ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - ตอนที่ 488 สร้างความประหลาดใจ
“ซูเหอเซียง ตะไคร้ ล้วนเป็นเครื่องเทศ เขาจะนำมาทำเป็นกลิ่นธูปก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก แต่เกาเหลี่ยงเกียกับซิงอี้เป็นวัตถุดิบที่ใช้ทำยา อ๋องเจ็ดก็ป่วยกระเสาะกระแสะอยู่เป็นประจำอยู่แล้ว ฮวยเจีย……เมืองจิ่นอากาศร้อนชื้น คนเมืองจิ่นชอบกินฮวยเจีย” หยุนชางครุ่นคิด จากนั้นนางก็หยุดเดิน หยุนชางเคยพบกับอ๋องเจ็ดอยู่หลายครั้ง แต่นางกลับไม่เคยได้กลิ่นอย่างเช่นที่หวังจิ้นฮวนพูดมาจากตัวของอ๋องเจ็ดเลย
หวังจิ้นฮวนไม่ทันได้สังเกตว่าหยุนชางเดินช้าลงไปเรื่อยๆ เขาพูดขึ้นมาว่า “คงไม่มีใครนำซูเหอเซียงและตะไคร้มาใช้ปนกันหรอก เพราะเครื่องเทศทั้งสองนี้ถ้านำมารวมกันแล้วจะมีกลิ่นที่ฉุนมาก”
“ดูเจ้าจะสนใจกลิ่นหอมบนตัวอ๋องเจ็ดเป็นพิเศษนะ หรือว่า เจ้าจะชอบเขาเข้าแล้วล่ะ? หยุนชางหัวเราะ นางไม่ได้ใส่ใจสิ่งที่หวังจิ้นฮวนพูดมาเท่าใดนัก นางยิ้มแล้วเดินไปข้างหน้าเพื่อไปเย้าแหย่หวังจิ้นฮวน
หวังจิ้นฮวนหรี่ตา เขาหันขวับมามองหยุนชาง “ข้าเนี่ยนะ? ข้าน่ะหรือจะชอบผู้ชายที่ป่วยกระเสาะกระแสะนั่น?”
หยุนชางคิดว่าเขาจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แต่เขากลับแค่ชี้หน้าพูดจาประชดประชันใส่นาง “เจ้านี่นะ……นี่เจ้ากล้าแกล้งข้าอย่างนี้เลยหรือ ข้าจะไปฟ้องลั่วชิงเหยียน”
“……” หยุนชางเงียบไป นางหันไปมองคนอีกสามคนที่เดินตามมาข้างหลัง พวกเขาล้วนมีสีหน้าเรียบเฉย หยุนชางเพิ่งจะฉุกคิดได้ว่า นางไม่ควรจะคาดหวังให้หวังจิ้นฮวนทำตัวปกติเฉกเช่นคนทั่วไปตั้งแต่แรกแล้ว
เพราะรู้ว่าลั่วชิงเหยียนกำลังจะกลับมาในเร็วๆนี้ แม้หยุนชางจะมิได้เอ่ยปาก แต่แววตาของนางก็เปี่ยมล้นไปด้วยรอยยิ้ม เนื่องจากตอนนี้นางกำลังสวมบทบาทใหม่ จึงไม่ต้องกลับไปยังจวนหลี่ นางเดินตามหวังจิ้นฮวนไปยังเรือนรับรอง
เรือนรับรองเป็นสถานที่สำหรับต้อนรับคณะทูต ข้างในตกแต่งเอาไว้อย่างสวยงาม หยุนชางได้พาเฉี่ยนอินตามเข้ามาด้วย ตอนนี้หยุนชางมีบทบาทใหม่แล้ว นางจึงไม่จำเป็นต้องใช้ชีวิตอย่างเคร่งครัด นางเที่ยวเล่นไปตามสถานที่ต่างๆภายในเมืองจิ่น แต่นางก็ยังคอยแอบติดต่อกับสายลับอยู่ไม่ขาด
ภายในเมืองช่วงนี้ ฝ่ายพิสูจน์ศพที่มีผลงานโดดเด่นกำลังถูกสายลับสะกดรอยตาม แต่ก็ยังไม่พบความผิดปกติใดๆ หยุนชางขมวดคิ้ว หรือตนจะคิดมากเกินไป คนที่ขโมยพระศพไปอาจจะไม่ได้นำพระศพไปเพื่อทำการพิสูจน์ว่าเป็นพระชายารุ่ยอ๋องหรือไม่ก็เป็นได้
“เร็วเข้าๆ ผ้าผืนนั้นงามมากๆ รีบห่อให้ข้าเร็วเข้า”
หยุนชางมองหวังจิ้นฮวนด้วยสายตาเหลืออด นางขมวดคิ้ว “นี่มันสีแดงทั้งนั้นเลยนี่? รูปแบบก็เหมือนๆกัน? เจ้าเคยซื้อไปแล้วตั้ง 10 กว่าผืน!”
