ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - บทที่ 5803 แขกผู้มีเกียรติ(2)
ด้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน นิยาย บท 5803
ในเวลานี้ รปภ.เดินทางถึงตรงกลางถนนก่อนเป็นคนแรก ขวางรถของเย่เฉินเอาไว้ เอ่ยปากกล่าว: “พ่อหนุ่มทำไมเธอถึงกลับมาอีกแล้วละ? ไม่ใช่ว่าฉันเคยบอกกับเธอไปแล้วเหรอว่า เธอจะต้องไปนัดหมายที่กรุ๊ปก่อน!”
หวังจินเฉวียนคิดไม่ถึงว่ารปภ.จะไปเจรจากับแขกผู้มีเกียรติก่อน อีกทั้งเมื่อได้ฟังความหมายในประโยคนี้เหมือนกับว่าก่อนหน้านี้ทั้งสองคนเคยมาที่แล้วครั้งหนึ่ง
ดังนั้น เขารีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อลากรปภ.ไปอีกข้าง เอ่ยปากถามเย่เฉินกล่าว: “สวัสดีครับ ไม่ทราบว่าคุณใช่ผู้เชี่ยวชาญที่ซูซื่อกรุ๊ปมอบหมายมาไหมครับ?”
เย่เฉินชี้ไปที่หลินหว่านเอ๋อร์ที่อยู่ข้างกาย กล่าวพร้อมรอยยิ้ม: “ผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ คุณผู้หญิงท่านนี้ถึงเป็นผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริง”
รปภ.กล่าวด้วยใบหน้าสงสัย: “พ่อหนุ่ม พวกเธอสองคนเป็นผู้เชี่ยวชาญตั้งแต่เมื่อไหร่?”
หวังจินเฉวียนรีบกล่าว: “เหลาหลี่ ทำไมนายพูดจากับแขกผู้มีเกียรติแบบนี้ละ พวกเขาเป็นแขกผู้มีเกียรติมาที่นี่เพื่อชี้แนะตรวจสอบการทำงานของพวกเรา จะให้นายมาชี้ไม้ชี้มือแบบนี้ได้ยังไง รีบเปิดประตูใหญ่!”
ในใจรปภ.รู้สึกแปลกประหลาดใจ แต่ในเมื่อผู้จัดการพูดแล้ว ดังนั้นจึงเลยรีบเปิดประตูใหญ่
หวังจินเฉวียนรีบกล่าวกับเย่เฉินอีกครั้ง: “ทั้งสองท่าน ผมคือหวังจินเฉวียนผู้จัดการโรงงานของพวกเรา เรื่องเล็กเรื่องใหญ่ของที่ล้วนมีผมเป็นผู้รับผิดชอบ รายละเอียกที่ทั้งสองท่านจะมาตรวจสอบในวันนี้มีอะไรบ้างโปรดแจ้งผม ผมจะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ ไม่ปิดบังโดยเด็ดขาด!”
เย่เฉินพยักหน้า กล่าว: “แบบนี้ คุณจัดการสถานที่ก่อน ให้พวกเรานั่งคุยกันสักหน่อยก่อน”
หวังจินเฉวียนหลุดปากกล่าว: “ไม่มีปัญหา! ถ้าอย่างนั้นก็เชิญทั้งสองท่านไปที่ห้องทำงานของผมแล้วกันครับ!”
เย่เฉินถามเขา: “ผู้จัดการหวางขับรถมาไหมครับ?”
หวังจินเฉวียนรีบพยักหน้า: “ขับมาครับๆ!”
“ครับ”เย่เฉินจึงกล่าว: “ถ้าอย่างนั้นคุณนำทาง”
“ได้เลยครับ!”
หวังจินเฉวียนรีบมุดเข้ารถเก๋งอาวดี้สีดำคันหนึ่ง พาเย่เฉินมาที่อาคารสำนักงานของโรงงาน
จากนั้น เขาเชิญเย่เฉินกับหลินหว่านเอ๋อร์มาที่ห้องทำงานของตนเองด้วยความกระตือรือร้น จากนั้นพลางชงชาต้อนรับขับสู้ พลางกล่าว: “ที่ทั้งสองท่านมาดึกดื่นขนาดนี้ หลักๆแล้วอยากจะทำความเข้าใจสถานการณ์ด้านไหนของพวกเราครับ?”
