ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - บทที่ 5769 แสดงความสงสัยเอาไว้ก่อน (2)
ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน นิยาย บท 5769
เย่เฉินในเวลานี้ก็เรียกได้ว่าเข้าสู่สภาวะสงบนิ่งเช่นกัน
โดยทั่วไปแล้ว แม้ว่านักบำเพ็ญเพียรที่มีพละกำลังแข็งแกร่งจะมาปรากฏตัวขึ้นที่นี่ เเต่ตราบใดที่พวกเขาไม่ได้จงใจตรวจสอบทุกคนจนถึงที่สุด ก็ไม่มีทางที่จะค้นพบได้ว่าเย่เฉินก็เป็นนักบำเพ็ญเพียรด้วยเช่นเดียวกัน
แต่นั่นมันก็ไม่ได้ถูกต้องไปเสียทีเดียว คล้ายกับเรือดำน้ำที่เเม้จะเข้าสู่สภาวะสงบนิ่ง จนโซนาร์แบบพาสซีฟของฝ่ายตรงข้ามไม่สามารถตรวจจับได้ แต่ถ้าอีกฝ่ายเปิดใช้งานโซนาร์แบบแอคทีฟเพื่อค้นหา ก็อาจมีความเป็นไปได้ที่จะถูกพวกเขาตรวจพบจนเจอ
เเต่อย่างไรก็ตาม จุดที่เป็นปัญหาสำคัญมากจุดหนึ่งก็คือ แม้ว่าโซนาร์แบบแอคทีฟจะมีความสามารถตรวจจับเรือดำน้ำที่เงียบมากๆ ได้ แต่มันกลับเป็นดาบสองคมที่เหมือนกับการส่องไฟฉายในความมืด จริงอยู่ที่การใช้งานมันจะทำให้การค้นหาใครบางคนเป็นเรื่องที่ง่ายมากขึ้น ทว่า เมื่อใดที่เปิดใช้งานมันเเล้ว เเละโดยไม่รู้ว่าจะพบคู่ต่อสู้ฝ่ายตรงข้ามหรือไม่ก็ตาม เเต่ตนเองกลับเป็นฝ่ายที่ได้เปิดเผยตัวตนก่อนแล้ว
ดังนั้น ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นทหารหรือนักบำเพ็ญเพียร พวกเขาล้วนเเต่ไม่ต้องการที่จะค้นหาคนประเภทเดียวกันกับพวกเขา อย่างโจ่งแจ้งออกหน้าตาออกตาอยู่เเล้ว
พวกเขากลัวที่จะตกเป็นเป้าหมายของเหล่าปรมาจารย์ยอดฝีมือ ฉะนั้น พวกเขาจึงไม่มีทางเอาความปลอดภัยของตัวเองไปเสี่ยงโดยไม่จำเป็นอย่างเเน่นอน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าพวกเขาจะเที่ยวปล่อยปราณทิพย์ไปทั่วไม่ว่าจะเดินทางไปที่แห่งใด เเล้วเสี่ยงต่อการให้คนที่อยู่รอบตัวพากันเสาะแสวงหาตัวพวกเขา
นับประสาอะไรกับคนอย่างอู๋เฟยเยี่ยน ที่ในเวลานี้เธอยิ่งต้องใช้ความระมัดระวังมากเป็นพิเศษ ดังนั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เธอจะคิดเปิดโซนาร์แบบแอคทีฟเลย เธอเองก็น่าจะเลือกใช้วิธีเดียวกันกับเย่เฉิน โดยการเลือกที่จะเข้าสู่สภาวะสงบนิ่ง เพื่อความปลอดภัยสูงสุดของตัวเธอเองเสียมากกว่า
เเต่ในขณะเดียวกัน การที่เย่เฉินรู้สึกได้ว่ามีใครบางคนกำลังตรงเข้ามาใกล้ด้วยความรวดเร็วนั้น เขาไม่ได้อาศัยปราณทิพย์เลยแม้เเต่น้อย ทว่า อาศัยความตระหนักรู้ที่เกิดขึ้นจากประสาทสัมผัสของตัวเขาเองต่างหาก
