ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - บทที่ 5752 ที่รัก(1)
ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน นิยาย บท 5752
คำพูดของเย่เฉิน ทำให้คิ้วของหลินหว่านเอ๋อร์แข็งทื่อไป
เหมือนกับว่าเธอเข้าใจอะไรบางอย่าง แต่กลับจงใจไม่ถามต่ออีก แต่ก็โยนเรื่องนี้ไปข้างหลัง กล่าวกับเย่เฉินพร้อมรอยยิ้ม: “ในเมื่อคุณชายตัดสินใจไม่ได้ เช่นนั้นข้าน้อยก็ตัดสินใจเรื่องนี้ก็แล้วกัน”
พูดจบ เธอก็เอียงหัวครุ่นคิดครู่หนึ่ง เอ่ยปากกล่าว: “ถ้าหากในสมัยโบราณ ข้าน้อยจะต้องเรียกคุณชายว่าสามี(สมัยโบราณ) แต่ว่าตอนนี้ไม่มีคนเรียกแบบนี้แล้ว อีกทั้งคุณชายกับข้าน้อยแต่งตัวเป็นคู่รักไม่ใช่สามีภรรยา ดังนั้นข้าน้อยจะเรียกคุณชายว่าที่รัก คุณชายเรียกข้าน้อยว่าที่รักเป็นอย่างไร?”
เมื่อพูดจบประโยคนี้ หลินหว่านเอ๋อร์ก็หายใจถี่หอบ ใบหน้าสวยแดงระเรื่อ จ้องมองเย่เฉินด้วยท่าทีกระวนกระวาย เกรงว่าเขาจะปฏิเสธหรือไม่พอใจ
เย่เฉินกลับไม่ได้รู้สึกอะไร แต่งตัวเป็นคู่รักนี่นา แม้กระทั่งใส่ชุดคู่รัก บอกว่าสะอิดสะเอียนก็เป็นเรื่องปกติ ถ้าหากทั้งสองคนมีความสัมพันธ์ฉันคู่รัก ออกจากบ้านเรียกชื่อตรงๆเหมือนว่าไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่
ดังนั้นเขาก็พยักหน้ากล่าวอย่างไม่มีความเห็น: “ที่รักใช่ไหม? ได้ ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามนี้ล่ะ”
พูดไป เย่เฉินกำชับเธอ: “ถ้าอย่างนั้นคุณก็จะต้องจดเอาไว้ให้ได้ อย่าพูดคำว่าข้าน้อยสองคำนี้ต่อหน้าคนอื่น ตอนนี้พวกเราอยู่ในยุคสมัยใหม่ ไม่ใช้คำเรียกแบบเก่าที่ล้าสมัยแล้ว ถ้าหากคุณอยากพูดแบบนี้ตอนอยู่ข้างนอก คนที่ไม่รู้จะคิดเอาว่าผมมีความชอบพิเศษอะไร……”
หลินหว่านเอ๋อร์แลบลิ้น กล่าวอย่างไม่พอใจ: “คุณชาย แต่ว่าข้าน้อยมีประสบการณ์ด้วยตนเองตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงสมัยปัจจุบัน คุณชายพูดเรื่องพวกนี้ ในใจของข้าน้อยเข้าใจดี อีกอย่าง ข้าน้อยไม่เคยพูดแบบนี้มาเกินร้อยปีแล้ว พูดแบบนี้แค่ต่อหน้าคุณชายเท่านั้น ออกจากเรือนนี้ไป ข้าน้อยจะปรับเปลี่ยน”
“ถ้าอย่างนั้นก็ดี”เย่เฉินพยักหน้า จากนั้นก็มองเวลา กล่าว: “เวลาไม่เช้าแล้ว พวกเราออกเดินทางกันเถอะ”
“ค่ะ”หลินหว่านเอ๋อร์พยักหน้า กล่าวกับเย่เฉิน: “คุณชาย ออกจากประตูบานนี้ไป ข้าน้อยก็จะเรียกคุณชายว่าที่รักแล้วนะ?”
เย่เฉินพยักหน้า กล่าวอย่างสบายๆ: “ขอเพียงแค่คุณไม่กลัวท่านคนชราทั้งสี่ที่อยู่ด้านล่างหัวเราะเอา ก็เรียกไปเถอะครับ”
หลินหว่านเอ๋อร์กล่าวหน้าแดงทันที: “ผิดแล้วผิดแล้ว ที่ข้าพูดก็คือ หลังจากที่ออกไปจากโฮมสเตย์จื่อจิน……”
เย่เฉินส่ายหัวไปมาอย่างจนปัญญา: “เอาละ รีบไปกันเถอะ พวกเขายังรออยู่ที่ด้านล่าง คาดว่าน่าจะรอบอกลาคุณ”
“ค่ะ”หลินหว่านเอ๋อร์พยักหน้า กล่าวด้วยความรู้สึกเสียใจเล็กน้อย: “รบกวนคุณชายรอข้าน้อยที่ด้านนอกประตูสักเดี๋ยว ข้าน้อยขอจุดธูปสักดอกให้ท่านพ่อก็จะมา”
เย่เฉินตอบรับอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เดินออกจากห้องไปก่อนเพียงคนเดียว
หลังจากที่หลินหว่านเอ๋อร์รอให้เย่เฉินเดินออกจากห้องไป ก็มาที่หน้าป้ายดวงวิญญาณของหลินจู๋ว์หลูผู้เป็นบิดา นางใช้มือเรียวยาวหยิบธูปขึ้นมาสามดอก จุดอย่างระวัง รอหลังจากที่เปลวเพลิงดับลง ควันไม้จันทน์ลอยม้วนขึ้น ถึงนำธูปทั้งสามดอกปักลงในกระถางธูป จากนั้นคุกเข่าลงบนฟูกที่ด้านหน้าป้ายดวงวิญญาณ สองมือประกอบเข้าหากัน กล่าวพึมพำด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา: “ท่านพ่อ……หว่านเอ๋อร์กับสา……เอ่อไม่ใช่ไม่ใช่……หว่านเอ๋อร์เข้าถึงบทยาทจนพูดผิดไปแล้ว……หว่านเอ๋อร์จะไปที่เตียนหนานพร้อมกันกับคุณชายเย่ หวังว่าดวงวิญญาณที่อยู่บนสวรรค์ของท่าน จะคุ้มครองหว่านเอ๋อร์กับคุณชายให้กลับมาอย่างปลอดภัย ถ้าสามารถคุ้มครองคุณชายให้กลับมาอย่างปลอดภัยได้ดังหวัง……”
พูดจบ เธอก็ก้มหัวคำนับหน้าป้ายดวงวิญญาณสามครั้ง แล้วถึงจะลุกขึ้นยืน แล้วเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
เย่เฉินรออยู่ในเรือน เมื่อเห็นหลินหว่านเอ๋อร์ออกมา ก็ยิ้มให้เธอทันที ทั้งสองคนเดินลงมาจากเรือนชั้นบนพร้อมกัน
ด้านล่าง คนชราทั้งสี่กำลังแอบมองอยู่ในห้องโถงชั้นหนึ่ง เอียงศีรษะมองไปทางบันได
เมื่อเหล่าจางเห็นทั้งสองคนสวมชุดคู่รักเดินออกมาจริงๆ ก็กล่าวอย่างดีใจเป็นอย่างยิ่ง: “โอ้โห! คุณเย่กับคุณหนูช่างเป็นกิ่งทองใบหยกกันจริงๆ เสมือนสวรรค์ได้บรรจงสร้างขึ้น!”
ซุนจือต้งจ้องมองทั้งสองคน อดไม่ได้ที่จะร้องจุ๊จุ๊กล่าวอย่างสงสัย: “เหล่าจาง พวกเราสามคน นายติดตามอยู่ข้างกายคุณหนูเป็นเวลานานที่สุดแล้ว เก้าสิบปีมานี้ นายเคยเห็นคุณหนูยิ้มแบบนี้ไหม? นี่ไม่ใช่ความเขินอายตามมาตรฐานในตำราเรียนหรอกเหรอ?”
หลินหว่านเอ๋อร์ในเวลานี้ บนใบหน้าแฝงไปด้วยรอยยิ้มเหนียมอายของสาวน้อย เดินไปที่ข้างกายของเย่เฉิน มองออกได้อย่างชัดเจนว่าเธออารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง หางตาแอบเหลือบมองเย่เฉินที่อยู่ข้างกายเป็นระยะ ทุกครั้งล้วนเป็นเพียงแค่แวบเดียว ไม่กล้ามองนาน อีกทั้งทุกครั้งที่มอง ดวงตาล้วนโค้งขึ้นราวกับใบหลิวที่โดนลมพัด ช่างเป็นจันทร์หลบโฉมสุดา มวลผกาละอายนางอย่างแท้จริงๆ
แต่ว่า หลินหว่านเอ๋อร์ในความทรงจำของพวกเขาทั้งสามคน ถึงแม้ว่าจะชอบยิ้มมาก แต่เป็นรอยยิ้มที่ไม่คิดอะไรมาก ขี้เล่นทั้งเผด็จการแบบนั้น คำว่าเหนียมอายสองคำนี้ ไม่เข้ากับหลินหว่านเอ๋อร์มาหลายร้อยปีแล้ว
ตอนนี้ ในที่สุดพวกเขาก็ตระหนักได้ว่า ที่แท้คุณหนูก็มีด้านความเป็นสาวน้อยเช่นนี้ เหนียมอายเช่นนี้เช่นกัน
ชิวอิงซานจ้องมองหลินหว่านเอ๋อร์ที่เดินมาแต่ไกล อดไม่ได้ที่จะกล่าวอย่างทอดถอนใจด้วยรอยยิ้มที่เต็มใบหน้า: “ถ้าหากคุณหนูสวมชุดเจ้าสาวหรือชุดแต่งงานแบบซิ่วเหอ จะต้องสวยยิ่งกว่านี้แน่นอนเลยใช่ไหม?”
ซุนจือต้งโบกไม้โบกมือ กล่าวด้วยท่าทางจริงจัง: “ไม่ได้ คุณหนูมองดูไปอายุยังน้อย เด็กผู้หญิงสมัยนี้แต่งงานกันตอนอายุยี่สิบกว่าสามสิบปี คุณหนูมองดูเหมือนเพิ่งจบชั้นมัธยมปลาย สวมชุดเจ้าสาวเกรงว่าจะดูไม่ค่อยเหมาะสักเท่าไหร่”
คู่ชีวิตที่อยู่ร่วมกันมานานของชิวอิงซานกล่าวเตือนเสียงเบา: “พวกคุณตาแก่สามคนจะนินทาอย่างน้อยก็รอให้คุณหนูกับคุณเย่ไปก่อนค่อยพูดก็ได้ คุณเย่มีความสามารถอย่างมหัศจรรย์ ถ้าหากให้เขาได้ยินเข้าแล้ว ยังไม่รู้ว่าจะมองพวกคุณยังไงเลยนะ!”
ชิวอิงซานรีบพูดกับอีกสองคน: “เงียบเงียบ รอให้คุณหนูกับคุณเย่ไปก่อนค่อยพูด”
อีกสองคนก็หุบปากอย่างรู้งาน ทั้งสามคนแสร้งทำเป็นเหมือนไม่มีอะไร ดวงตามองไปรอบๆในห้องโถง