ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - ตอนที่ 122 หลานกุ้ยผินถูกขับสู่ตำหนักเย็น
เสด็จแม่ของนางเป็นคนที่ลึกล้ำยากหยั่งถึงจริงๆ เรื่องในงานเลี้ยงวันนี้เป็นหมิงไท่เฟยต้องการหยั่งเชิงหยุนชาง แต่เสด็จแม่กลับสามารถใช้โอกาสนี้ตัดแขนของฮองเฮาทิ้งไปอีกหนึ่งข้าง…
ชุยมามารีบกล่าวว่า "หม่อมฉันมีหลักฐาน มีหลักฐาน หลักฐานถูกเย็บไว้ในผ้าห่มบนเตียงของหม่อมฉันเพคะ"
ฮ่องเต้ได้ยินเช่นนั้นก็หันศีรษะไปสั่งให้ข้ารับใช้ที่อยู่รอบตัวเขาพาคนไปตรวจสอบ หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็มีข้ารับใช้นำของสิ่งหนึ่งกลับมา สิ่งนั้นถูกใส่ไว้ในถุงหอมสีน้ำเงิน หยุนชางไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่เห็นว่าหลังจากที่หมิงไท่เฟยได้รับสิ่งนั้นแล้ว สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปอย่างน่าดูชม
เมื่อฮ่องเต้เห็นดังนั้นก็เสด็จเข้าไปทอดพระเนตร เมื่อหันกลับมา สายตาของเขาก็เพ่งไปที่หลานกุ้ยผิน "อืม ข้าจำได้ว่าหลานกุ้ยผิน บิดาเจ้ามาที่เมืองหลวงเพื่อรายงานหน้าที่ตอนต้นปีเคยซื้อจวนหลายหลังในตรอกกุ้ยฮวา ตอนนั้นเจ้ายังเคยบอกเจิ้นว่าบิดาของเจ้าอายุมากแล้ว อีกสองปีเขาก็คงจะไม่สามารถทำงานให้กับแคว้นหนิงได้อีก จึงอยากรับพวกเขามาอยู่ด้วยกันที่เมืองหลวงเพื่อที่จะได้ดูแลง่ายๆ เพียงแต่ข้าไม่รู้ว่าโฉนดบ้านของเขาจึงมาอยู่ในมือของชุยมามาได้อย่างไร? นอกจากนี้ยังมีลายมือของเจ้าอยู่ด้วย?"
เมื่อหลานกุ้ยผินได้ยินเช่นนั้นใบหน้าของนางก็ซีดเผือด นางรีบลุกขึ้นกล่าวว่า "เป็นไปได้อย่างไร? ท่านพ่อบอกว่าไปกลับลำบากกลัวจะเจอเรื่องไม่คาดฝันระหว่างทางจนทำให้ทำโฉนดหายไปจึงให้หม่อมฉันเป็นผู้เก็บไว้ หม่อมฉันเก็บไว้อย่างดีมาตลอดจะไปอยู่ที่นางได้อย่างไร อีกทั้งหม่อมฉันกับชุยมามาก็ไม่คุ้นเคย"
ชุยมามาได้ยินเช่นนี้จึงรีบพูดขึ้นเสียงแหลม "กุ้ยผินเหนียงเหนียง เห็นได้ชัดว่าท่านเป็นคนให้หม่อมฉันมาเอง ข้าอายุมากแล้วไม่ได้มีเจตนาอื่นใด ตามหลักเหตุผลก็ควรจะใช้ชีวิตในสองปีที่เหลือนี้อย่างสงบและถูกส่งออกจากวังไปในอีกสองปีข้างหน้า ที่หม่อมฉันเสี่ยงโทษประหารทำงานให้กุ้ยผินเหนียงเหนียงก็เป็นเพราะท่านบอกว่าที่ตรอกกุ้ยเซียงมีจวนอยู่หลังหนึ่ง ยินดีมอบให้หม่อมฉันใช้ชีวิตหลังเกษียณ เมื่อข้าออกจากวังไปข้าจึงจะมีที่พักพิง หม่อมฉันขาดความยับยั้งชั่งใจไปชั่วครู่จึงได้รีบไว้…"
"เหลวไหล!" หลานกุ้ยผินรีบพูด "ฝ่าบาท หม่อมฉันสาบานได้ว่าหม่อมฉันไม่เคยทำเรื่องเช่นนี้ โฉนดนี้เป็นของปลอมแน่ โฉนดอยู่ในตำหนักของหม่อมฉัน เก็บอยู่ที่มันอยู่ในกล่องกับที่โต๊ะเครื่องดนตรี"
ฮ่องเต้ยิ้มและโยนโฉนดบ้านที่อยู่ในถุงหอมลงบนพื้น "เจ้าดูเสีย นี่เป็นลายมือของเจ้าหรือไม่? และนี่คือโฉนดจวนของเจ้าหรือไม่?"