หวังจิ้นฮวนเลิกคิ้ว สายตาของเขามองมาที่หยุนชาง “เหมือนกันหรือ? ผืนนี้มันเป็นลายดอกเหมยนะ”
“……” นี่แสดงว่าเขาจะซื้อให้ครบทุกลายเลยสินะ?
ระหว่างที่กำลังพูดคุยกัน หยุนชางก็ได้ยินเสียงนุ่มทุ้มแว่วมา “ผ้าที่มาใหม่ช่วงนี้มีสีม่วงหรือไม่”
“คุณชายหลิ่วจะซื้อไปให้ท่านฮูหยินหลิ่วหรือขอรับ?” หยุนชางได้ยินเสียงพ่อค้าเอ่ยถาม
คุณชายหลิ่ว?
หยุนชางหันไปดู ก็ได้เห็นหลิ่วหยินเฟิงยืนอยู่ด้านหลังห่างจากตนออกไปไม่ไกลนัก เขากำลังเลือกผ้า สีหน้าดูอ่อนโยน
เขากลับมาจากบ้านของหลิ่วจิ้นแล้วหรือ? หยุนชางครุ่นคิด พลันก็เห็นเขาพูดคุยกับพ่อค้าเสร็จแล้วหันมาประสานสายตากับนางเข้าพอดี
หยุนชางถึงกับอึ้ง นางรีบหันหน้าหนี แล้วบ่นพึมพำกับตัวเอง สิ่งที่จะระบุตัวตนของนางได้ดีที่สุดก็คือดวงตาของนางนั่นเอง
ระหว่างที่กำลังใช้ความคิดอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงเรียกของหลิ่วหยินเฟิงดังขึ้นมาจริงๆ “อาหยุน?”
