ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - ตอนที่ 480 พลิกผัน (๒)
หลังจากพื้นที่ต้องห้ามของเผ่าหย่าถูกเผาไปแล้วละก็ ผู้คนที่อยู่รอบข้างล้วนแต่เข้าไปสำรวจดู กลับพบว่า พื้นที่ต้องห้ามของเผ่าหย่านั้น มีหลุมขนาดใหญ่อยู่หลายแห่ง. ด้านในล้วนแต่เต็มไปด้วยซากศพและกองกระดูก ทั้งหมดล้วนแต่เป็นศพของเด็กทารก มีทั้งศพที่เพิ่งโยนลงไปได้ไม่นาน ทว่าสิ่งที่น่าตกใจนั้น คือร่างของเด็กทารกทั้งหมดส่วนใหญ่ถูกตัดขาด บางร่างไม่มีจมูกและบางร่างไม่มีหู บางร่างมีเพียงสามมือ รวมทั้งมีร่างของสัตว์ประหลาดที่มีสองหัวและหนึ่งร่างอีกด้วย
เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้คนในแคว้นเซี่ยล้วนแต่ตกใจเป็นอย่างมาก
หยุนชางได้ยินดังนั้น จึงรู้ได้ว่า คงจะเป็นฝีมือของลั่วชิงเหยียนและฮวากั๋วกงที่เป็นผู้ลงมือกระมัง
เมื่อนึกถึงข่าวการตายของนางที่เมืองจิ่น หยุนชางจึงได้ส่งองครักษ์เงาเข้าไปใกล้เผ่าหย่าอีกครั้ง เพื่อค้นหาลั่วชิงเหยียน พร้อมส่งจดหมายที่เป็นลายมือของนางไป เพื่อบอกถึงความปลอดภัยของนางในตอนนี้ ทว่านางมิได้บอกว่าตอนนี้นางอยู่ที่ใด เกรงกลัวว่าจดหมายของตนจะถูกคนจับได้อีก
เหตุการณ์ใหญ่ ๆ ได้เกิดขึ้นที่เมืองจิ่นอยู่บ่อยครั้ง ภายในพระราชวังที่มิค่อยสงบนัก จดหมายของหนิงเฉียนที่อยู่ในมือของหยุนชางนั้นราวกลับเกล็ดหิมะที่โปยปลิว
ทันทีที่เหตุการณ์ของเผ่าหย่าหลุดถึงหูผู้คนในวัง เมื่อพระราชวังได้รับจดหมายนั้น เสิ่นซู่เฟยที่ได้ข่าวถึงกับเป็นลมล้มพับไปในทันที เมื่อจดหมายถูกส่งมาหานางนั้นเสิ่นซู่เฟยก็ยังมิฟื้นขึ้นมาเลย
ภายในเผ่ามีตำนานเรื่องเล่ามากมายว่า ผู้คนเผ่าหย่าทำให้เทพเจ้าทรงพิโรธ. จึงถูกเทพเจ้าลงโทษให้เด็กทารกที่เกิดที่เผ่าหย่าช่วงยี่สิบปีมานี้ มีร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ เนื่องจากเผ่าหย่าเกรงว่าผู้คนภายนอกจะรู้เรื่องราวเข้า แล้วจักทำให้เกิดความวุ่นวาย พวกเขาจึงเก็บซ่อนเรื่องราวนี้ไว้อย่างเงียบ ๆ รวมถึงจัดตั้งพื้นที่ต้องห้ามของเผ่าหย่าเพื่อทิ้งร่างของเหล่าทารกพวกนั้นไว้ เมื่อกังวลถึงผู้บุกรุกที่จะแอบบุกเข้ามา จึงได้ปลูกสมุนไพรมีพิษไว้ล้อมรอบพื้นที่ต้องห้ามของเผ่าหย่าอีกด้วย
