ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - ตอนที่ 90 พิธีบวงสรวงสวรรค์เทศกาลตั้งโจ่ย
ทันทีที่หยุนชางกลับไป ห้องโถงก็เงียบลง หลังจากนั้นไม่นาน ก็ได้ยินเสียงของจักรพรรดิหนิงดังมาอย่างเย็นชา และธรรมชาติเล็กน้อย "เจ้าเตรียมฉลองพระองค์สำหรับพิธีบวงสรวงสวรรค์เทศกาลตั้งโจ่ยหรือยัง?วันนั้นเป็นวันสำคัญ ต้องยิ่งใหญ่"
ใจของสนมซู่ที่กระวนกระวายจึงได้วางลง เดิมทีนางคิดว่าจักรพรรดิหนิงจะพูดคุยกับนางเกี่ยวกับน้ำผึ้งอะคาเซีย ตนยังไม่รู้ว่าจะรับมือกับมันอย่างไรดี จึงกังวลอย่างมาก แต่ไม่คิดว่าท่านจะถามเรื่องนี้ นางสันนิษฐานว่าจักรพรรดิหนิงคงมิได้สนใจสิ่งที่หยุนชางพูด และนางก็สงบใจลงเล็กน้อย
"ใกล้จะเตรียมเสร็จแล้วเจ้าะค่ะ ตามปกติแล้ว ใช้สีดำที่เคร่งขรึม ฉลองพระองค์ของฝ่าบาทเตรียมพร้อมแล้วเจ้าค่ะ และเสื้อคลุมกำลังทำอยู่เจ้าค่ะ…" สนมซู่พูดด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย
จักรพรรดิหนิงพยักหน้า ดูเหมือนว่าท่านจะนึกขึ้นมาได้โดยบังเอิญ กล่าวอย่างสบายๆ ว่า "อีกเรื่องหนึ่ง อีกไม่กี่วันท้องของฮองเฮาก็จะใหญ่ขึ้น เจ้าไปสั่งให้คนที่แต่งตัวให้นางว่าอย่าลืมให้หน้าท้องหลวมเล็กน้อย ไม่ให้ตึงจนเกินไป เดี๋ยวจะส่งผลไม่ดีต่อทารกในครรภ์"
เมื่อสนมซู่ได้ยินเช่นนี้ จึงผงะไปครู่หนึ่ง ฝ่าบาทพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร ก่อนหน้านี้ท่านก็พูดถึงว่า พระราชินีทรงตั้งครรภ์และพิธีการบวงสรวงสวรรค์นั้นซับซ้อนเกินไป กลัวว่าพระราชินีจะลำบาก และนั่นหมายความอย่างชัดเจนว่าต้องการให้นางร่วมพิธีแทนพระราชินี ตอนนี้ตนเตรียมฉลองพระองค์นั้นก็เตรียมตามสัดส่วนของตน แต่ตอนนี้ฝ่าบาทกลับตรัสว่าท้องของพระราชินีอาจจะโตขึ้นมา ให้ทำหลวมหน่อย?
สนมซู่กัดฟันไว้ จึงรู้ว่าต้องเป็นเรื่องที่เพิ่งเกิดนี้ทำให้จักรพรรดิหนิงเปลี่ยนใจในทันที นางรู้สึกขุ่นเคืองอย่างยิ่ง แต่ทำได้เพียงแสร้งทำเป็นเชื่อฟังและตอบรับว่า "เจ้าค่ะ หม่อมฉันเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ฝ่าบาทสบายใจได้เจ้าค่ะ.."
