว่าองครักษ์หญิงฝีมือล้ําเลิศมาทําอะไรอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้
รัฐทายาทแห่งอวหยางใจเย็นลง ทว่าฝั่งหยุนเคอนั้นกําลังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ข่าวบอกว่าองค์ชายจะมาถึงที่นี่ในอีกครึ่งเดือน ทว่าบัดนี้เขากลับอยู่ในเมืองแล้ว อีกทั้งยังเหิมเกริมถึงขั้นส่งคนมาสะกดรอยตามถึงบ้านอีกด้วย
หยุนเคอนึกย้อนไปเมื่อหลายปีก่อนจนรู้สึกปวดหัวอยู่พักหนึ่ง ในสายตาของเขารัฐทายาทแห่งอวหยางผู้นี้ดูไม่เหมือนคนโฉดแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตามการตัดสินตามความรู้สึกของเขาเช่นนี้ไม่อาจนําไปบอกกับหยุนเสียนเถียนได้ด้วยเกรงว่านางอาจชะล่าใจจนไม่ระวังตัวซึ่งมีโอกาสสูงที่นางจะถูกใครบางคนลอบทําร้าย
การสอบผ่านไปอย่างราบรื่นและผลสอบก็ออกมาดีนัก อันที่จริงนายอําเภอคิดจะประจบรัฐทายาทแห่งอวหยางเพื่อให้เฉินเฉินสอบได้อันดับหนึ่ง ทว่านายอําเภอก็เกรงว่าหากผลออกมาเช่นนี้ จะดูโจ่งแจ้งมากจนเกินไปอีกทั้งยังเกรงว่ารัฐทายาทอาจไม่พอใจได้
หลังจากตกลงกันเป็นเวลานานท้ายที่สุดพวกเขาก็ให้ประกาศว่าเฉินเฉินสอบได้อันดับที่สาม
เมื่อหยุนเถียนเถียนทราบเรื่องผลสอบก็รู้สึกภูมิใจในตัวเฉินเฉินยิ่ง…ช่างดีนักที่นางไม่เคยทอดทิ้งเด็กชายผู้นี้
ส่วนเรื่ององค์ชายใหญ่นั้น หากเขาเป็นคนดีที่ไม่คิดจะล้างแค้นก็คงจะดีนัก ทว่าหากเผลอชะล่าใจไม่ระวังตัวก็อาจทําให้เกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นได้
หยุนเสียนเถียนไม่อาจด่วนสรุปได้ก่อนที่จะได้เห็นมู่หรงป้อด้วยตาของนางเอง
ในไม่ช้าข่าวดีเรื่องผลสอบของเฉินเฉินก็กระจายไปทั่วหมู่บ้าน บัดนี้คนส่วนใหญ่จึงคิดจัดงานเฉลิมฉลองขึ้นเพื่อการนี้โดยเฉพาะ
ทว่าเฉินเฉินกลับคัดค้านที่จะกลับไปยังหมู่บ้านอันรื่นเริงในตอนนี้ เขาไม่อยากกลับบ้านเพราะไม่ต้องการใส่หน้ากากจนสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองด้วยคําสรรเสริญเยินยอของคนเหล่านั้นอีกทั้งยังไม่ชอบการหัวเราะอย่างเสแสรั้งตามมารยาท…แม้จะไม่ชอบก็ต้องแสร้งทําเป็นว่าชอบ
ท้ายที่สุดหยุนเถียนเถียนก็ประนีประนอมได้ ด้วยการมอบหมายให้เฉินไปนําเงินยี่สิบตําลึงไปให้เฉินผิงอันจากนั้นจึงให้เงินจํานวนหนึ่งเพิ่มสําหรับใช้ในการซ่อมแซมโถงบรรพบุรุษของตระกูลเฉิน
เฉินผิงอันยังคงนั่งดื่มสุราอยู่ใต้ต้นไทรใหญ่ตรงทางเข้าหมู่บ้าน สายตาของเขามองไปข้างหน้าอย่างว่างเปล่าโดยไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขากําลังคิดอะไรอยู่ แม้จะมีคนเข้ามาชวนคุยเขาก็ไม่เคยตอบเลยสักครั้ง
เฉินเหยียนหลานชายของเฉินไปก็ได้ไปสอบซิวไฉด้วยทว่าเขาสอบไม่ผ่าน
เด็กชายผู้นี้ไม่ท้อถอยแล้วกลับหมู่บ้านมาพร้อมกับรอยยิ้ม เขาเห็นเฉินผิงอันนั่งอยู่ตรงทางเข้าหมู่บ้านจึงก้าวเข้าไปหาพร้อมทักทายด้วยความเคารพ “ท่านลุง!”
เฉินผิงอันไม่ได้ลืมตาขึ้นเขาเพียงแต่ยกจอกสุราขึ้นจิบ
เฉินเหยียนไม่ได้สนใจท่าทีเฉยเมยนั้นอย่างจริงจังนัก เขาหยิบเงินยี่สิบตําลึงออกจากแขนเสื้อแล้วยื่นให้
“ท่านลุง ข้าว่าท่านควรดื่มสุราให้น้อยลงเพื่อรอให้ถึงวันที่ดีของท่านนะ เฉินเฉินเก่งมาก…เขาทดสอบพรสวรรค์ระดับอาเภอได้ถึงอันดับสาม! อีกไม่นานเขาก็จะได้เข้าสอบเพื่อเลื่อนขั้นอีกผู้ที่เก่งกาจเช่นนี้ในอนาคตต้องได้เป็นขุนนางชั้นสูงแน่นอนท่านลุงต้องดูแลตัวเองให้ดีเพื่อจะได้ มีโอกาสอยู่จนเห็นวันนั้นให้จงได้!”
เฉินผิงอันไม่เชื่อหูตนเองจึงหันกลับมาถาม “เจ้าพูดว่าอย่างไรนะ? อันดับสามหมายความว่าอะไร? เจ้าคิดจะหลอกข้าอย่างนั้นหรือ? เจ้าเด็กคนนั้นเพิ่งจะทบทวนตาราได้แค่ไม่กี่วันเท่านั้น…ดูเหมือนจะไม่ถึงครึ่งปีด้วยซ้ําไม่ใช่หรือ?”