ตำนานพวกนี้เมื่อมาถึงหูผู้คนในราชวังแล้ว ฮองเฮาจึงที่รู้ถึงการใช้ไฟในการโหมกระพือข่าวพวกนี้เป็นอย่างดี และกังวลถึงความปลอดภัยขององค์รัชทายาท จึงสั่งให้องค์ชายสิบเอ็ดและองค์หญิงสิบสองเข้าไปในตำหนักเว่ยยาง แล้วจึงนำหมอหลวงมาตรวจสอบร่างกาย กลับพบว่า องค์หญิงสิบสองมีนิ้วเท้ามากกว่าคนปกติถึงหนึ่งนิ้ว
เสิ่นซู่เฟยลงทุนใช้ทั้งแรงและเวลาในการปิดข่าวเรื่องนี้เป็นเวลานาน ทว่าเมื่อฮองเฮาล่วงรู้เข้าก็ได้รายงานต่อเซี่ยหวนอวี่ พร้อมบอกว่าเสิ่นซู่เฟยเปป็นคนของเผ่าหย่า เกรงว่านางจะต้องโดนเทพเจ้าลงโทษด้วยเป็นแน่ จนถึงตอนนี้องค์หญิงสิบสองก็มีร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ ควรถูกประหารชีวิต รวมทั้ง องค์ชายสิบเอ็ด แม้ว่าจะไม่ได้มีร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ หากแต่สายเลือดในตัวพวกเขาไม่เป็นมงคล สมควรถูกเนรเทศ
เซี่ยหวนอวี่มิได้เห็นด้วย องค์หญิงสิบสองตอนนี้อายุถึงสิบเจ็ดปีแล้ว ถึงวัยที่ต้องแต่งออกไปแล้ว เซี่ยหวนอวี่จึงมีคำสั่งให้นางตบแต่งกับทหารรักษาชายแดน พร้อมส่งนางขึ้นเกี้ยวออกจากวังไป. องค์ชายสิบเอ็ดเป็นถึงอ๋องฉี จึงมีพระราชโองการให้อ๋องฉีไปประจำการอยู่ฉีโจวที่ตั้งอยู่เหนือสุดของแคว้นเซี่ย เป็นพื้นที่ที่มีความหนาวเย็นเป็นอย่างมาก เพียงแค่การโยกย้ายนี้ ก็เสมือนกับการโดนเนรเทศแล้ว
เสิ่นซู่เฟยเมื่อฟื้นขึ้นมาแล้วนั้น เมื่อได้ยินข่าว ก็พลันร้องให้จนเป็นลมสลบไปอีกรอบ
หากมิใช่ว่าตอนนี้มีข่าวคราวว่าหยุนชางตายอยู่ละก็ นางก็อยากจะกลับไปดูความวุ่นวายในพระราชสำนัก ว่าจะสนุกสักแค่ไหนกันเชียว
“นายท่านเราสามารถกลับไปได้แล้วกระมัง. แม้ว่าการแปลงกายของเถ้าแก่เฉียนเฉียนจะเก่งกาจเป็นอย่างมาก ความสามารถนั้นยังพอที่จะตบตาคนธรรมดาได้อยู่บ้าง ” เฉียนยินยิ้มขึ้นมา ภายในดวงตามีแต่ความระยิบระยับ “สนมเสิ่นซู่เฟยก็มิใช่คนดีอะไร อยากจะเห็นนางจริง ๆเลยเพคะ ว่าจะน่าสมเพชแค่ไหนกัน อีกทั้งยังลอบสังหารพวกเราอีก ผู้ที่นู๋ปี๋สงสัยที่สุดก็คือเสิ่นซู่เฟย. ซูฉีผู้นั้นแม้ว่าจะเป็นเพราะตระกูลกั๋วกง ถึงได้มาเป็นปรปักกับเรา. ทว่าก็เป็นเรื่องก่อนที่พวกเราจะเดินทางมาเท่านั้น หากเขาสามารถลงมือในระยะสั้น ๆ นี้ได้ เกรงว่าจะไม่ง่ายเสียแล้ว”
