ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - ตอนที่ 93 ซู่เฟยข้องใจ
ภายในวังซู่หย่า พระสนมซู่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม่พูดอะไรออกมาสักคำ เหล่าข้ารับใช้ต่างก็คุกเข่าลงบนพื้น
ผ่านไปครู่ใหญ่จึงมีนางกำนัลเดินเข้ามาจากด้านนอกอย่างเร่งรีบ นางหยุดอยู่ด้านหน้าสนมซู่ "เหนียงเหนียง ที่วังชีอู๋ฝ่าบาทให้เหล่าองครักษ์ล้อมไว้ หม่อมฉันไม่สามารถสืบได้เลยว่าข้างในเกิดอะไรขึ้นบ้าง"
พระสนมซู่ยืนขึ้นอย่างกะทันหันและกล่าวว่า "อะไรนะ องครักษ์หรือ?"
พระสนมซู่คิดกับตัวเองในใจอยู่นานก่อนจะพูดด้วยความสงสัย "ไม่ควรเป็นเช่นนั้นเลย ฮองเฮาเกิดเรื่อง ทำไมจึงส่งทหารมาเฝ้าไว้? หากเด็กในท้องไม่มีแล้ว คนที่ถูกทหารล้อมก็ควรจะเป็นข้า อย่างไรแผนครั้งก่อนของฮองเฮานั้นร้ายกาจยิ่งนัก นางทำให้ข้าผลักนางล้มลงต่อหน้าผู้คนมากมาย ทำให้ทุกคนรู้สึกว่าข้าทำร้ายนาง แต่ถ้าลูกในท้องของนางไม่เป็นอะไร ฝ่าบาทก็น่าจะมาเอาโทษข้าจึงจะถูก"
"หม่อมฉันเองก็ไม่เข้าใจ แต่การต่อสู้ก่อนหน้านี้ช่างน่ากลัวจริงๆ ตอนแรกมีหมอหลวงจากสำนักหมอหลวงไปก่อน หลังจากนั้นไม่นานก็เรียกหมอหลวงไปทั้งสำนัก คิดไปว่าเป็นเพราะเด็กในท้องของฮองเฮาอาจอาการไม่ดีนัก แต่หลังจากนั้นไม่นานฝ่าบาทก็เดินออกมาอย่างโมโห หม่อมฉันยังไม่ทันได้ถามอะไร ที่วังชีอู๋ก็ถูกปิดล้อมแล้วเพคะ" นางกำนัลคนนั้นนึกถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นก็ให้รู้สึกประหลาดยิ่งนักจึงรีบรายงานออกไป
"ตอนนี้นอกจากฮองเฮาแล้วยังมีใครอยู่ในวังชีอู๋อีกบ้าง?" พระสนมซู่ถามหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
นางกำนัลจึงรีบตอบว่า "มีองค์หญิงฮุ่ยกั๋วด้วยเพคะ ตอนที่ฝ่าบาทพาฮองเฮากลับไปที่วังชีอู๋ องค์หญิงก็ตามไปด้วย ต่อมาฝ่าบาทออกไปแล้วสักพักใหญ่ๆ นางจึงค่อยออกมาเพคะ"
พระสนมซู่พยักหน้า "วันนี้พวกเราเตรียมพร้อมไว้ รอดูสถานการณ์ในวันพรุ่งนี้ หากยังไม่สามารถเข้าใจได้เช่นนี้อีก ข้าจะไปตำหนักชิงซินเสียหน่อย"
นางกำนัลพยักหน้าแล้วมองไปที่เหล่าข้ารับใช้ที่คุกเข่าอยู่ด้านหลัง เมื่อพระสนมซู่เห็นดังนั้นก็โบกมือและกล่าวว่า "ไปเถอะๆ เห็นพวกเจ้าคุกเข่าอยู่ที่นี่แล้วข้ารำคาญใจ"
