ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง - ตอนที่ 28 ปิ่นปักผมฟีนิกซ์
"ซู่เฟยเหนียงเหนียงมิได้ขาดแคลนปิ่นปักผม แล้วเหตุใดจึงขโมยปิ่นปักผมของฮองเฮา?" หยุนชางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่ฉินยีและฉินเมิ่ง ดวงตาของนางนั้นเต็มไปด้วยความสงสัย
ฉินยีส่ายหน้าเพื่อแสดงว่าตนนั้นมิทราบ แต่กลับเป็นฉินเมิ่งที่อธิบายด้วยรอยยิ้ม "องค์หญิงมิทราบเจ้าคะ ปิ่นปักผมของฮองเฮานั้นมีลวดลายเป็นนกฟีนิกซ์ ภายในราชวังนี้ นกฟีนิกซ์ถือเป็นตัวแทนของพระราชินี ซู่เฟยเหนียงเหนียงทรงขโมยปิ่นปักผมของฮองเฮาไป นั่นก็แสดงว่า ซู่เฟยเหนียงเหนียงมีความคิดที่อยากจะครองตำแหน่งราชินีมิใช่หรือ? นี่เป็นการดูหมิ่นที่ร้ายแรงนะเจ้าค่ะ "
หยุนชางเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ "มิร้ายแรงเช่นนั้นหรอก สถานะในวังหลังของซู่เฟยเหนียงเหนียงก็นับว่า "อยู่ใต้คนๆ เดียว แต่อยู่เหนือคนนับหมื่น ในวังหลังนี้” นอกจากฮองเฮาแล้วก็นางนี่แหละที่ได้รับการโปรดปรานมากที่สุด แล้วเหตุใดนางจึงคิดอยากได้ตำแหน่งพระราชินีเล่า?"
ฉินเมิ่งมองดูหยุนชางเป็นเช่นนี้ ก็ยิ่งได้ใจมากขึ้นเรื่อยๆ " พระราชินีและนางสนม ถึงยังไงก็แตกต่างกันนะเจ้าคะ ไม่ว่าซู่เฟยเหนียงเหนียงจะได้รับความโปรดปรานมากเพียงใด นางก็ต้องคุกเข่าถวายบังคมพระราชินีอยู่ดี และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ แคว้นหนิงนั้นมีวัฒนธรรมแต่งตั้งเพียงองค์รัชทายาทของพระราชินีเท่านั้น มิได้มีการแต่งตั้งองค์รัชทายาทคนแรก ตอนนี้ฮ่องเต้ไม่มีองค์รัชทายาท ฮ่องเต้เองก็ยังร่างกายแข็งแรง หากฮองเฮาและซู่เฟยเหนียงเหนียงต่างก็มีองค์รัชทายาท ถ้าเช่นนั้นมันจะต่างกันโดยสิ้นเชิงเลยเจ้าค่ะ"
หยุนชางขมวดคิ้วและกระซิบเบาๆ ว่า "เรื่ององค์รัชทายาทนั้นนินทากันมิได้นะ วันนี้เจ้าพูดต่อหน้าข้า ข้าจะคิดเสียว่ามิได้ยินแล้วกัน หากว่าเรื่องถึงรู้ถึงหูคนอื่น แม้ว่าข้าเป็นองค์หญิง ข้าก็คงช่วยเจ้าไม่ได้เช่นกัน"
ฉินเมิ่งเองก็ตระหนักขึ้นมาได้ทันทีว่าตนนั้นพูดมากเกินไป และได้พูดบางอย่างที่ไม่ควรพูดออกมา จากนั้นนางจึงคุกเข่าลงกับพื้นและกล่าวว่า "องค์หญิงโปรดยกโทษให้หม่อมฉันด้วยเจ้าค่ะ หม่อมฉันสำนึกผิดแล้วเจ้าค่ะ หม่อมฉันจะไม่นินทาผู้อื่นอีกแล้วเจ้าค่ะ"
หยุนชางพยักหน้า เอามือยันหัวไว้แล้วหาวออกมา " ออกไปเถิด ข้าง่วงแล้ว วันนี้ข้าเหนื่อยเกินไป ข้าจะพักผ่อนแล้ว"
ฉินเมิ่งรีบถวายบังคมแล้วออกไป ฉินยีตามนางกำนัลยกน้ำมาปรนนิบัติหยุนชางก่อนนอน หยุนชางนอนอยู่บนเตียงและจ้องไปด้านบนของเตียง กล่าวเบาๆ ว่า " สนมซู่และฮองเฮาช่างน่าสนใจจริงๆ"