ในตำหนักชิงซิน เฉี่ยนอินรีบแก้เสื้อคลุมของหยุนชางออก แล้วรับน้ำร้อนจากสาวใช้ที่อยู่ข้างๆ แล้วส่งให้หยุนชางและพูดด้วยรอยยิ้มว่า " องค์หญิงช่างน่าทึ่งจริงๆเจ้าค่ะ เพียงแค่ไม่กี่คำ ก็ทำให้ฮ่องเต้เย็นชาต่อสนมซู่ได้ หม่อมฉันได้เห็นกับตาว่าสีหน้าของฮ่องเต้แย่ลงเรื่อยๆนะเจ้าค่ะ สนมซู่ได้มีเรื่องอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ แต่องค์หญิงเจ้าคะ เราพูดจาโผงผางเช่นนี้ สนมซู่จะเกลียดชังเราอย่างแน่นอน ใช่หรือไม่เจ้าคะ แค่ฮองเฮาท่านเดียวก็ยากที่จะรับมือแล้ว หากมีสนมซู่เพิ่มขึ้นมาอีก คงต้องระวังกว่าเดิมมิใช่หรือเจ้าคะ?"
หยุนชางอุ่นมือเรียบร้อยแล้ววางแก้วไว้ข้าง ๆ แล้วเดินเข้าไปนั่งที่เบาะนุ่มๆ นางกำนัลรีบนำน้ำร้อนมาอย่างรวดเร็ว แล้วช่วยหยุนชางถอดรองเท้า และลองเช็กดูว่าน้ำร้อนหรือไม่ จากนั้นจึงวางเท้าของหยุนชางลงในน้ำ หยุนชางถอนหายใจอย่างสบายตัวก่อนจะยิ้มและพูดว่า "หลังจากเหตุการณ์นี้ไปสนมซู่จะต้องรายงานต่อจิ้งอ๋องอย่างแน่นอน หากปราศจากการอนุญาตของจิ้งอ๋อง นางก็จะไม่กล้าทำอะไรตามใจตน หากนางเป็นศัตรูกับเรา ไม่เพียงแค่เราเท่านั้นที่มีศัตรูเพิ่งนางก็เช่นกัน "
เฉี่ยนอินได้ยินเช่นนี้ แล้วจ้องไปที่หยุนชางครู่หนึ่งก่อนจะเอามือปิดปากและหัวเราะเบาๆ "เพราะว่าความโปรดปรานของท่านอ๋อง องค์หญิงถึงได้กล้าทำเช่นนี้น่ะสิเจ้าคะ"
หยุนชางตกตะลึงเมื่อได้ยินเช่นนี้ และกลอกตาอย่างรวดเร็ว "เจ้าพูดอะไรเนี่ย พูดไม่รู้กาลเทศะเอาซะเลย"
เฉี่ยนอินตอบกลับอย่าเร็ว "เจ้าค่ะ" แต่ดวงตาของนางยังคงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม หยุนชางเห็นและรู้ว่ายิ่งพูดเรื่องก็จะยิ่งบานปลาย จึงไม่ได้สนใจนางอีกต่อไป
เฉี่ยนอินหัวเราะจนพอใจ จึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า " หม่อมฉันรู้สึกว่า ทำเช่นนี้แล้ว สนมซู่คงไม่สามารถทำพิธีบวงสรวงสวรรค์:black">แทนที่ฮองเฮาได้แล้ว แต่ทำไมองค์หญิงถึงช่วยฮองเฮาเจ้าคะ?"
หยุนชางยิ้มอย่างเย็นชาเมื่อได้ยินเช่นนี้ "ช่วยนางหรือ?ข้าจะช่วยนางได้อย่างไร?แต่ว่า ละครพิธีบวงสรวงสวรรค์นี้ หากไม่ใช่นาง แล้วจะดำเนินเรื่องอย่างไร ข้าได้เตรียมการที่สนุกไว้ให้ฮองเฮาเหนียงเหนียงนะ"
เฉี่ยนอินได้ยินเช่นนี้ ก็ตระหนักได้ทันที "หม่อมฉันว่าแล้ว องค์หญิงหาเรื่องตอนไหนก็ได้แต่ดันจะไปตอนนี้ ที่แท้เพราะเช่นนี้นี่เอง"
ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกัน ม่านประตูก็เปิดออก และฉินยีเดินเข้ามาจากข้างนอกด้วยความกังวลเล็กน้อย
เมื่อเช่นนี้ หยุนชางก็มองไปที่ฉินยีและกล่าวว่า "เป็นอะไรไป?เจ้าไปหาเสด็จแม่มิใช่หรือ?ดูสีหน้าเจ้าสิ ใครทำเจ้าโกรธหรือ?"