หยุนชางพลางหัวเราะเบาๆ ตอบกลับ “อื้ม ตั้งแต่ที่ได้รับบาดเจ็บมา ลักษณะของเฉียนยินดูเงียบขรึมขึ้นมาหลายส่วน ทว่าการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้กลับทำให้นางรู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างมาก
“ถ้าเช่นนั้น นายท่าน พวกเราจะกลับไปเมืองจิ่นใช่ไหมเพคะ ” เฉียนยินมองหยุนชาง ภายในแววตามีร่องรอยแห่งความคาดหวังอยู่
“ทำไม ? เมืองหลีไม่ดีหรือ ? ” หยุนชางพลางหันหน้าไปถาม
เฉียนยินก้มหน้าลงพร้อมตอบว่า “ก็ดีเพคะ. ทั้งท่านเจ้าเมืองและฮูหยินล้วนแต่เป็นคนดี นู๋ปี๋ชอบพวกเขาเป็นอย่างมาก ทว่านู๋ปี๋ไม่อยากทำให้พวกเขาเดือดร้อน นอกจากนี้ นู๋ปี๋ยังเหลือเพียงมือข้างเดียวอีก อีกทั้งยังอยากตามหาฆาตกรให้เจอด้วย” เมื่อพูดจบจึงเงยหน้ามองหยุนชาง “นายท่าน หากพบฆาตกรเมื่อได้. ส่งให้นู๋ปี๋จัดการได้หรือไม่เพคะ ? พวกเราสูญเสียองครักษ์เงาฝีมือดีไปตั้งยี่สิบกว่านาย นู๋ปี๋ไม่สามารถทำใจยอมรับได้”
หยุนชางพลันพยักหน้า พร้อมถอนหายใจออกมาบาง ๆ “ได้ ทั้งหมดล้วนยกให้เจ้า ถ้าเช่นนั้นข้าจะไปหาท่านเจ้าเมืองเฉียนหยุนเสียก่อน . พรุ่งนี้เราจักได้ออกเดินทางกันแต่เช้า”
เฉียนหยุนและฮูหยินเมื่อได้ยินว่าพวกของหยุนชางจะออกเดินทางแล้วนั้น ใบหน้าพลันรู้สึกเศร้าสร้อย มิต้องการให้จากลา ทว่าพวกเขาไม่สามารถหยุดยั้งความต้องการของหยุนชางได้ จึงได้แต่จัดเตรียมสัมภาระพร้อมทั้งของฝากจากเมืองหลีไปเต็มคันรถ หยุนชางไม่สามารถเอ่ยปากปฏิเสธได้ จึงรับของไว้ทั้งหมด
วันที่สองยามเช้า ทั้งท่านเจ้าเมืองและฮูหยินจึงได้ออกมาส่งพวกเขาที่รถม้า หยุนชางที่อยู่บนรถม้านั้นถูกแปลงโฉมกลายเป็นชายหนุ่มธรรมดาโดยฝีมือขององครักษ์เงา เฉียนยินก็ได้แปลงโฉมเป็นสตรีน้อยนางหนึ่ง ราวกับทั้งสองคนเป็นสามีภรรยากันก็ไม่ปราน
การตรวจตราผู้คนเข้าออกในเมืองจิ่นดูเหมือนจะเข้มงวดมากขึ้น หยุนชางที่อยู่บนรถม้านั้นลอบสำรวจอยู่ชั่วครู่ ทหารที่ดูแลประตูเมืองพลันขมวดคิ้วลง พร้อมถามบุคคลทั้งสองที่อยู่ตรงหน้าว่า “พวกเจ้าสองมาจากที่ใดกัน ? มีธุระอันใดถึงต้องเข้ามาเมืองจิ่น ? ”