เหล่านางกำนัลและขันทีจึงรีบตอบรับอย่างรวดเร็ว ย่อกายทำความเคารพและออกไปทีละคน
เมื่อไม่มีบุคคลที่สามอยู่ในตำหนักแล้ว นางกำนัลก็กระซิยเสียงเบา "พระสนม ฝ่าบาทได้สั่งให้คนตรวจเรื่องเสื้อคลุมของฮองเฮาในวันนี้แล้ว"
พระสนมซู่ยิ้มบางๆ ดวงตามีแววยินดีปรีดาในความโชคร้ายของผู้อื่น "หากเจ้าไม่พูด ข้าก็เกือบลืมเรื่องนี้ไปเสียแล้ว วันนี้ฮองเฮาผู้เป็นมารดาของแผ่นดินขายหน้าครั้งใหญ่ ให้พวกเขาตรวจสอบไปเถอะ เรื่องนี้ข้าไม่ได้ทำย่อมต้องสืบมาไม่ถึงข้าอยู่แล้ว อย่างมากฝ่าบาทก็คงลงโทษที่ข้ากวดขันบ่าวไพร่หละหลวม อย่างไรเสื้อผ้าก็มาจากกองพระภูษาและข้าเป็นผู้ที่กำกับดูแลวังหลังแห่งนี้ แต่ข้าอยากรู้จริงๆว่าเป็นใครเป็นเป็นผู้ลงมือแทนข้า วิธีนี้เฉียบแหลมมาก เฉียบแหลมยิ่งนัก แม้ว่าฝ่าบาทจะห้ามมิให้ผู้ใดเอ่ยถึงเรื่องนี้ แต่พวกขุนนางที่ปากอยู่ไม่สุขจะต้องบอกว่าฮองเฮาเป็นกาลกิณีหรือเป็นลางร้ายจากสวรรค์ก็เป็นได้ ซื่อเอ๋อร์ พวกเขาสืบได้ความว่าอย่างไรบ้าง?"
สาวใช้ที่พระสนมซู่เรียกว่าซื่อเอ๋อร์ตอบอย่างรวดเร็วว่า "เหนียงเหนียงไม่ต้องเป็นห่วง เป็นดังที่เหนียงเหนียงกล่าว เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเรา อย่างไรก็สืบมาไม่ถึงเรา" พระสนมซู่พยักหน้าเล็กน้อย ยิ้มเย็นที่มุมปากแล้วพูดอีกครั้งหลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง "เพียงแต่การกระทำวันนี้ของหยวนเจินฮองเฮานั้นออกจะผิดปกติไปเล็กน้อย ข้าไม่เห็นเห็นนางเสียอาการเช่นนี้มาก่อน แม้ว่าจะขายหน้าเพียงใด นางมีใจสงสัยข้าก็ไม่น่าที่จะหุนหันพลันแล่นเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้น นางยังมีทายาทมังกรอยู่ในท้องอีก ท่าทีของนางในวันนี้เห็นได้ชัดว่าต้องการจะทำให้ตนเองแท้งแล้วป้ายความผิดให้ข้า อะไรเป็นสาเหตุให้นางทำเช่นนี้กันแน่?"
พระสนมซู่ในใจเต็มไปด้วยความสงสัย ใครเป็นคนวางแผนลงมือกับเสื้อผ้าของฮองเฮาตอนที่อยู่บนหอสักการะต่อหน้าข้าราชบริพารทั้งหลาย? และเหตุใดฮองเฮาจึงได้หุนหันพลันแล่นโดยไม่สนใจเด็กในท้องของนาง ยิ่งไปกว่านั้น สถานการณ์ด้านฮองเฮาตอนนี้เป็นอย่างไรกันแน่?
