ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - ตอนที่ 89 บทเรียนเล็กๆน้อยๆสำหรับสนมซู่
นับตั้งแต่ที่ตัดสินใจจะให้บทเรียนเล็กๆ น้อยๆ ให้กับสนมซู่แล้ว หยุนชางก็จับตาดูนางตลอด เพื่อมองหาโอกาส อยู่มาวันหนึ่ง นางได้พูดคุยกับหัวหน้าเจิ้ง ซึ่งเป็นคนของจักรพรรดิหนิง และพูดคุยเกี่ยวกับพิธีพิธีบวงสรวงสวรรค์เทศกาลตั้งโจ่ย หัวหน้าเจิ้งได้กล่าวว่า ในปีที่ผ่านๆ มาฮองเฮาเป็นประธานในการจัดงานโดยตลอด แต่ปีนี้กำลังจะถึงเทศกาลตั้งโจ่ยแล้ว ฮองเฮากลับตั้งครรภ์ขึ้นมา พิธีบวงสรวงสวรรค์นั้นค่อนข้างลำบาก จักรพรรดิหนิงกลัวว่าจะเป็นผลไม่ดีต่อบุตรในท้อง ท่านจึงกำลังครุ่นคิดว่าจะให้สนมซู่มาเป็นประธานจัดงานแทนดีหรือไม่ จักรพรรดิหนิงเองก็เคยกล่าวเรื่องนี้กับสนมซู่โดยทางอ้อม สนมซู่เริ่มเตรียมเครื่ององค์ในวันงานแล้ว
เมื่อหยุนชางได้ยินเช่นนี้ หยุนชางก็ขยันที่จะไปวังของสนมซู่อย่างมาก นางไปคารวะและพูดคุยทุกครั้งที่มีเวลาว่าง แม้ว่าสนมซู่จะรู้สึกแปลก ๆ เล็กน้อย แต่เนื่องด้วยหลังจากที่นางดูแลวังหลังแล้ว คนที่มาประจบนางก็มีมากขึ้น นางจึงมิได้สนใจอะไร เพียงแต่มาเยี่ยมบ่อยเช่นนี้ ก็ได้พบจักรพรรดิหนิงในวังของสนมซู่บ่อยขึ้น
หลังจากพบกันอยู่สามสี่ครั้ง จักรพรรดิหนิงก็รู้สึกได้แล้ว จึงยิ้มและถามหยุนชางว่า "เหตุใดช่วงที่ผ่านมานี้เจ้าจึงมาที่วังสนมซู่บ่อยเช่นนี้?"
หยุนชางยิ้ม และเหลือบมองไปที่สนมซู่ที่นั่งข้างๆ กำลังสั่งให้บ่าวไปเตรียมอาหารกลางวัน แต่เมื่อสนมซู่ได้ยินคำถามของจักรพรรดิหนิง จึงหันไปมองนาง หยุนชางตอบเบา ๆ ว่า "ชางเอ๋อร์อยู่ที่วิหารแคว้นหนิงมานานหลายปี ไม่ค่อยคุ้นเคยกับนางสนมในวังสักเท่าไหร่ และในวังนี้ไม่มีอะไรที่เราจะพูดคุยด้วยได้ บวกกับที่ฟังเสด็จพ่อเล่าว่า ซู่เฟยเหนียงเหนียงเป็นหญิงสาวที่สง่าและจิตใจดี จึงคิดอยากจะสนิทกับท่านขึ้นมา ตอนนี้ซู่เฟยเหนียงเหนียงดูแลวังหลังแห่งนี้ ชางเอ๋อร์ก็อยากจะมาเรียนรู้เจ้าค่ะ เผื่อว่าวันหลังไม่ทราบสิ่งที่ควรทราบ แล้วทำให้เกินเรื่องตลกขึ้นมาเจ้าค่ะ"