หลานกุ้ยผินไม่แม้แต่จะมองสักนิด สีหน้าของนางดื้อรั้น แม้ว่าใบหน้าจะขาวซีด แต่หลังของนางกลับตั้งตรง "หม่อมฉันไม่ต้องดูหรอก มันไม่ใช่ของหม่อมฉันอย่างแน่นอน"
ฮ่องเต้จ้องมองหลานกุ้ยผินอยู่นานก่อนจะเอ่ยว่า "ไปดูเครื่องดนตรีที่นางว่าในตำหนักของกุ้ยผินแล้วนำมันมา"
มีเสียงขานรับจากด้านนอก แต่ในตำหนักกลับไม่มีใครพูดอะไร หลานกุ้ยผินรู้สึกว่าผ่านไปนานเหลือเกินจึงจะได้ยินเสียงฝีเท้าดังแว่วมา ร่างกายของนางสั่นเทิ้มหันศีรษะไปมองข้ารับใช้ที่ถือพิณที่นางดีดในยามปกติเดินมา
ฮ่องเต้กล่าวว่า "ในเมื่อพิณของเจ้ามีโฉนดซ่อนอยู่ เช่นนั้นเจ้าก็เอามันออกมาให้พวกเราดูเองเถอะ"
หลานกุ้ยผินไม่อาจคำนึงถึงสิ่งอื่นได้อีก นางลุกขึ้นอย่างรวดเร็วและรับพิณมา นางบิดหางของพิณออกเผยให้เห็นช่องที่ซ่อนอยู่ด้านหลังของพิณ แต่กลับไม่มีโฉนดบ้านอย่างที่นางว่า มีเพียงแต่ถุงกระดาษเท่านั้น
หลานกุ้ยผินจึงได้เผยท่าทีตื่นตระหนกออกมา "เป็นไปได้อย่างไร? โฉนดของข้าล่ะ?" นางแตะช่องลับอีกครั้ง แต่กลับไม่ระวังทำถุงกระดาษในช่องลับตกลงบนพื้น ถุงกระดาษคลี่ออกมา มีกลิ่นจางๆ คลุ้งเต็มตำหนัก มามาหัวหน้ากองเครื่องหอมสีหน้ามั่นใจและรีบกล่าวว่า "นี่ก็เป็นผงอัญเชิญเพคะ… "
ฮ่องเต้ได้ยินคำนั้นหน้าผากก็มีเส้นเลือกสีเขียวปูดโปนออกมา เดินจากเก้าที่ประทับของหมิงไท่เฟยมาที่ตำหนักและถีบหลานกุ้ยผิน "เจ้าไม่ได้บอกว่าโฉนดอยู่ในเครื่องดนตรีนี้หรือ? ทำไมถึงไม่มีเสียเล่า แต่กลับมีสิ่งของอันตรายเช่นผงอัญเชิญ?"
สีหน้าของหลานกุ้ยผินเขียวคล้ำเล็กน้อย นางรีบพูดว่า "หม่อมฉันก็ไม่รู้ หม่อมฉันไม่รู้ว่าทำไมถึงได้มีผงอัญเชิญอยู่ที่นี่และโฉนดของหม่อมฉันกลับหายไปแล้ว…"
ฮ่องเต้แค่นเสียงเย็น "ไม่รู้เหรอ? ใครรู้ว่าพิณนี่มีช่องลับ?"