เย่เฉินเอ่ยปากกล่าวอย่างสบายๆ: “ผมได้ยินมาว่าฐานใบชาของพวกคุณคือใช้ภูเขาเอ้อหลางเป็นหลักใช่ไหมครับ?”
“ไม่ผิดครับ!”หวังจินเฉวียนพยักหน้าซ้ำๆ กล่าวอธิบาย: “ฐานใบชาของพวกเรานี้ก็คือใช้ภูเขาเอ้อหลางเป็นศูนย์กลางในการสร้าง เมื่อก่อนที่นี่เป็นภูเขาชาของผู้รับเหมาเอกชน แต่เรื่องจากการปลูกและการจัดการของชาวไร่ชาพวกนี้ไม่ดี คุณภาพและปริมาณการผลิตใบชาของที่นี่จึงตกต่ำหลายปีติดต่อกัน หลังจากที่พวกเรารับช่วงต่อถึงใช้ต้นมารดาชาผูเอ๋อร์ของภูเขาเอ้อหลางเป็นศูนย์กลาง ใช้มันเป็นพื้นฐาน ดำเนินการเพาะพันธุ์ขึ้นใหม่อีกครั้ง คุณภาพของใบชาในตอนนี้ได้พัฒนาขึ้นมาก”
หลินหว่านเอ๋อร์ได้ยินคำสำคัญต้นมารดาชาผูเอ๋อร์แห่งภูเขาเอ้อหลางสองคำนี้ ในใจก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที ดังนั้นเธอจึงเอ่ยปากกล่าวถาม: “ผู้จัดการหวาง ขอถามหน่อยค่ะ ที่คุณพูดว่าต้นมารดาชาผูเอ๋อร์แห่งภูเขาเอ้อหลางหมายความว่ายังไงคะ?”
หวังจินเฉวียนกล่าวอธิบาย: “เป็นอย่างนี้ครับแขกผู้มีเกียรติทั้งสองท่าน บนภูเขาเอ้อหลางลูกนี้มีต้นชาผูเอ่อร์ที่มีประวัติศาสตร์นานมากกว่าพันปี ในระยะรัศมีรอบๆนี้มีต้นชาจำนวนไม่น้อย ว่ากันว่าล้วนเป็นการชำกิ่งมาจากมัน หลังจากที่พวกเรารับช่วงต่อก็ได้ทำงานการเพาะพันธุ์มาระดับหนึ่ง ตอนนั้นพื้นฐานการเพาะพันธุ์ของพวกเราก็คือต้นชาผูเอ่อร์อายุพันปีต้นนี้”
ในใจของหลินหว่านเอ๋อร์ยิ่งตื่นเต้น รีบถามอีกว่า: “ไม่ทราบว่าผู้จัดการหวางจะพาพวกเราไปดูต้นชาอายุพันปีต้นนี้หน่อยได้หรือไม่คะ? ไม่แน่ว่าเขาอาจจะมีส่วนช่วยเหลือในทิศทางการเพาะพันธุ์ของพวกเราในอนาคตเป็นอย่างมากก็ได้”
หวังจินเฉวียนพยักหน้า กล่าวอย่างตรงไปตรงมา: “ในเมื่อแขกผู้มีเกียรติทั้งสองท่านอยากดู ถ้าอย่างนั้นก็ได้เสมอครับ!”
พูดไป หวังจินเฉวียนกล่าวอีกว่า: “เพียงแต่ตอนนี้สีท้องฟ้าด้านนอกเริ่มมืดแล้ว กว่าพวกเราจะขึ้นไปถึงคาดว่าฟ้าคงมืดแล้ว ไม่ทราบว่าหากท้องฟ้ามืดแล้วจะส่งผลกระทบต่อการวิเคราะห์ของต้นชาต้นนี้ไหมครับ?”
หลินหว่านเอ๋อร์กล่าวอย่างไม่ลังเล: “ไม่เลยค่ะ แค่ฉันดูในใจฉันก็รู้แล้วค่ะ!”