หลังจากได้ยินเช่นนี้ สนมซู่ก็หันไปหาหยุนชางและยิ้ม "องค์หญิงกำลังเยาะเย้ยหม่อมฉันนะคะ หากพูดถึงเรื่องสง่าและจิตใจดี หม่อมฉันมิอาจเทียบฮองเฮาเหนียงเหนียงได้เจ้าค่ะ องค์หญิงเติบโตมากับฮองเฮาเหนียงเหนียงมาตั้งแต่ยังเด็ก คงได้สัมผัสและเรียนรู้อะไรมามากมายเช่นกันเจ้าค่ะ"
จักรพรรดิหนิงกลับส่ายหัว " ชางเอ๋อร์มิได้พูดความจริง เจิ้นเชื่อว่านี่เป็นเหตุผลส่วนหนึ่งของเจ้า แต่ไม่ใช่เหตุผลทั้งหมด หากเป็นอย่างที่เจ้าพูดแล้ว เจ้าอยากมาเมื่อไหร่ก็ย่อมได้? แต่เจิ้นว่าช่วงนี้เจ้ามาบ่อยเกินไป"
หยุนชางจงใจเปิดเผยข้อสงสัยเล็กน้อย เพียงรอให้จักรพรรดิหนิงถามคำถามนี้ออกมา และเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ นางก็หัวเราะออกมาด้วยท่าทีที่เขินอายของหญิงสาว " ไม่มีอะไรมาสามารถปิดบังเสด็จพ่อได้จริงๆ เจ้าค่ะ ที่หม่อมฉันมาอยู่บ่อยครั้ง ก็เพราะว่า…"
หยุนชางยกถ้วยน้ำชาในมือขึ้นแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า "น้ำผึ้งอะคาเซียที่อยู่ในนี้ พ่อครัวของวังนี้ทำได้อร่อยอย่างมากเจ้าค่ะ ก่อนหน้านี้สามารถดื่มได้ที่วังของเสด็จแม่เช่นกัน บางครั้งเสด็จแม่เห็นว่าลูกอยากกินท่านก็จะให้กินบ้าง ช่วงนี้วังเสด็จแม่ไม่ค่อยมีแล้วเจ้าค่ะ ชางเอ๋อร์เองก็ไม่กล้าขอเสด็จแม่ จึงวิ่งไปถามพ่อครัวหลวง เขาบอกว่าน้ำผึ้งอะคาเซียนี้เป็นน้ำผึ้งที่ผลิตโดยผึ้งที่เก็บเกสรดอกไม้อะคาเซีย และน้ำผึ้งอะคาเซียในวังนั้นเป็นของบรรณาการจากตระกูลซานเหมินเซียลู่ มีปีละสองสามกระป๋องเท่านั้นเองเจ้าค่ะ ก่อนหน้านี้เสด็จแม่จะมีตลอด แต่ตอนนี้มีแค่ซู่เฟยเหนียงเหนียงที่มีเจ้าค่ะ หม่อมฉันตามมาจากกลิ่นหอมของน้ำผึ้งอะคาเซียเจ้าค่ะ"
เมื่อสนมซู่ได้ยินเช่นนี้ นางก็สั่นสะท้านขึ้นมาทันที มีและตะลึงที่หยุนชางจะพูดเช่นนี้ออกมา หากเป็นเช่นนี้ ฝ่าบาทจะต้องรู้สึกว่าคนเป็นคนดูแลวังหลังนี้ แต่กลับเองสิ่งของที่ดีที่สุดเข้าวังของตนเอง องค์หญิงฮุ่ยกั๋วผู้สง่างามยังต้องมาที่วังของตนเพื่อที่จะได้กินน้ำผึ้งอะคาเซีย นางรู้สึกกังวลใจอย่างมาก จึงรีบมองไปที่จักรพรรดิหนิง แต่ก็บังเอิญเห็นว่าจักรพรรดิหนิงกวาดสายตาที่เย็นชามาที่ตน