ฉินยีถอนหายใจและตอบว่า "เมื่อตอนที่หม่อมฉันไปที่วังซีอู๋ บังเอิญไปพบสาวใช้กำลังนำยาสงบครรภ์ไปให้นายหญิงเจ้าค่ะ แต่นายหญิงไม่แม้แต่จะมอง ก็นำยาไปเททิ้งแล้วเจ้าค่ะ และหม่อมฉันจึงกล่าวว่า ไม่ว่ายังไง ยาสงบครรภ์นี้ดีต่อทารกในครรภ์เจ้าค่ะ แต่ไม่คาดคิดว่านายหญิงกลับถอนหายใจและกล่าวว่า หากว่าแท้งไปก็มิได้แย่อะไร"
หลังจากได้ยินเช่นนี้ หยุนชางก็เงียบไปครู่หนึ่งแล้วถอนหายใจกล่าวว่า " เสด็จแม่เป็นผู้หญิงที่ฉลาด แต่ท่านถูกเสด็จพ่อทำร้ายจิตใจ เดิมทีท่านอยากจะมีชีวิตคู่ที่มีเพียงคนสองคน แต่ท่านไม่คาดคิดว่าเสด็จพ่อจะแต่งผู้หญิงเข้ามาในวังคนแล้วคนเล่า เดิมทีท่านคิดว่า เสด็จพ่อเป็นจักรพรรดิ และต้องทำเช่นนี้เพื่อให้ความมั่นใจแก่ขุนนางในวัง แต่ไม่คาดคิดว่านางสนมในวังนั้นก็ท้องไม่น้อย ตอนนั้นท่านรู้สึกเสียใจ จึงร้องขอเข้าตำหนักเย็นเอง คราวนี้ท่านออกจากตำหนักเย็นเพื่อข้า แต่ไม่คาดคิดว่าท่านยังต้องมองดูเสด็จพ่อรักกันกับหญิงสาวอื่นๆ แน่นอนว่าท่านต้องรู้สึกอึดอัดในใจ"
ฉินยีพยักหน้าและกล่าวว่า " เมื่อตอนนั้นที่ฮ่องเต้และนายหญิงรักกันมีคนอิจฉาจำนวนมาก ฮ่องเต้เชื่อฟังนายหญิงอย่างมาก แต่เหตุใดจึงเปลี่ยนไปเร็วเช่นนี้เจ้าคะ?"
"เสด็จพ่อมิได้เปลี่ยนใจ เจ้าดูวันนั้นที่อยู่ในวังจิ่นซิ่ว เสด็จพ่อยังคงก็รักเสด็จแม่เช่นเดิม เพียงแต่ความรักของท่านมิได้มีให้เสด็จแม่เพียงคนเดียวเท่านั้น"
เฉี่ยนอินกล่าวด้วยความสงสัย "นี่ไม่ยุติธรรมกับผู้หญิงเลย ผู้ชายแต่งงานกับผู้หญิง หากเขาไม่พอใจในตัวภรรยา เขาหย่าก็ย่อมได้ ถ้าเขาไม่หย่า ก็แต่งนางบำเรอเพิ่มอีกสองสามคนก็ย่อมได้ แต่ถ้าผู้หญิงแต่งงานผิดคน กลับต้องทนอยู่อย่างนั้น"
"มิเช่นนั้นทำไมถึงต้องมีคำพูดที่ว่า ชายกลัวเดินผิดสาย หญิงกลัวแต่งงานผิดคนล่ะ ดังนั้นองค์หญิงจะต้องเลือกพระสวามีอย่างระมัดระวังนะเจ้าคะ รูปลักษณ์และความสามารถต้องไม่แย่ทั้งคู่ สิ่งสำคัญคือนิสัยเจ้าค่ะ อย่าได้เป็นคนเจ้าชู้เลยเจ้าค่ะ แม้มีนางบำเรอเพิ่มขึ้นแต่ก็ภรรยาเป็นหลัก" ฉินยีถอนหายใจเมื่อได้ยินเช่นนี้ หยุนชางก็นึกถึงตนในชาติก่อน ตนคิดว่าได้แต่งงานกับคนที่ดี แต่ไม่คาดคิดว่าตนได้โดดลงไปในกองไฟแล้ว พระสวามีของนางเที่ยวเล่นทั้งวันทั้งคืน นางบำเรอนั้นแต่งเข้าบ้านมาอย่างไม่หยุดยั้ง ตนก็ทำได้แค่ทน แต่ว่าความอดทนของตนกลับทำให้เขาทำตัวเหลวไหลมากขึ้น แล้วไปมีความสัมพันธ์กับหัวจิ้ง และยังทำร้ายลูกของตนอีกด้วย