ในขณะที่หยุนชางกำลังสับสนว่าควรจะขานรับเขาดีหรือไม่นั้น นางก็เห็นหวังจิ้นฮวนถือผ้าสีแดงเดินมาหา “เจ้าดูสิ ผืนนี้งามหรือเปล่า? แต่ลวดลายเหมือนจะซ้ำกับผ้าผืนเมื่อครู่ที่ข้าหยิบมา แต่ลวดลายบนผืนนี้ดูชัดกว่า ผืนนั้นมีลายขนาดเล็กแต่ก็ดูปราณีตดีนะ”
หยุนชางขมวดคิ้ว “ใต้เท้าหวัง ท่านคิดจะพำนักอยู่แคว้นเซี่ยต่อไปอีกนานเลยหรืออย่างไร? ท่านซื้อผ้ามาตั้งมากมายเช่นนี้ พอที่จะตัดเสื้อใส่ได้ถึง 3-5 ปีแล้วนะ”
“ข้าจะอยู่ที่นี่นานๆไม่ได้หรือไง?” หวังจิ้นฮวนย้อนถาม “ข้าเคยบอกไปแล้วไง ข้ามาอยู่เป็นเพื่อนเชียนเชียนของข้า เจ้านั่นแหละ……”
หยุนชางกลัวว่าหวังจิ้นฮวนจะพูดเรื่องหนิงเชียนขึ้นมาต่อหน้าหลิ่วหยินเฟิง นางจึงรีบพูดจาตัดบท “ดีๆๆ สวยๆๆ ซื้อเถอะ ซื้อไปเลย ซื้อๆๆ”
หลิ่วหยินเฟิงเห็นดังนั้นแล้วก็มองมา จากนั้นจึงพูดขึ้นมาว่า “ช่างมั่งคั่งจริงๆเลย! เช่นนั้น ของที่ข้าซื้อในวันนี้ ท่านช่วยข้าจ่ายก็แล้วกันนะ” หลิ่วหยินเฟิงพูดพลางเดินออกไปจากร้านผ้า
“……” หยุนชางยืนอึ้งไปพักหนึ่ง แล้วจึงถอนหายใจออกมา นางพูดกับเจ้าของร้านผ้าว่า “ห่อของที่คุณชายเมื่อครู่นี้ต้องการซื้อ แล้วส่งไปที่เรือนรับรองด้วยนะ” พูดจบ นางก็จำใจหยิบเงินออกมาจากใต้แขนเสื้อแล้วยื่นไปให้เจ้าของร้าน
เจ้าของร้านเห็นว่าหยุนชางแต่งตัวธรรมดา แต่เมื่อควักเงินออกมากลับเป็นจำนวนที่ไม่ธรรมดาเลย แววตาของเขาแพรวพราว แล้วรีบตอบกลับ “ได้ขอรับ ได้ขอรับ ครั้งหน้าแวะมาอุดหนุนที่นี่อีกนะขอรับ”
หยุนชางพยักหน้า นางหันหลังแล้วเดินออกมาจากร้านผ้าโดยที่ไม่กล้าหันไปดูหลิ่วหยินเฟิงเลยแม้แต่น้อย
การที่หวังจิ้นฮวนใจกล้าบ้าบิ่นไปลูบคมเซี่ยหวนอวี่ที่ตำหนักไท่จี๋ในวันนั้น เซี่ยหวนอวี่ยังคงไม่เอาความเขา เพราะต้องการให้เขาได้ใช้เวลาในการคิดทบทวนความผิดของตัวเอง แต่ใครเลยจะรู้ว่าผู้ชายที่ดูเหยาะแหยะคนนี้จะไม่ใส่ใจเรื่องราวในวันนั้นเลยแม้แต่น้อย แต่ละวันก็เอาแต่พาสหายทั้งสี่ไปเลาะเที่ยวอย่างสบายอกสบายใจ
เซี่ยหวนอวี่ขมวดคิ้ว เรื่องการเสียชีวิตของหนิงหยุนชางที่เขาได้พูดกับหวังจิ้นฮวนในตำหนักไท่จี๋ไปนั้น มาวันนี้เขากลับไม่ได้รู้สึกหนักใจอะไรเลย เขาเองก็คาดเดาไม่ถูกเหมือนกัน หรือว่า หนิงหยุนชางจะยังไม่ตายนะ?