ฉินยีที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยิน จึงกล่าวว่า " ฮองเฮาของเรานั้นมิใช่คนที่ใจกว้างต่อผู้อื่น ซู่เฟยเหนียงเหนียงสามารถได้รับความโปรดปรานของฝ่าบาท และอยู่ในวังหลังนี้มาเป็นสิบปีได้ แสดงว่านางก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน"
หยุนชางได้ยินเช่นนี้ก็หัวเราะออกมา "ใช่สิ พวกเขาล้วนไม่น่าเป็นมิตร ไม่รู้เหมือนกันว่าหากพวกเขาแย่งชิงกันขึ้นมาใครจะเก่งกว่ากัน"
"แต่มองสถานการณ์ในวันนี้แล้ว เหมือนว่าฮองเฮาจะแข็งแกร่งกว่านะเจ้าคะ"
ฮองเฮางั้นหรือ? หยุนชางครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งและส่ายหน้า "ข้าไม่คิดว่าเป็นเช่นนั้นนะ ช่างมันเถิด นอนพักก่อน พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน"
ฉินยีตอบกลับ จากนั้นก็เป่าไฟดับ แล้วถือโคมไฟเดินออกไป ไปนอนที่ห้องด้านข้าง
หยุนชางหลับตาลง และสิ่งฉินเมิ่งพูดก็ดังขึ้นมาในหู แต่งตั้งเพียงองค์รัชทายาทของพระราชินีเท่านั้น ไม่แต่งตั้งองค์รัชทายาทคนแรกของราวงค์งั้นหรือ? รอยยิ้มจาง ๆ ปรากฏขึ้นที่มุมปากของหยุนชาง องค์รัชทายาทของหยวนเจินฮองเฮา จะคู่ควรกับการเป็นฮ่องเต้ได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น ผู้หญิงอย่างหยวนเจินฮองเฮา จะคู่ควรแกให้กำเนิดบุตรชายให้กับเสด็จพ่อของนางได้อย่างไร?
ฟ้าเริ่มสว่าง หยุนชางตื่นพระบรรทม ฉินยีมายืนรอที่ข้างเตียงตั้งแต่เช้าแล้ว เมื่อนางเห็นหยุนชางลืมตาขึ้นจึงกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า "องค์หญิงทรงอาศัยอยู่กับนายท่านมาหลายปี แน่นอนว่าจะลำบากเล็กน้อยกับการใช้ชีวิตที่นี่ เมื่อก่อนตอนอยู่ที่วัง หากไม่เที่ยงวันองค์หญิงก็จะไม่ตื่นพระบรรทมนะเจ้าคะ แต่ตอนนี้กลับตื่นพระบรรทมแต่เช้าเช่นนี้ ให้บ่าวปรนนิบัติองค์หญิงตื่นพระบรรทมเถิดเจ้าค่ะ"
หยุนชางพยักหน้าและลุกขึ้น
"มีอีกเรื่องหนึ่งเจ้าค่ะองค์หญิง เมื่อวานนี้องค์หญิงทรงตรัสถูกต้องจริงๆ เจ้าค่ะ เมื่อคืนนี้ซู่เฟยเหนียงเหนียงกล่าวว่านางค้นเจอทองหนึ่งตำลึงในห้องนอนของนางกำนัลบผู้นั้น หากพบแค่ทองคำเพียงอย่างเดียวก็ไม่มีกระไร แต่ซู่เฟยเหนียงเหนียงทรงตรัสว่าทองคำนั้นมีกลิ่นหอมของเฟิงฮัวซึ่งมีเพียงฮองเฮาเท่านั้นที่มีกลิ่นนี้เจ้าค่ะ ซู่เฟยเหนียงเหนียงจึงบอกว่าฮองเฮานั้นจงใจใส่ร้ายตน เมื่อคืนนั้นนางไปคุกเข่าและร้องไห้หน้าตำหนักฉินเจิ้งไปหนึ่งคืนเต็มๆ เจ้าค่ะ" ฉินยีนึกถึงข่าวที่ลือกันในตอนเช้านี้ จึงนำมาบอกหยุนชางโดยไว
"หื้ม? " หยุนชางยิ้มมุมปาก "ซู่เฟยเหนียงเหนียงเป็นคนที่ฉลาดเช่นกัน ได้รับสิ่งไหนก็คืนสิ่งนั้นให้กับคนอื่น แต่ว่า……." หยุนชางนึกถึงกิริยาของซู่เฟยเหนียงเหนียงเมื่อวานตอนเกิดเรื่อง แววตาของนางเผยสงสัยเล็กน้อย "เมื่อวานตอนเกิดเรื่อง ซู่เฟยเหนียงเหนียงดูไม่เหมือนคนที่มีเล่ห์กลเช่นนี้นะ ข้าจำได้ว่าเจ้าบอกว่านางเอาแต่บอกว่าฮองเฮาใส่ร้ายนาง แต่นางไม่มีหลักฐาน จึงไปโวยวายที่ตำหนักฮองเฮา……."
ฉินยีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง " เป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ อาจจะเป็นเพราะว่าเรื่องนั้นเกิดอย่างกะทันหันเกินไป ซู่เฟยเหนียงเหนียงใจร้อนจึงทำเช่นนั้นรึเปล่าเจ้าคะ องค์หญิงทรงสงสัยว่า?"
หยุนชางจำอะไรบางอย่างในชาติก่อนขึ้นมาได้และพยักหน้า "มีคนคอยอยู่เบื้องหลังซู่เฟย ไม่ทราบว่าเป็นเทพทิศใด ข้าอยากเจอเหลือเกิน หยุนชางยื่นมือออกมาและให้ฉินยีสวมใส่เสื้อผ้าให้ จึงกล่าวอีกว่า "ผลสุดท้ายเป็นอย่างไร? เสด็จพ่อจัดการนางกำนัลสองคนนั้นไปแล้วใช่หรือไม่? "
ฉินยีได้ยินเช่นนี้ ก็มองไปที่หยุนชางด้วยความชื่นชม " องค์หญิงช่างเป็นคนคาดการณ์ได้เก่งเสียจริง ฝ่าบาททรงออกพระบรมราชโองการให้ประหารนางกำนัลทั้งสองแล้วเจ้าค่ะ และมอบปิ่นปักผมให้ฮองเฮาไปสองสามอัน มอบพระโอสถบำรุงให้กับซู่เฟยเหนียงเหนียงไปส่วนหนึ่ง และมอบสิ่งของให้ด้วยเช่นกัน องค์หญิงทราบได้อย่างไรเจ้าคะ?"
หยุนชางยิ้มออกมา คาดการณ์เก่งอะไรกัน เพียงแค่เพราะว่า ชาติที่แล้วก็เคยเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ตอนนั้นฮ่องเต้ได้ใช้วิธีเดียวกันในการจัดการ นอกจากตัวข้าเองแล้ว เรื่องอื่นๆไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆเลย แต่ทว่าตอนนี้นางกลับมาแล้ว และนับจากวันนี้ไป เรื่องต่อจากนี้จะต่างจากชาติที่แล้ว ทุกอย่างจะเริ่มต้นใหม่
"ข้าเดาน่ะสิ" หยุนชางกล่าวด้วยรอยยิ้ม "ข้าเดาว่าอีกสักพักพระราชินีก็จะมาเชิญชวนให้ข้าไปที่พระราชวังซีอู๋ด้วย"
ฉินยีได้ยินเช่นนี้ก็ส่ายหน้า " องค์หญิงคราวนี้ท่านทรงเดาผิดแล้วเจ้าค่ะ พระราชินียังคงวุ่นวายอยู่กับซู่เฟยเหนียงเหนียงเจ้าค่ะ ท่านจะมีเวลามาสนใจพวกเราได้อย่างไร"
หยุนชางยิ้ม แต่ไม่ได้พูดอะไร นางออกจากห้องบรรทมไปเสวยอะไรเล็กๆ น้อยๆ ทันทีที่วางตะเกียบลง ก็มีนางกำนัลมาทูลว่า "องค์หญิงเจ้าคะ ซิ่วซินกูกูที่เป็นนางกำนัลของพระราชินีขอเข้าเฝ้าเจ้าค่ะ"
หยุนชางโบกมือ "เชิญเข้ามา"
ซิ่วซินดูแก่ลงกว่าเจ็ดปีที่แล้วไปเล็กน้อย มีรอยย่นบนหน้าผากของนาง แต่แววตาของนางกลับแหลมคมมากขึ้น "หม่อมฉันขอถวายบังคมองค์หญิงฮุ่ยกั๋วเจ้าค่ะ องค์หญิงเจ้าคะ วันนี้สำนักพระภูษาได้ส่งผ้าส่วนหนึ่งให้กับพระราชินี พระราชินีทรงตรัสว่าสีของผ้านั้นสดใสและหวานเกินไป ไม่เหมาะกับท่าน ท่านจึงคิดว่าองค์หญิงเพิ่งกลับมาที่พระราชวัง คงมีชุดวังที่เหมาะสมไม่มากนัก ท่านจึงให้หม่อมฉันมาเชิญตัวองค์หญิงไปวัดตัวที่ตำหนักซีอู๋ เพื่อตัดชุดวังสักสองสามชุดเจ้าค่ะ"