หยุนชางมองไปยังของฝากจากเมืองหลี่นั้น พร้อมยิ้มตอบไปว่า “พวกข้ามาจากเมืองหลีขอรับ จะเข้าไปพบญาติห่าง ๆ พวกเขารับข้าราชการอยู่ในเมืองจิ่นขอรับ ”
นายทหารได้ยินดังนั้นพลันส่งเสียงออกมาอย่างเย็นชา พร้อมถามว่า “เป็นผู้อาวุโสคนใดกัน ? ”
หยุนชางเสร้งเกาหัวขึ้นมา พร้อมรีบตอบกลับไปว่า “ได้ยินมาว่าเป็นถึงกรมอาญา. รองเจ้ากรมอาญา. ญาติของข้าชื่อหลี่เฉี่ยนโม่ขอรับ. เป็นลูกพี่ลูกน้องของข้าเอง ”
“เจ้าอย่าได้พูดจาไร้สาระเช่นนี้ ” นายทหารผู้นั้นพลันรีบโบกมือไปมา “พวกเจ้าเข้าไปเสีย”
หยุนชางเมื่อขี่รถม้าเข้ามาในเมืองจิ่นได้นั้น ในขณะที่เดินไปยังบนถนน องครักษ์เงาพลันโยนกระดาษเข้ามาที่หน้าต่างรถม้า. หยุนชางเมื่อคลี่ออกนั้น จึงพูดว่า “ที่ตระกูลกั๋วกงและวังของรุ่ยอ๋อง รอบด้านล้วนแต่มีคนจ้องมองอยู่ เกรงว่าพวกเราจะไม่สามารถเข้าไปได้ขอรับ”
“ถ้าเช่นนั้นพวกเราไปที่ใดกันดีเพคะ ? หรือหาโรงเตี๊ยมแถวนี้ ? ” เฉียนยินพลางขมวดคิ้วถาม
หยุนชางพลางนิ่งเงียบไปชั่วครู่ พร้อมส่ายหน้าไปมาว่า “โรงเตี๊ยมเกรงว่าช่วงนี้คงได้มีการตรวจตราบ่อยนัก ” เมื่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงพูดขึ้นมาว่า “เมื่อครู่พวกเรามิได้บอกว่าจะมาหาญาติที่ชื่อว่าหลี่เฉี่ยนโม่หรอกหรือ ถ้าเช่นนั้นเราก็ไปตระกูลของหลี่เฉี่ยนโม่กันเถอะ แม้ว่าจะเป็นคนในนามของเสิ่นซู่เฟย. ทว่าตอนนี้เสิ่นซู่เฟยอยู่ในสภาพที่ไม่มีอำนาจอะไรสั่งการได้แล้ว เกรงว่าเขาคงถูกเนรเทศไปประจำการที่ไกล ๆเป็นแน่ ทว่าตำแหน่งรองเจ้ากรมอาญาของเขานั้น. เป็นตำแหน่งที่ฝ่าบาทประทานให้. หากผ่านไปได้สักพัก ถ้ามิได้มีเรื่องอะไรที่ผิดพลาดไปก็มิใช่เรื่องง่ายที่จะโดนผู้คนสังเกตุเห็นได้ ”
เมื่อพูดจบ. จึงสั่งให้รถมาหันไปทางตระกูลของหลี่เฉี่ยนโม่แทน จวนตระกูลของหลี่เฉี่ยนโม่มิได้ใหญ่มากนัก ทว่าก็อยู่ตรอกอันเงียบสงบทางทิศใต้ของเมือง หยุนชางพลันเคาะประตูจวน พร้อมทั้งเรียกให้คนบนรถม้าเตรียมนำของยกมาให้พ่อบ้าน พ่อบ้านเมื่อเห็นหยุนชางและเฉียนยินนั้น จึงตอบรับว่า “พวกท่านโปรดรอสักครู่ ข้าน้อยจักไปรายงานใต้เถ้าให้ ” เมื่อพูดจบพลางโค้งคำนับหยุนชางและเฉียนยินพร้อมปิดประตูจวนเดินเข้าไป