ในเวลานั้นเอง อู๋เฟยเยี่ยนซึ่งกำลังขึ้นไปบนภูเขาอย่างรวดเร็วพลันสังเกตเห็นว่า มีคนจำนวนสิบกว่าคนที่ขึ้นไปอยู่บนภูเขาหลังเต่าตั้งเเต่เวลาเช้าตรู่เช่นนี้แล้ว
ทว่า เธอกลับไม่ได้รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด เพราะระหว่างทางที่ขึ้นมาบนภูเขานั้น เธอยังได้พบกับนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบการตั้งแคมป์เดินป่าอีกจำนวนไม่น้อยมาตลอดทาง เธอเองก็ทราบแก่ใจดีว่า เป็นเรื่องปกติธรรมดาในหมู่คนหนุ่มสาวที่มักจะชื่นชอบกิจกรรมท่องเที่ยวกลางแจ้งประเภทนี้อยู่เเล้ว ดังนั้น เธอจึงไม่รู้สึกเอะใจเลยสักนิด
จังหวะที่เธอก้าวเท้าขึ้นไปบนภูเขาหลังเต่า และได้เห็นเต็นท์หลายหลังพร้อมด้วยวัยรุ่นหนุ่มสาวอีกสิบกว่าชีวิต ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสายตาของเธอ คิ้วของเธอพลันกระตุกเล็กน้อยอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
สายตาของผู้คนเหล่านั้น ต่างมองไปยังทิศทางของพระอาทิตย์ที่กำลังจะขึ้นอยู่ในเวลานี้ ซึ่งรู้ได้เลยว่าพวกเขาคงกำลังเฝ้ารอที่จะชื่นชมความงามเมื่อยามพระอาทิตย์ขึ้นเป็นแน่
อู๋เฟยเยี่ยนไม่ได้รู้สึกเอะใจสงสัยพวกเขา เธอเเค่รู้สึกหงุดหงิดและผิดหวังเบื่อหน่ายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น นั่นก็เพราะว่า คนเหล่านั้นอยู่ใกล้กับสุสานของศิษย์พี่หลินจู๋ว์หลูมากจนเกินไป
การที่ตนได้กลับมาเยือนสถานที่นี้อีกครั้ง ก็เพียงเพื่อต้องการมารำลึกถึงความทรงจำในครั้งอดีตต่อหน้าหลุมฝังศพของหลินจู๋ว์หลู และถือโอกาสมาบอกกล่าวความในใจต่อศิษย์พี่เท่านั้นเอง
ทว่า ตำเเหน่งที่คนกลุ่มนั้นรวมกลุ่มกันอยู่ในเวลานี้ มันอยู่ห่างจากสุสานของหลินจู๋ว์หลูออกไปเพียงสองสามร้อยเมตรเท่านั้น หากเธอเดินดุ่มๆ ตรงเข้าไปล่ะก็ เกรงว่าคงไม่สามารถหลบเลี่ยงสายตาของคนเหล่านั้นไปได้ หากเป็นเช่นนั้น ก็คงจะไม่สะดวกสำหรับเธอที่จะพูดกล่าวสิ่งใดกับศิษย์พี่ของเธอเป็นแน่
ในเวลานั้นเอง ที่เย่เฉินบังเอิญเหลือบไปเห็นหญิงสาวซึ่งดูโตเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่ง ที่เพิ่งปรากฏตัวอยู่ในไกลออกไปจากเเนวสายตาของเขาเมื่อสักครู่นี้
แต่ด้วยวิสัยทัศน์ในการมองเห็นที่เหนือกว่ามนุษย์มนาทั่วไป ทำให้เย่เฉินสามารถมองเห็นรูปลักษณ์ของผู้หญิงคนนั้นได้อย่างชัดเจน