"จริงเหรอ? น้ำผึ้งอะคาเซียนี้อร่อยเช่นนี้เชียวหรือ?" จักรพรรดิหนิงละสายตากลับมา แม้ว่าจะสงสัยว่าหยุนชางจงใจฟ้องท่าน แต่เมื่อเห็นสีหน้าของหยุนชางที่ดูไม่รู้เรื่องราวอะไร เขาจึงขจัดความคิดดังกล่าวออกไป แม้ว่าไม่มีผู้หญิงคนใดในวังนี้ที่ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม แต่หยุนชางแตกต่างจากคนอื่นๆ ประการแรกเพราะนางเป็นลูกสาวของจิ่นเฟย และเพราะนางถูกส่งไปอาศัยอยู่ในวิหารแคว้นหนิงตั้งแต่อายุแปดขวบ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขาเชื่อในตัวตนของเจ้าอาวาสอู๋น่า อีกอย่าง ในวิหารนั้น ไม่มีกลอุบาย ดังนั้นจิตใจของหยุนชางจึงเรียบง่ายตามธรรมชาติ และนางคิดอะไรก็พูดเช่นนั้น
หยุนชางพยักหน้าและยิ้มอย่างไร้เดียงสาเล็กน้อย "น้ำผึ้งนี้ของวังซู่เฟยเหนียงเหนียงอร่อยมากเป็นพิเศษเจ้าค่ะ"
ดวงตาของจักรพรรดิหนิงหรี่ลงเล็กน้อย เมื่อสนมซู่เห็นเช่นนี้ นางก็รีบก้าวไปข้างหน้าและกล่าวว่า "หม่อมฉันไม่ทราบเจ้าค่ะ ว่ามีเรื่องเช่นนี้ ขันทีของสำนักห้องเครื่องส่งมาให้เจ้าค่ะ เขาบอกกับหม่อมฉันว่าของสิ่งนี้ช่วยเรื่องหน้าผิวเจ้าค่ะ เป็นเครื่องบรรณาการ หม่อมฉันคิดว่าเหล่านางสนมในวังคงมีกันทุกคน ไม่มีหญิงใดที่ไม่รักสวยรักงามเจ้าค่ะ หม่อมฉันจึงคิดว่า หากหม่อมฉันงามขึ้น ฝ่าบาทก็คงมองหม่อมฉันมากขึ้น จึงมิได้ใส่ใจมากเจ้าค่ะ"
คำพูดที่นุ่มนวลของสนมซู่ทำให้จักรพรรดิหนิงพยักหน้า ในเมื่อขันทีของสำนักห้องเครื่องนำมามอบให้ ถ้าอย่างนั้นเรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวข้องกับสนมซู่แล้ว คงเพราะขันทีสำนักห้องเครื่องนั้นเห็นสถานการณ์เช่นนี้ เห็นว่าสนมซู่เริ่มดูแลวังหลัง จึงคิดหาวิธีประจบประแจงนาง
หยุนชางขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเช่นนี้ "เฮ้ ชางเอ๋อร์คิดว่าเสด็จพ่อให้สนมซู่ดูแลวังหลัง ก็คงดูแลเหล่าห้องเครื่อง สำนักพระภูษาไปด้วย แสดงว่าไม่ใช่หรือเจ้าคะ"
จักรพรรดิหนิงยิ้มและกล่าวว่า "ได้ดูแลแน่นอนสิ วังหลังนี้ก็มีเรื่องวุ่นวายอยู่เพียงเท่านี้แหละ ดูแลค่าอาหารและเสื้อผ้าของคนหลายร้อยคนในวังหลัง แม้ว่าจะดูไม่มีอะไร แต่ก็เหนื่อยมาก"