หลานกุ้ยผินส่ายหัว "ไม่มีใครรู้ แต่หม่อมฉันไม่ได้ทำเรื่องเหล่านี้จริงๆนะเพคะ"
หมิงไท่เฟยในใจรู้สึกแปลกมาก สายตาของนางก็ถือได้ว่าเฉียบคม ปฏิกิริยาของหลานกุ้ยผินเมื่อครู่ดูจะไม่ได้เสแสร้ง ผู้คนมักจะเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงได้ง่ายที่สุดในยามวิกฤติ
หมิงไท่เฟยคิดแล้วก็พูดเสียงดังว่า "ฝ่าบาท อย่าเพิ่งรีบร้อน ไม่อาจปรักปรำผิดคน ยามปกติหลานกุ้ยผินก็เป็นคนซื่อสัตย์ วันนี้จู่ๆ กลับทำเรื่องไร้คุณธรรมขึ้นมาข้ารู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล ในเมื่อหลานกุ้ยผินบอกว่าผงนี้ไม่ใช่ของนาง เรื่องนี้กลับจัดการไม่ยาก ทุกคนในวังมีกฎเกณฑ์ในการรับของ หัวหน้ากองเครื่องหอมท่านบอกห่อยเถอะว่าต้องใช้สิ่งใดในการทำผงหอมนี้? และมีใครมาขอเบิกของอะไรไปหรือไม่?"
หัวหน้ากองเครื่องหอมจึงตอบว่า "ผงหอมนี้ต้องใช้ของเหลวของดอกหม้อข้าวหม้อแกงลิงนำมาตากแห้งและบดเป็นผง จากนั้นก็เติมยาสมุนไพรเข้าไป เพราะเพียงปริมาณเล็กน้อยก็สามารถดึงดูดแมลงและมด ในวังจึงมักใช้ผสมกับยาฆ่าแมลงเพื่อฆ่าหนูและแมลงสาบ เนื่องจากเข้าฤดูหนาวแล้ว หนูและแมลงมีน้อยมากจึงมีคนน้อยมากที่มาขอเบิกไป แต่มีตำหนักจิ้งหลานส่งคนมาเบิกไปเล็กน้อยเมื่อหลายวันก่อน บอกว่าไม่รู้ว่าเหตุใดในห้องเครื่องมีของกินหายไปไม่น้อย อาจจะมีหนู
และนอกจากนี้ยังเบิกปริมาณของห้าหกครั้งไปในครั้งเดียวโดยบอกว่าเตรียมไว้ใช้สำหรับปีหน้าและขี้เกียจที่จะมาเบิกหลายรอบ อย่างไรก็ตามเพียงแค่มาเบิกผงหม้อข้าวหม้อแกงลิงจากหม่อมฉันก็ไม่มีประโยชน์ จะทำเครื่องหอมนี้ก็ยังต้องใช้ยาสมุนไพรด้วย หมิงไท่เฟยยังสามารถไปสืบสวนต่อกับสำนักหมอหลวงได้…"
หลานกุ้ยผินได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มอย่างเศร้าสร้อย สีหน้าหดหู่ลงเล็กน้อย "ใช่ เมื่อสองสามวันก่อนมีนางกำนัลมารายงานจริงๆ บอกว่ามีหนูอยู่ในครัว เรื่องเบิกยาพวกนี้เป็นเรื่องเล็กน้อยหม่อมฉันจึงไม่ได้ถามอะไรมากก็อนุญาต คิดไม่ถึงเลยว่าจะกลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่จะมัดตัวหม่อมฉัน"
ฮ่องเต้กล่าวอย่างเย็นชาว่า "ถึงขนาดนี้แล้ว เจ้ายังเสแสร้งทำตัวน่าสงสารไปอีกทำไม ตอนนี้ที่ทั้งพยานและหลักฐานต่างก็แน่นหนา เจ้ายังจะพูดอะไรได้อีก?"