หยุนชางยืนขึ้นพยักหน้าและกล่าวว่า " หากเป็นเช่นนี้ก็ต้องขอบคุณเสด็จแม่เจ้าค่ะ ข้าจะไปประเดี๋ยวนี้" พูดไปนางก็เรียกฉินยีและฉินเมิ่งมา นางสวมเสื้อคลุมแล้วเดินออกไป
เมื่อมาถึงพระราชวังซีอู๋ ฮองเฮาก็เรียกให้องค์หญิงเข้าไปนั่ง จากนั้นจึงกล่าวว่า " บ่าวใช้ของสำนักพระภูษานี่ก็จริงๆ ของที่เอามาให้ข้านั้นล้วนเป็นสีชมพู สีขาวจันทร์เสี้ยว เป็นสีที่สดใสอย่างมาก ข้าอายุมากแล้ว ใส่เสื้อผ้าสีสดใสเช่นนั้นมิได้ ฉะนั้นจึงเรียกเจ้ามา จะได้ตัดเสื้อให้เจ้าสักสองสามตัว อีกไม่กี่วันก็ถึงพิธีบรรลุนิติภาวะของเจ้าแล้ว ถึงตอนนั้นแล้วเสื้อผ้าก่อนหน้านี้ก็คงเอามาใส่มิได้ต้องทำเพิ่มอีกหลายๆ ตัวเลย"
หยุนชางตอบอย่างอ่อนโยน "ชางเอ๋อร์ขอบพระทัยเสด็จแม่นะเพคะ แต่ว่า เสด็จแม่อย่าได้ว่าตนเองเช่นนี้อีกนะเพคะ เสด็จแม่นั้นงดงามที่สุดเพคะ"
หยวนเจินฮองเฮาจ้องมองไปที่หยุนชางเป็นเวลานาน จนหยุนชางหน้าแดงและก้มหน้าลง นางจึงยิ้มและกล่าวว่า "ชางเอ๋อร์เขินอายแล้วเหรอ เวลาผ่านไปเร็วมากเช่นกัน ข้ายังจำได้ว่าเจอเจ้าครั้งล่าสุดก็เมื่อเจ็ดปีก่อน ตอนนั้นเจ้ายังเด็กอยู่เลย แค่พริบตาเดียวเจ้าก็โตเป็นสาวเสียแล้ว ช่างดูสง่างดงามเหลือเกิน ข้าดีใจจากใจจริงๆ เลยนะ "
"เสด็จแม่ทรงชมลูกมากเกินแล้วเพคะ เมื่อวานชางเอ๋อร์เพิ่งได้เจอกับท่านพี่ ท่านพี่นั่นสิถึงเรียกว่าสง่าสมเกียรติ และงดงามดั่งภาพวาด ชางเอ๋อร์ยังเทียบพี่สาวไม่ติดเพคะ" หยุนชางก้มหน้าลง และตอบกลับเบาๆ
หยวนเจินฮองเฮาพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ "เมื่อพ้นพิธีบรรลุนิติภาวะแล้ว ก็สามารถแต่งงานได้แล้ว เมื่อวานนี้ข้ายังครุ่นคิดอยู่ ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าบุตรชายของตระกูลไหนจะได้มีโชคได้แต่งงานกับเจ้า
องค์หญิงฮุ่ยกั๋วของเรากลับมาที่วังพอดี อีกไม่นาน แม่จะหาโอกาสจัดงาน เมื่อถึงตอนนั้นก็จะเชิญเหล่าคุณชายที่มีฐานะมีศักดิ์มาร่วมงาน ให้เจ้าได้แอบสอดส่องดูว่ามีคนที่โปรดปรานหรือไม่ เช่นนี้ดีหรือไม่?"