ในคืนนี้มีคนหลายคนในวังนอนไม่หลับ
วันรุ่งขึ้น องครักษ์ที่ล้อมอยู่ด้านนอกวังของฮองเฮายังไม่ได้ถอนกำลังออกไป เพียงแต่แม้ว่าจักรพรรดิหนิงออกราชโองการไม่ให้ใครแพร่งพรายออกไป แต่เรื่องที่มีอักษร "อัปมงคล" ปรากฏบนชุดพิธีการของนางก็เป็นที่โจษจันกันไปทั่ว ผู้คนจิตใจแตกตื่นและต่างกล่าวว่าฮองเฮาจะต้องทำอะไรที่ขัดบัญชาสวรรค์เป็นแน่ สวรรค์จึงได้ปรากฏเป็นลางร้ายออกมา เกรงว่าแคว้นหนิงจะมีภัยเสียแล้ว
พระสนมซู่รีบพานางกำนัลไปที่ตำหนักชิงซิน เมื่อนางมาถึงก็เห็นว่าหยุนชางกำลังอ่านคัมภีร์พุทธและสิ่งที่นางท่องพึมพำก็คือภาษาพุทธที่พระสนมซู่ไม่เข้าใจนัก
พระสนมซู่นั่งอยู่ด้านข้างสักครู่ หยุนชางจึงเพิ่งจะสังเกตุเห็นนาง หยุนชางรีบยิ้มและกล่าวว่า "ซู่เฟยเหนียงเหนียงมาตั้งแต่เมื่อไหร่เพคะ? ชางเอ๋อร์ไม่รู้ตัวเลยสักนิด"
พระสนมซู่ยิ้มและกล่าวว่า "มาไม่นานหรอก เห็ยว่าชางเอ๋อร์กำลังสวดมนต์อยู่ข้าจึงไม่อยากขัดจังหวะ"
หยุนชางยิ้มและบอกให้ฉิงยีรินน้ำชา
พระสนมซู่โบกมือเล็กน้อย "ไม่ต้องหรอก วันนี้ข้ามีเรื่องจะขอร้ององค์หญิง เมื่อวานฮองเฮาและข้าจะเรื่องเข้าใจผิดกันเล็กน้อย พวกเราทะเลาะกันขึ้นมา หลังจากกลับวังไปแล้วข้ารู้สึกเสียใจมาก กลัวว่าหากข้าไปเองจะทำให้ฮองเฮาโกรธเคือง จึงได้ส่งคนไปหานางเพื่อขอโทษ แต่นางกำนัลกลับมารายงานข้าว่าวังชีอู๋ถูกทหารองครักษ์ล้อมไว้ ข้ารู้สึกกังวลแต่ก็ไม่รู้จะถามอย่างไร วันนี้ข้ารู้สึกเป็นทุกข์นัก ได้ยินว่าเมื่อวานองค์หญิงเข้าไปในวังชีอู๋ด้วย องค์หญิงรู้หรือไม่ว่าฮองเฮาเป็นอย่างไรบ้าง?"
หยุนชางได้ยินเช่นนั้นก็ก้มศีรษะลงและถอนหายใจออกมา ผ่านไปครู่ใหญ่จึงกล่าวขึ้น "เด็ก… ไม่มีแล้ว…"
พระสนมซู่ได้ยินดังนั้นก็ตกใจร่างกายสั่นเทิ้ม ตัวอ่อนจนทรุดลงบนเก้าอี้ ในสมองของนางว่างเปล่า เป็นไปได้อย่างไรกัน? เมื่อวานนางไม่ได้ออกแรงอะไรเลย แล้วทำไมเด็กจึงไม่มีแล้วล่ะ
พระสนมซู่ตกตะลึงอยู่พักหนึ่งจึงนึกขึ้นได้ว่ายังอยู่ในตำหนักชิงซิน นางจึงฝืนยิ้มออกมาเล็กน้อย "ข้ารู้แล้ว ขอบพระทัยองค์หญิง เช่นนั้นข้าก็ไม่อยู่ต่อแล้ว ข้าขอตัวก่อน"
"เช่นนั้นก็ ฉิงยี ช่วยข้าไปส่งซู่เฟยเหนียงเหนียงที" หยุนชางกำชับเสียงเบาแล้วถอนหายใจอีกครั้ง ก้มศีรษะลงและเริ่มสวดมนต์