หลานกุ้ยผินยิ้มและคุกเข่าลงบนพื้น "อยากจะเพิ่มโทษอะไรให้อีกก็เชิญเลย หม่อมฉันไม่มีอะไรจะพูดแล้ว"
ฮ่องเต้ยกมือขึ้นแล้วพูดว่า "หลานกุ้ยผินจิตใจโหดเหี้ยม ขับสู่ตำหนักเย็น…"
หมิงไท่เฟยขมวดคิ้ว อ้าปากกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็เพียงเปิดปากเท่านั้น นางไม่ได้พูดอะไรออกมา จะให้พูดอะไรอีกเล่า บอกว่าเรื่องนี้มีเงื่อนงำหรือ? ทั้งพยานและหลักฐานต่างก็ครบถ้วนและไม่มีหลักฐานที่จะมาหักล้างได้ หรือจะบอกว่าหลานกุ้ยผินเป็นคนของฮองเฮาต้องไม่ทำเช่นนั้นแน่ แต่การเล่นพรรคเล่นพวกเช่นนี้ แม้จะเป็นวังหลังก็เป็นสิ่งที่ฮ่องเต้ทรงชิงชังนัก หมิงไท่เฟยกวาดตามองเหล่าคนอยู่นานแต่ก็ไร้ประโยชน์ ก่อนหน้านี้แม้ว่าจิ่นเฟยจะเป็นตัวอันตรายมาก่อน แต่นางก็อยู่ในตำหนักเย็นมากว่าสิบปี แทบไม่มีอะไรเหลือแล้ว ตอนนี้เพียงปกป้องลูกในท้องของนางก็แทบแย่แล้ว ยังจะมีเวลามาคิดเรื่องพวกนี้หรือ? หยุนชาง… นางไปอยู่ที่วิหารแคว้นหนิงมาแต่เล็ก ไม่ว่าจิตใจของนางจะรอบคอบเพียงใดก็เป็นไปไม่ได้ที่จะทำสิ่งเหล่านี้ในวังโดยไม่มีใครรู้เห็น หมิงไท่เฟยขมวดคิ้ว เกรงว่าในวังหลังแห่งนี้คงจะไม่สงบเสียแล้ว นางคิดแล้วก็ยิ่งว้าวุ่นใจจึงเอ่ยขึ้นว่า "ส่งชุยมามาบ่าวทรยศขายนายผู้นี้ไปที่กองสุขา"
ชื่อกองสุขาแม้ว่านามจะฟังดูดี แต่ก็เป็นเพียงสถานที่เก็บสิ่งปฏิกูลจากทุกแห่งในวัง แม้หมิงไท่เฟยจะได้รับปากชุยมามาแล้วว่าจะไว้ชีวิตนาง แต่ก็ยังมีวิธีที่จะทำให้นางอยู่อย่างทุกข์ทรมาน
ชุยมามากลับดูเฉยเมยไม่ใส่ใจและพึมพำกับตนเองว่า "ได้อยู่ก็ดี ได้อยู่ก็ดีแล้ว" จากนั้นนางก็ถูกคนลากไป
ความจริงของเรื่องนี้ดูเหมือนจะกระจ่างขึ้นแล้ว หมิงไท่เฟยโบกมือและบอกว่านางเหนื่อยแล้ว ทุกคนต่างทรมานมากว่าค่อนคืนแล้วก็เหนื่อยเช่นกัน จึงเดินทางกลับที่พักของตน
"มีความสุขจริงๆ หลานกุ้ยผินทำร้ายคนให้ฮองเฮามามากมาย แต่ตอนนี้กรรมได้ตามสนองนางแล้ว…" เฉี่ยนอินกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หยุนชางเงียบมาตลอดทางราวกับนางกำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับอะไรบางอย่าง นางนั่งลงบนเบาะนุ่ม ท่าทางเหม่อลอยเล็กน้อย ฉินยีบอกให้นางแช่เท้าอยู่นานก่อนนางจะขานรับ แต่เพียงแค่เพิ่งแช่เท้าเท่านั้นก็ลุกขึ้นยืน "ข้ารู้แล้ว"
ฉินยีและเฉี่ยนอินมองหน้ากัน "องค์หญิงรู้อะไรหรือเพคะ?"
หยุนชางยิ้มบาง "ข้ารู้แล้วว่าก่อนหน้านี้หลานกุ้ยผินร้อนรนบอกว่าโฉนดของนางถูกซ่อนอยู่ในช่องลับที่พิณของนาง ในเวลานั้นก็มีคนไปที่ตำหนักของนางเอาโฉนดบ้านในนั้นไปและใส่ผงแป้งหอมนั้นลงไป อุบายนี้สมบูรณ์แบบมาก…"
ฉินยียิ้ม "หรือว่าองค์หญิงคิดเรื่องนี้อยู่ตลอดเวลาหรือเพคะ?"
หยุนชางยิ้มบางแต่ไม่ตอบ และรอยยิ้มกว้างของนางก็เผยออกมา
ฉินยีและเฉี่ยนอินมองหน้ากันพวกนางถอนหายใจและไม่พูดอะไรอีก เพียงปรนนิบัติหยุนชางไปจนเรียบร้อยเท่านั้น