แต่งงานหรือ?ในชีวิตนี้ หยุนชางไม่เคยกล้าคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย ตนมาพร้อมกับความโกรธแค้น หากไม่ได้แก้แค้น แล้วจะคุยเรื่องแต่งงานได้อย่างไร ต่อให้แก้แค้นได้ในสักวันหนึ่ง แต่เพราะฝันร้ายของชาติที่แล้ว เกรงว่าตนคงจะไม่กล้าลองอีกครั้งแล้ว
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ หยุนชางก็ยิ้มและพูดว่า "พวกเจ้าเอาแต่พูดคุยกันว่าจะแต่งงานกับชายเช่นใดดี หรือว่าพวกเจ้าอยากแต่งงาน?"
ทั้งสองส่ายหน้าซ้ำๆ "หม่อมฉันไม่ต้องการเจ้าค่ะ หม่อมฉันยังอยากอยู่ดูแลองค์หญิงไปตลอดเจ้าค่ะ"
หยุนชางยิ้มออกมา "ไม่สำคัญหรอกว่าเจ้าจะแต่งงานกับใคร สิ่งสำคัญคือเจ้าจะสามารถข่มเขาไว้ได้หรือไม่ หากเจ้าสามารถข่มเขาไว้ได้ แม้ว่าเขามีใจคิดอยากจะยุ่งกับหญิงสาวอื่นๆ แต่เขาก็ไม่กล้าทำอยู่ดี พวกนางอย่ากังวลไปเลย พวกเจ้าคือนางกำนัลของข้า วันหน้า ข้าจะหาสามีที่ดีให้พวกเจ้าอย่างแน่นอน ไม่เพียงแต่จะทำให้พวกเจ้าพอใจ แต่ยังเชื่อฟังพวกเจ้าอีกด้วย ไม่กล้าแม้แต่จะคิดเรื่องอื่นๆเลย"
ฉินยีและเฉี่ยนอินเป็นผู้หญิงที่ไม่เคยแต่งงานมาก่อน เมื่อได้ยินหยุนชางพูดเช่นนี้ พวกนางก็หน้าแดงขึ้นมา และรีบอ้อนวอนขอความเมตตา
หยุนชางยิ้มออกมา เช็ดเท้า แล้วนอนลงบนเบาะนุ่มๆ หลังจากนั้นไม่นาน จึงพูดอย่างเงียบ ๆ ว่า "ลูกในท้องของเสด็จแม่ ข้ารับรองว่าเขาจะต้องเกิดมาอย่างปลอดภัยและสมบูรณ์แน่นอน และข้าก็จะ หาโอกาสไปคุยกับเสด็จแม่ หลังจากกลับมาที่วัง ข้าก็แอบสังเกตเสด็จพ่ออยู่นาน แม้ว่าท่านเป็นกษัตริย์และมีพรสวรรค์ในการปกครอง แต่ท่านกลับไม่ใช่สามีที่ดี แม้ว่าท่านจะยังรักเสด็จแม่อยู่ แต่ท่านก็ยังรู้สึกเช่นเดียวกับฮองเฮาและสนมซู่เช่นกัน หากเสด็จแม่ไม่ต้องการจะอยู่ในวังแห่งนี้ต่อไป ข้าก็จะหาทางจะพานางออกไปให้ได้"
ฉินยีและเฉี่ยนอินเงียบลงหลังจากได้ยินเช่นนี้