ต้องบอกเลยว่า ถึงเเม้อู๋เฟยเยี่ยนจะมีอายุสี่ร้อยปีเข้าไปแล้ว ทว่า ความงดงามเเละมีเสน่ห์ชวนมองของเธอ ยังคงเปล่งประกายราวกับสาววัยเเรกรุ่น เมื่อเทียบกับหลินหว่านเอ๋อร์เเล้ว เรียกได้ว่าเเทบจะสูสีคู่คี่กันเลยทีเดียว
นอกจากนั้น สีหน้าท่าทางของอู๋เฟยเยี่ยนยังดูเย็นชาจนคล้ายกับคนเลือดเย็นไร้ความรู้สึก ดวงตาคู่นั้นดูร้อนเเรงราวกับเปลวเพลิง รัศมีแห่งพลังอานุภาพอันเเข็งเเกร่งของเธอ เปล่งประกายออกมาด้วยความน่าเกรงขาม เมื่อมองแวบแรกก็รู้ได้เลยว่า เธอไม่ใช่คนที่จะจัดการได้ง่ายๆ
เมื่อรู้สึกได้ว่ามีใครบางคนกำลังเฝ้ามองตนเองอยู่ จิตใต้สำนึกของอู๋เฟยเยี่ยนจึงสั่งการให้เธอมองไปที่ฝ่ายนั้นด้วยเช่นกัน
เมื่อหลินหว่านเอ๋อร์ได้เห็นเงาร่างของอู๋เฟยเยี่ยน โดยที่ยังไม่ทันได้เห็นใบหน้านั้นอย่างชัดเจนด้วยซ้ำ หัวใจของเธอกลับเต้นตึกตักไม่เป็นจังหวะโดยฉับพลันทันที เธอรู้เเล้วว่าผู้หญิงที่อยู่ไกลออกไปนั้น ต้องใช่คนที่เธอต้องคอยหลบซ่อนอำพรางตัวมานานสามร้อยกว่าปีเเน่ๆ ซึ่งเธอผู้นั้นก็คืออู๋เฟยเยี่ยนนั่นเอง
ในเสี้ยววินาทีนั้น หัวใจของหลินหว่านเอ๋อร์พลันเต้นแรงเเละถี่รัวจนแทบจะหลุดออกจากร่างเสียให้ได้ ความคับแค้นขุ่นเคืองผสมปนเปกับความรู้สึกประหม่าจนสับสนอลหม่านไปหมด ทำให้ฝ่ามือของเธอในเวลานี้กลับเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
เมื่อเห็นว่าใบหน้าของเธอดูซีดเซียว ประกอบกับท่าทางที่ดูกระวนกระวายใจของเธอด้วยเเล้ว ทำให้เย่เฉินรีบโอบกอดเธอเข้ามาไว้ในอ้อมแขนของเขาในทันที จากนั้นเย่เฉินที่มีสีหน้าท่าทางเป็นห่วงกังวล จึงพูดด้วยน้ำเสียงอันเเผ่วเบาว่า ” อุตส่าห์บอกคุณแล้วว่าอย่านอนดึก คุณก็ไม่ยอมฟังผมเลย เเล้วยิ่งดื่มเหล้าเข้าไปเยอะด้วย โต้รุ่งจนมาถึงตอนนี้คงรู้สึกไม่ค่อยดีเเล้วล่ะสิ ? ”
หลินหว่านเอ๋อร์ทราบดีว่า เย่เฉินคงจะสังเกตเห็นความผิดปกติของเธอได้ เลยจงใจสร้างความสับสนให้กับอู๋เฟยเยี่ยน ทว่า ท่ามกลางความรู้สึกขอบคุณที่ล้นเอ่ออยู่ภายในใจของเธอนั้น การที่เธอถูกเย่เฉินโอบกอดไว้ในอ้อมเเขนเช่นนี้ ก็ทำให้เธอรู้สึกประหม่าและเขินอายไม่น้อยเลยเหมือนกัน
เมื่อพยายามบังคับจิตใจตัวเองให้กลับมาอยู่ในสภาวะปกติได้เเล้ว เธอจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงอันออดอ้อนฉอเลาะ ” ที่ฉันนอนดึกก็เพื่อจะรอดูพระอาทิตย์ขึ้นกับคุณยังไงล่ะคะ… ตั้งเเต่พวกเราคบกันมา เรายังไม่เคยชมพระอาทิตย์ขึ้นด้วยกันเลยนะคะ ”