"อา? ขันทีของห้องเครื่องมิได้นำสมุดบัญชีมามอบให้สนมซู่หรือ? ชางเอ๋อร์จำได้ว่าเมื่อก่อนเสด็จแม่ดูแล ท่านจะมีสมุดบัญชีตลอดเลยเจ้าค่ะ จะมีการบันทึก ว่ามีอะไรบ้าง เมื่ออ่านก็จะกระจ่างทันทีเจ้าค่ะ ชางเอ๋อร์ยังจำได้ว่าครั้งที่แล้วเสด็จแม่ยังชมว่าบัญชีของห้องเครื่องทำได้ละเอียดมากเลยเจ้าค่ะ คงเป็นขันทีห้องเครื่องคิดอยากจะแอบเอาของไป เมื่อเห็นว่าสนมซู่เพิ่งเข้ามาควบคุมดูแลใหม่ๆ จึงไม่ได้มอบสมุดบัญชีให้แก่สนมซู่เจ้าค่ะ"
เมื่อจักรพรรดิหนิงได้ยินเช่นนี้ก็ขมวดคิ้วอีกครั้ง ใช่ ทุกที่ที่อยู่ใต้การควบคุมของวังหลังจะบันทึกทุกการใช้จ่ายไว้ ในเมื่อสนมซู่ดูแลวังหลัง สมุดบัญชีก็จะต้องอยู่ในมือนาง แต่นางกลับบอกว่าไม่รู้ว่าน้ำผึ้งอะคาเซียมีเท่าไหร่ และยังคิดว่ามีทุกตำหนัก หากเป็นเช่นนี้ ไม่เป็นเพราะสนมซู่แอบเอาของดีไป ก็คงเพราะว่าสนมซู่ดูแลวังหลังมิได้ผล ไม่ได้ดูสมุดบัญชีอย่างละเอียด
หลังจากที่สนมซู่ได้ยินคำพูดของหยุนชางแล้ว แทบอยากจะเย็บปากของหยุนชางเสีย เกิดอะไรขึ้นกับองค์หญิงหยุนชาง ทำไมวันนี้ถึงดูเหมือนจงใจหาเรื่องตน
หยุนชางกล่าวอีกครั้งว่า "เสด็จพ่อเจ้าคะ ท่านต้องเอาผิดห้องเครื่องนะเจ้าคะ สนมซู่เป็นผู้ที่ได้รับคำสั่งจากเสด็จให้รับผิดชอบวังหลังนี้ คนของห้องเครื่องกล้าที่จะทำเช่นนี้ได้อย่างไร โชคดีที่เสด็จพ่อได้ทราบเรื่องนี้ก่อน มิฉะนั้นถ้ามีคนเข้าใจสนมซู่ผิดในอนาคต เรื่องนี้คงจะแก้ไขได้ยาก"
จักรพรรดิหนิงเหลือบมองสนมซู่ เห็นว่าใบหน้าของนางแดงเล็กน้อย เขาก็เข้าใจแล้ว จึงพยักหน้าและพูดว่า " ควรที่จะจัดการสักหน่อยแล้วล่ะ"
สนมซู่รู้สึกสั่นสะท้านไปทั้งใจ แต่เพราะจักรพรรดิหนิงยังอยู่ นางจึงไม่กล้าพูดอะไรที่ร้ายแรงกับหยุนชาง จึงทำได้แต่ฝืนยิ้มออกมา และตอบเบา ๆ ว่า "ความคิดของฝ่าบาทนั้นดีเยี่ยมเจ้าค่ะ"
เมื่อหยุนชางเห็นนางสนมซู่เป็นเช่นนี้ นางจึงดื่มน้ำผึ้งอะคาเซียที่อยู่ในแก้วจนหมด ยืนขึ้นและพูดกับจักรพรรดิหนิงว่า "ตอนนี้อากาศเริ่มเย็นขึ้นแล้วเจ้าค่ะ ยังไม่ถึงเวลาค่ำท้องฟ้าก็มืดครึ้มแล้ว หม่อมฉันต้องกลับไปที่ตำหนักชิงซินก่อนเจ้าค่ะ มิฉะนั้นท้องฟ้ามืดลงก็จะเดินทางยากเจ้าค่ะ หม่อมฉันขอลาเจ้าค่ะ" ขณะที่พูดนางก็พาเฉี่ยนอินออกจากวังของสนมซู่ไป