เมื่อพระสนมซู่ออกมาจากตำหนักชิงซิน เฉี่ยนอินก็หัวเราะออกมาดังๆ "องค์หญิง ท่านร้ายกาจจริงๆ ซู่เฟยเหนียงเหนียงกำลังกำลังวลกับลูกของฮองเฮาที่สุด แต่ท่านกลับโกหกนาง ดูสิ ท่าทางของนางเมื่อครู่ ใบหน้าของนางซีดเผือดลงทันที"
หยุนชางยิ้มเล็กน้อย "ข้าไม่ได้โกหกนางเสียหน่อย ลูกของฮองเฮาไม่มีเสียแล้วจริงๆนี่ นอกจากนี้ เสด็จพ่อจะไม่บอกว่าฮองเฮาแสร้งท้องเป็นแน่ เขาคงพูดได้เพียงลูกของฮองเฮาไม่มีเสียแล้ว หากตระกูลหลี่รู้ข่าวนี้เข้าก็คงโกลาหลแน่ ณ เวลานี้จะไม่มีแพะรับบาปได้อย่างไร ดังนั้นสำหรับซู่เฟยแล้ว สิ่งที่นางต้องแบกรับกับเรื่องที่ฮองเฮาไม่มีลูกแล้วก็เหมือนๆกัน"
เฉี่ยนอินรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดนั้น "แต่ว่าฮองเฮาเป็นฝ่ายหลอกลวงคนอื่นชัดๆ นอกจากนี้นะเพคะ องค์หญิง ซุ่เฟยเหนียงเหนียงเป็นคนของจิ้งอ๋อง"
หยุนชางยิ้มอย่างเย็นชา "คนของจิ้งอ๋อง จิ้งอ๋องรับปากข้าแต่แรกว่าเขาจะไม่ลงมือกับเสด็จแม่ แต่ซู่เฟยกลับทำโดยพลการ คนที่ไม่ฟังคำสั่งนายเช่นนี้ ไม่สู้ให้ข้าช่วยเขากำจัดให้สิ้น ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยนิสัยของจิ้งอ๋องแล้ว ไม่มีทางที่จะมีเพียงซู่เฟยเพียงคนเดียวเท่านั้น แม้ว่าวันนี้ข้าจะร่วมมือกับจิ้งอ๋องแต่ก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าต่อไปข้าจะไม่กลายเป็นศัตรูกับเขา ข้าเองก็อยากดูต่อไปว่านอกจากซู่เฟยแล้ว ในวังนี้จิ้งอ๋องยังมีใครอีก"
แม้ว่าเฉี่ยนอินจะไม่รู้ว่าเจ้านายของนางคิดอะไรอยู่ แต่นางก็ยังรู้สึกได้ว่าที่นางพูดนั้นสมเหตุสมผล ดังนั้นนางจึงไม่ได้พูดอะไรอีก
"ว่าแต่ หมอเฉินอะไรนั่นเป็นอย่างไรบ้าง ตอนนี้ถูกขังอยู่ที่ไหน?" หยุนชางหรี่ตาลง นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นได้อย่างกะทันหัน
เฉี่ยนอินรีบกล่าวว่า "อยู่ในตำหนักที่ไม่มีคนไปยุ่งในวังชีอู๋เพคะ ข้างกายของจิ่นเฟยเหนียงเหนียงมีคนขององค์หญิงเยอะที่สุด หม่อมฉันคิดว่าขังเขาไว้ที่นั้นจะสะดวกกว่า นอกจากนี้ฮองเฮาเองก็คงคิดไม่ถึง…"
"อืม" หยุนชางพยักหน้า "กำจัดเขาเถอะ"
"กุ๊กกูๆ…" ทันใดนั้นก็มีเสียงนกกาเหว่าร้องดังมาจากข้างนอก หยุนชางหันกลับมา นางเลิกคิ้วขึ้น เฉี่ยนอินรีบเปิดหน้าต่างและ ก็เห็นก้อนกระดาษถูกโยนเข้ามาจากนอกหน้าต่าง เฉี่ยนอินหยิบมันขึ้นมาอย่างรวดเร็วและมอบให้หยุนชาง
หยุนชางเปิดก้อนกระดาษนั้นดู เพียงแค่เหลือบดูเล็กน้อยจู่ๆสีหน้าของนางก็เปลี่ยนไป