เมื่อเย่เฉินเห็นว่าอาการของเธอดูบรรเทาลงมาบ้างเเล้ว จึงรู้สึกโล่งอกโล่งใจไปที จากการมองด้วยหางตา ทำให้เขาสังเกตเห็นว่าอู๋เฟยเยี่ยนอาจจะกำลังเฝ้ามองพวกเขาอยู่ ดังนั้น เขาจึงจงใจที่จะหันไปมองตรงตำเเหน่งที่เธอยืนอยู่สักเเวบหนึ่ง เเล้วก็ตั้งใจลดเสียงของเขาให้แผ่วเบาลง พร้อมทั้งหันไปพูดกับหลินหว่านเอ๋อร์ซึ่งอยู่ข้างๆ กันนั้นว่า ” เบบี๋ ดูโน่นสิ มีคนปืนขึ้นมาบนภูเขาหลังเต่าตั้งเเต่เช้าตรู่เลยล่ะ ! ”
หลินหว่านเอ๋อร์แสร้งทำเป็นมองไปทางนั้นด้วยความฉงนสงสัย เเล้วจึงเอ่ยขึ้น ” เหมือนว่าเธอจะมาคนเดียวด้วยนะ เธอปีนข้ามเขามาสองลูกเพื่อมาชมพระอาทิตย์ขึ้นตั้งเเต่เช้าตรู่เเค่นั้นน่ะเหรอ ? งั้นก็เเสดงว่า เธอต้องออกเดินทางมาตั้งเเต่ตอนที่ฟ้ายังไม่ทันสางเเน่ๆ เลยใช่ไหม ? ”
เย่เฉินจึงตอบด้วยท่าทางสบายๆ กลับไปว่า ” ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน คงเหมือนกับเรานั่นเเหละมั้ง อาจจะหาที่พักกลางทางค้างเเรมตรงไหล่เขาสักคืนหนึ่ง ”
จากนั้นไม่นาน เย่เฉินก็พูดขึ้นมาอีกว่า ” แต่ก็น่าแปลกนะ ระดับความสูงของภูเขาหลังเต่าก็ไม่ได้เป็นภูเขาที่สูงที่สุดในละเเวกนี้สักหน่อย เเล้วทำไมต้องมาดั้นด้นปีนขึ้นมาบนนี้เพื่อมาชมพระอาทิตย์ขึ้นด้วยล่ะ ? ที่แปลกไปกว่านั้นก็คือ การที่เธอขึ้นมาบนนี้คนเดียว… ”
ทุกๆ คำพูดในบทสนทนาระหว่างเย่เฉินกับหลินหว่านเอ๋อร์ ได้กระทบไปถึงโสตประสาทของอู๋เฟยเยี่ยนอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง ไม่มีตกหล่นเลยสักคำ
บทสนทนาระหว่างหนุ่มสาวทั้งสองคนนั้น ไม่ได้ทำให้เธอเกิดความสงสัยแต่อย่างใด ในทางตรงกันข้าม หลังจากที่เย่เฉินเริ่มแสดงความสงสัยเกี่ยวกับตัวเธอ ทันใดนั้น สถานการณ์ทั้งหมดจึงพลิกกลับตาลปัตรไปโดยปริยาย นั่นทำให้อู๋เฟยเยี่ยนเกิดตระหนักได้ว่า การที่เธอมาปรากฏตัวที่นี่ตามลำพังในตอนเช้าตรู่แบบนี้ มันช่างไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด
ในเวลานั้น ความคิดที่พยายามจะค้นหาความผิดปกติ ซึ่งอยู่ในมโนคติของอู๋เฟยเยี่ยนมาก่อนหน้านี้ พลันแปรเปลี่ยนเป็นความพยายามที่จะปกปิดความผิดปกติของตัวเองไปเสียเเล้ว
ดังนั้น เธอจึงเกิดความลังเลขึ้นมาในบัดดล เเละยังแอบครุ่นคิดอยู่ในใจด้วยว่า ” ถ้าฉันเข้าไปเคารพหลุมศพของศิษย์พี่ในตอนนี้ คนพวกนั้นจะสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติอะไรรึเปล่านะ ? “