หลังจากนั้นไม่นาน ฉินยีก็เอ่ยปากพูดขึ้นมาว่า "องค์หญิงเจ้าคะ พิธีบวงสรวงสวรรค์เทศกาลตั้งโจ่ย หม่อมฉันเตรียมการเรียบร้อยแล้วค่ะ ต้องขอบคุณเส้นสายในสำหนักพระภูษาของเฉี่ยนอิน หม่อมฉันจึงได้ทำงานนี้เสร็จสิ้นได้อย่างสบายเจ้าค่ะ"
หยุนชางพยักหน้า "เหลือเวลาอีกสามวัน คราวนี้ข้าจะมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้กับฮองเฮาต่อหน้าเหล่าขุนนางและทหารทั้งหมด"
สามวันผ่านไปในพริบตา ในวันเทศกาลตั้งโจ่ย หิมะเริ่มโปรยปรายแต่เช้าตรู่ ฟังยังมืดอยู่ นางกำนัลก็ปลุกหยุนชางให้ตื่น แล้วสวมชุดองค์หญิงสำหรับพิธีบวงสรวงสวรรค์ แล้วนั่งบนเสลี่ยงเดินทางไปที่หอสักการะฟ้า
ก่อนพระอาทิตย์ขึ้น ระฆังดังขึ้นจากหอระฆัง หยุนชางเห็นจักรพรรดิหนิงและพระราชินีเดินเข้าจากประตูด้านซ้ายพร้อมกัน แล้วค่อยๆ เดินขึ้นไปบนหอสักการะฟ้า เดินถึงครึ่งทางก็หยุดสักการะ เตาฟืนข้างทางก็จุดขึ้น เสียงดนตรีดังขึ้น จักรพรรดิหนิงยืนขึ้น เดินขึ้นไปบนยอดหอสักการะฟ้าพร้อมพระราชินี และคุกเข่าลงต่อหน้าพระที่นั่งหลักของหอสักการะฟ้า ถวายธูป จากนั้นก็ถวายธูปแด่ บรรพบุรุษและนิกายที่อยู่ถัดจากพระที่นั่งหลัก ตามด้วยกราบคำนับ แล้วกลับไปที่ตรงกลาง ทำพิธีสามไหว้เก้าคำนับ
หยุนชางจ้องมองไปที่ราชินีผู้สวมชุดคลุมสีดำและปักปิ่นนกฟีนิกซ์โบยบินที่ยืนอยู่ข้างจักรพรรดิหนิงตลอดเวลา ฮองเฮาเดินตามจักรพรรดิหนิงอย่างใกล้ชิดและเคร่งขรึม คุกเข่าและกราบ ทุกอย่างพิถีพิถันอย่างมาก เพียงแต่ว่าหากไม่ดูให้ดี คงจะไม่มีใครพบว่าทุกย่างก้าวของฮองเฮา ทุกครั้งที่นางกราบคำนับ ร่างกายของนางแน่นและเคลื่อนไหวช้าเล็กน้อย ซึ่งดูเหมือนจะลำบากมาก
ขันทีที่อยู่ข้าง ๆ ค่อย ๆ เดินขึ้นไปบนหอสักการะฟ้าพร้อมถือถาดผ้าไหมหยก จักรพรรดิหนิงและจักรพรรดินีหยิบผ้าไหมหยกออกมา แล้วเดินไปที่ตำแหน่งหลักและตำแหน่งรอง เพื่อถวายผ้าไหมหยก
ขันทีก็นำภาชนะพิธีกรรมที่เต็มไปด้วยเนื้อวัวแกะมา จักรพรรดิหนิงและจักรพรรดินีได้กราบไหว้บรรพบุรุษ
หยุนชางเห็นว่า ขณะที่ราชินีลุกขึ้น ร่างของท่านหยุดลงเล็กน้อย และนานกว่าจะยืนตัวตรง แม้แต่จักรพรรดิหนิงก็อดไม่ได้หันไปมองนาง หยุนชางยิ้มเล็กน้อยและสิ่งที่น่าสนุกกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว