ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - บทที่ 5655 ความปรารถนาเพียงหนึ่งเดียว(1)
ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน บทที่ 5655 ความปรารถนาเพียงหนึ่งเดียว(1)
เย่เฉินฟังแล้วรู้สึกตกใจ และอดไม่ได้ที่จะถามเธอ : “ตอนนั้นที่ยุโรปเหนือ คุณยังมีผู้อาวุโสท่านหนึ่งติดตามอยู่เป็นเพื่อนด้วย ตอนนั้นคุณเรียกเขาว่าคุณปู่ต่อหน้าผม แต่อันที่จริงเขาเป็นเด็กกำพร้าคุณเลี้ยงดูจนเติบโตด้วยสินะครับ ?”
หลินหว่านเอ๋อร์พูดพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย : “ผู้อาวุโสคนนั้นที่คุณชายว่า ชื่อว่าเหล่าจาง เขาเป็นทารกกำพร้าคนสุดท้ายที่ดิฉันรับเลี้ยงที่เย่นจิง ก่อนหน้าออกเดินทางไปสหรัฐอเมริกา หลังจากเหตุการณ์สะพานมาร์โก โปโล”
หยุดไปพักหนึ่ง หลินหว่านเอ๋อร์จึงพูดต่อ : “อันที่จริงเด็กแบบนี้ส่วนใหญ่ จะยืนหยัดด้วยลำแข้งของตัวเองภายใต้การช่วยเหลือของดิฉัน หลังจากอายุยี่สิบกว่าปี มีทรัพย์สมบัติบางอย่างที่บอกว่ามอบให้พวกเขาจัดการแทน แต่อันที่จริงก็เทียบเท่ากับการที่ดิฉันมอบของขวัญให้พวกเขาก้อนหนึ่งแล้ว ในสองร้อยกว่าปีมานี้ ไม่รู้ว่ามอบทรัพย์สมบัติไปเท่าไหร่แล้ว”
“เด็กที่มีความผูกพันกับดิฉันอย่างลึกซึ้ง และเต็มใจที่อยู่ข้างกายดิฉัน เหมือนอย่างเหล่าจางแบบนั้นมีเพียงน้อยนิด ดิฉันจึงจะพาไปด้วยตลอด อย่างไรซะดิฉันเป็นผู้หญิงบอบบาง ไม่ได้มีอุบายป้องกันตัวอะไร ตอนที่หลบหนีไปทั่วสารทิศ จำเป็นต้องมีคนดูแลอยู่ข้าง ๆ ด้วยเหมือนกัน”
“นอกเหนือจากเหล่าจางแล้ว เดิมทียังมีเด็กสาวชาวสหรัฐอเมริกาที่เกิดเมื่อปี 1942 คนหนึ่งที่ติดตามอยู่ข้างกายดิฉันมาโดยตลอด แต่เมื่อหลายปีก่อนเธอได้จากไปด้วยโรคมะเร็ง”
“เจ้าของคฤหาสน์หลังนี้เป็นเด็กที่ดิฉันรับเลี้ยงก่อนหน้าเหตุการณ์สะพานมาร์โก โปโล ตอนนั้นยังอยู่ในผ้าอ้อม ต่อมาดิฉันพาเขาไปสหรัฐอเมริกา เขาสอบเข้ามหาวิทยาลัยเยลที่สหรัฐอเมริกา หลังจากจบการศึกษา ฉันให้เขาไปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รับช่วงอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ในมือของฉัน หลายปีมานี้เขาบริหารได้ดีมาก ได้กลายเป็นมหาเศรษฐีเบอร์หนึ่งของท้องที่ไปแล้ว”
“เฒ่าแก่ซุนที่ช่วยดิฉันสืบข้อมูลของคุณชายไว้มากมายที่เย่นจิงนั่น ก็เป็นเด็กที่ดิฉันรับเลี้ยงก่อนเหตุการณ์สะพานมาร์โก โปโลด้วยเหมือนกันค่ะ ก่อนหน้านี้ก็ร่ำเรียนหนังสือศึกษาเพิ่มเติมอยู่ที่สหรัฐอเมริกามาโดยตลอด และกลับมาสร้างมาตุภูมิเมื่อปี 1963 ต่อมาหลายปีมานี้ก็พัฒนาไปได้ไม่เลวเลยเหมือนกัน”
พูดถึงตรงนี้ หลินหว่านเอ๋อร์ชะงักไปเล็กน้อย แล้วบอก : “หลังจากดิฉันถึงสหรัฐอเมริกา ก็รับเลี้ยงเด็กกำพร้าที่สหรัฐอเมริกาอยู่หลายคน แต่ว่าหลังจากจบสงครามโลกครั้งที่สอง นับวันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีก็ยิ่งพัฒนาไปไกล กำลังขององค์กรพั่วชิงก็ยิ่งเข้มแข็งเติบใหญ่ ดิฉันจึงระมัดระวังมาก ไป ๆ มา ๆ พวกประเทศที่เป็นเกาะที่มหาสมุทรอินเดียกับแปซิฟิกใต้อยู่หลายสิบปี ระหว่างนี้ก็ไม่กล้ารับเลี้ยงอีก เมื่อสองสามปีก่อนไปที่ยุโรปเหนืออีกครั้ง ผลลัพธ์ได้พบกับคุณชายที่ยุโรปเหนือ……”
เย่เฉินฟังการบรรยายของหลินหว่านเอ๋อร์จนจบอย่างเงียบ ๆ และเกิดคลื่นโหมสาดซัดอย่างบ้าคลั่งอยู่ในใจ
ประสบการณ์สามร้อยกว่าปีของหลินหว่านเอ๋อร์ไม่หนักหนาอะไร แต่ในความไม่หนักหนาอะไรนี้ ไม่รู้ว่าได้ครอบคลุมความยากลำบากกับเส้นทางกี่พันลี้ และไม่รู้ว่าแฝงการเปลี่ยนแปลงโลกไว้กี่ครั้ง
คิดว่าสองร้อยกว่าปีนี้ของเธอ จะต้องล้มลุกคลุกคลานเป็นอย่างยิ่ง และโรยไปด้วยความทุกข์ทรมาน
หลินหว่านเอ๋อร์พูดพวกนี้จบ เห็นเย่เฉินนิ่งเงียบไม่พูดอยู่นาน เลยยิ้มถาม : “คุณชายทราบว่าดิฉันมีชีวิตอยู่มานานขนาดนี้ อิจฉามากเลยใช่ไหมคะ ?”
เย่เฉินมองเธอ แล้วส่ายหน้าเบา ๆ พูดจากใจจริง : “ผมไม่อิจฉาหรอก ถึงขนาดเห็นใจอยู่หน่อยด้วยซ้ำ……”
“เห็นใจ ?” หลินหว่านเอ๋อร์ตะลึง แล้วถามตามจิตใต้สำนึก : “คุณชายรู้สึกเห็นใจฉันงั้นเหรอคะ ?”
“ใช่……” เย่เฉินมองเธอ แล้วพยักหน้าเล็กน้อย
หลินหว่านเอ๋อร์ขอบตาร้อนผ่าว รีบหันหน้าไป จงใจพูดพร้อมกับฝืนยิ้ม : “ดิฉันมีอะไรให้น่าเห็นใจกันคะ หากว่าเล่าเรื่องราวของดิฉันให้คนอื่นฟัง ไม่รู้ว่ามีกี่คนที่อิจฉาจนจะขาดใจตาย……”
แม้จะพูดแบบนี้ แต่ต่อให้เธอเงยหน้ามองเพดาน แต่น้ำตาไหลออกจากเบ้าตาลงมาตามใบหน้าอย่างไร้การควบคุม
หลินหว่านเอ๋อร์รีบปาดน้ำตา น้ำตาเป็นประกายอยู่ในดวงตา กลับยิ้มถามเย่เฉิน : “จริงสิ ทำไมคุณชายถึงเห็นใจดิฉันคะ ?”
เย่เฉินพูดจากใจจริง : “แม้ว่าผมไม่ได้อายุยืน แต่พอนึกว่าผมอาจจะมีชีวิตอยู่ถึงสองร้อยปี ผมก็รู้สึกหวาดกลัวไม่หยุด ตอนนี้ได้ยินคุณบอกว่าผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนเดียวอย่างคุณ ถึงกับมีชีวิตอยู่เกือบสี่ร้อยปีในโลกที่มีเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงนี้อยู่ตามลำพัง และเป็นสี่ร้อยปีที่สังคมมนุษย์ผันผวนไม่แน่นอนสุด ๆ อีกด้วย ระหว่างนี้ไม่รู้ว่าประสบอุปสรรคและระเหเร่ร่อนแค่ไหน ได้รับความทุกข์ทรมานมากแค่ไหน แค่คิดดูก็ชวนให้รู้สึกเห็นใจแล้ว……”
ในตอนนี้ หลินหว่านเอ๋อร์มองเย่เฉิน คิดแค่อยากร้องไห้โฮต่อหน้าเขา