แม้ในใจจะเกิดความสงสัย บวกกับความเหิมเกริมของหวังจิ้นฮวนเข้ามาด้วย อย่างไรก็ตามแคว้นเซี่ยก็ยังคงมีความจำเป็นที่จะต้องเจริญสัมพันธไมตรีกับแคว้นอื่น ด้วยเหตุนี้ หลังจากวันที่หวังจิ้นฮวนได้ขอเข้าเฝ้าผ่านไปได้ 5 วัน ในวังก็ส่งคนมาเชิญพวกเขาไปเข้าร่วมงานเลี้ยงในวังในวันพรุ่งนี้
หวังจิ้นฮวนเลิกคิ้ว เขามองมาที่หยุนชาง “พระอัฐิของพระชายารุ่ยอ๋องยังไม่ทันเย็นเลย ฮ่องเต้แห่งแคว้นเซี่ยยังมีกะจิตกะใจจะจัดงานรื่นเริงเพื่อต้อนรับคณะทูตอยู่อีก ช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้าจริงๆเลย”
หยุนชางก็เลิกคิ้ว นางประชดขึ้นมาว่า “นั่นน่ะสิ ยังหาพระศพขององค์หญิงหยุนชางแห่งแคว้นหนิงไม่พบเลย ทูตจากแคว้นหนิงอย่างเจ้าก็เลยเอาแต่เที่ยวเตร่ ดูไม่มีความกังวลโศกเศร้าแม้แต่น้อย ไหนจะไปแผลงฤทธิ์ที่ในตำหนักไท่จี๋อีก พอเดินออกจากตำหนักได้ไม่กี่ก้าว เจ้าก็ดูรื่นเริงขึ้นมาทันที เจ้าลองคิดดูสิ หากข้าเป็นเซี่ยหวนอวี่ เจ้าจะให้ข้าคิดเช่นไรเล่า?”
“หา?” หวังจิ้นฮวนตะลึงไปชั่วครู่ แล้วจึงพูดต่อไปว่า “นี่ข้าลืมคิดไปได้อย่างไรกันนี่? ตายจริง สมองข้านี่นะ ก็เพราะเจ้านั่นแหละที่เดินไปเดินมาให้ข้าเห็นได้ทั้งวัน ทำให้ข้าลืมเรื่องที่พระชายารุ่ยอ๋องสิ้นพระชนม์ไปเสียสนิท ทำไมเจ้าไม่รีบเตือนข้าตั้งแต่ตอนแรก? แย่แล้วๆ หมดกันล่ะคราวนี้”
หยุนชางเห็นเขาเป็นเดือดเป็นร้อนกระวนกระวายขึ้นมาก็อดหัวเราะไม่ได้ “ข้าสงสัยมาตั้งนานแล้ว เจ้าไปรู้จักกับชิงเหยียนได้อย่างไร แล้วพวกเจ้ากลายมาเป็นเพื่อนกันได้อย่างไรหรือ?”
หวังจิ้นฮวนจ้องมองหยุนชาง “เจ้ายังจะมาหัวเราะอยู่อีก นี่เจ้าคงจะจงใจแน่ๆเลยใช่ไหม ช่างเถอะๆ ตอนแรกข้าก็แค่อยากพูดเพื่อความสะใจก็เท่านั้น แต่เจ้ากลับพูดจากับข้าเช่นนี้ เห้อ เศร้าจริงๆ ไม่รู้ว่าลั่วชิงเหยียนขอผู้หญิงใจยักษ์ใจมารอย่างเจ้าแต่งงานได้อย่างไร แต่ละวันเอาแต่ครุ่นคิดแผนการและเล่ห์กลสารพัด มิหนำซ้ำยังพรากเอาเชียนเชียนของข้าไปด้วย……”
หยุนชางยิ้ม นางหันมามองหวังจิ้นฮวน ในขณะที่นางกำลังจะโต้ตอบ ก็ได้ยินเสียงเสียงหนึ่งแว่วมาจากด้านหลัง “ข้าขอนางแต่งงานได้อย่างไรมันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเจ้า เจ้ากล้าฉวยโอกาสตอนที่ข้าไม่อยู่รังแกภรรยาของข้าเช่นนี้เชียวหรือ หวังจิ้นฮวน เราไม่ได้สู้กันมานานแล้ว เจ้าคงจะลืมไปแล้วสินะว่า รสชาติของการคุกเข่าอ้อนวอนต่อหน้าข้านั้นเป็นอย่างไร?”