ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - บทที่ 5653 การเดินทางหลบหนี(1)
ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน บทที่ 5653 การเดินทางหลบหนี(1)
แม้ว่าเย่เฉินจ้องไม้ฟาดสายฟ้าของหลินหว่านเอ๋อร์ตาเป็นมัน แต่รู้สึกเกรงใจที่จะเอ่ยปากขออยู่ชั่วครู่
อย่างไรก็ตาม ของชิ้นนี้เป็นของที่หลินหว่านเอ๋อร์เก็บรักษาไว้สามร้อยกว่าปี มีความหมายพิเศษมากสำหรับเธออย่างแน่นอน
แต่ว่าเย่เฉินรู้อยู่แก่ใจ ตัวเองไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรีบร้อนเกินไป สถานการณ์ในตอนนี้ ต่อให้หลินหว่านเอ๋อร์มอบไม้ฟาดสายฟ้าให้ตัวเอง ตัวเองก็ไม่มีความสามารถที่จะกลั่นอยู่ดี
ครั้นแล้ว เย่เฉินมองหลินหว่านเอ๋อร์ แล้วถามคำถามหนึ่งที่ตัวเองอยากรู้อยากเห็นมาก ๆ : “คุณหลิน ผมอยากรู้มากกว่า สามร้อยกว่าปีมานี้คุณมีชีวิตอยู่ยังไงเหรอครับ ?”
หลินหว่านเอ๋อร์ยักไหล่แล้วยิ้ม พูดพร้อมกับหัวเราะตัวเอง : “ดิฉันไม่ชำนาญปราณทิพย์ ไม่ได้เป็นคู่ต่อสู้ของอู๋เฟยเยี่ยนเลยสักนิด ดังนั้นสามร้อยกว่าปีมานี้ของฉัน เลยทำได้แต่หนีตายไปทั่วมาตลอด”
ว่าแล้ว หลินหว่านเอ๋อร์ก็พูดอีก : “แต่ว่าสองร้อยปีก่อนยังนับว่าดี ยังไงตอนนั้นการจราจรไม่สะดวก และการติดต่อสื่อสารไม่ได้พัฒนา อู๋เฟยเยี่ยนอยากจับฉันก็ไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น”
พูดถึงตรงนี้ หลินหว่านเอ๋อร์เอียงหัว หวนนึกไปด้วย และเล่าไปด้วย : “หลังจากจัดการงานศพของพ่อเรียบร้อยแล้ว เนื่องจากดิฉันอายุน้อย ไม่มีความสามารถอะไร ทำได้แต่ใช้ชีวิตอยู่ในสถานที่ไกลลับตาคนที่เตียนหนานไป ๆ มา ๆ อยู่หลายปี เนื่องจากดิฉันหน้าเด็กมาก เพื่อไม่ให้ถูกสงสัย ดิฉันใช้ชีวิตอยู่ที่สถานที่หนึ่งห้าปีแปดปีโดยทั่วไป ก็จะเปลี่ยนไปอีกที่หนึ่ง”
“และดิฉันชอบชาผูเอ่อร์ ในตอนนั้น”
“ตอนนั้น ดิฉันไป ๆ มา ๆ อยู่หลายที่ อาศัยโอกาสนี้ไปเรียนรู้และทดสอบวิธีกลั่นชาผูเอ่อร์ทั่วทุกที่ ต่อมาใช้ชีวิตอยู่ที่ริมสระสวรรค์ของเตียนหนานอยู่หลายปี สอนชาวไร่ชาท้องที่ทำกรรมวิธีชาผูเอ่อร์ให้ดียิ่งขึ้น”
“หลังจากเห็นต้นแม่ชาผูเอ่อร์ล้มเหลวในการผ่านเคราะห์กับตา ดิฉันก็รู้สึกสูญเสียที่พึ่งทางใจ บวกกับผ่านการใช้ชีวิตหนีตายมาหลายสิบปี ดิฉันสะสมเงินทองไว้จำนวนหนึ่ง และรู้จักประสบการณ์หนีตายและชีวิตมากมาย และอยู่ที่ริมสระสวรรค์มาหลายปี ถึงเวลาที่ควรจะไปแล้วด้วย ดิฉันจึงออกจากเตียนหนาน……”
“หลังจากออกเตียนหนาน ดิฉันไม่กล้าไปในพื้นที่ด้านใน เลยลงใต้ไปเจียวจื่อ และจากเจียวจื่อลงไปที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ส่วนที่ติดทะเล เคยใช้ชีวิตในหลายประเทศที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ส่วนที่ติดทะเล สุดท้ายใช้ชีวิตอยู่ที่รัฐปีนังอยู่ช่วงหนึ่ง”
“ต่อจากนั้น ดิฉันไปที่บรูไนอีก ไปอินโด จากนั้นนั่งเรือจากอินโดไปอินเดีย และจากอินเดียข้ามผ่านตะวันออกกลางไปจักรวรรดิออตโตมัน”
“หลังจากนั้น ยุโรปเริ่มปฏิวัติอุตสาหกรรม ตอนนั้นดิฉันตกตะลึงมากที่พวกเขาพัฒนาในด้านวิชาการและเทคโนโลยีไปไวมาก ครั้นแล้วจึงเริ่มท่องเที่ยวไปทุกประเทศในยุโรป ระหว่างนี้ยังใช้ตัวตนแตกต่างกัน ร่ำเรียนมหาวิทยาลัยหลายแห่งที่ยุโรป”
“ต้นศตวรรษสิบเก้า ดิฉันข้ามช่องแคบอิงค์แลนด์ไปเรียนหนังสือที่อิงค์แลนด์ แต่อยู่ได้ไม่นาน อิงค์แลนด์ก็เริ่มรุกรานหัวเซี่ย ดิฉันเห็นคนอิงค์แลนด์ที่ปกติชมตัวเองว่าเป็นสุภาพบุรุษพวกนั้น เริ่มยกกำลังทั้งประเทศ ตั้งอาณานิคมและค้าขายฝิ่นทั่วโลก และยุให้เกิดสงครามฝิ่นเป็นครั้งแรกที่หัวเซี่ย ดิฉันรู้สึกเอือมระอา จึงออกจากอิงค์แลนด์ และนั่งเรือไปอเมกาเหนือ”
“เพียงแต่ ดิฉันปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมของอเมกาเหนือในตอนนั้นไม่ค่อยได้ อเมกาเหนือในตอนนั้นไม่มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย คนผิวขาวที่นั่น ยุ่งอยู่กับการเคลื่อนไหวล้อมรอบ และใช้คนผิวดำเยี่ยงทาสอยู่ทุกวัน และสังหารอินเดียนแดงที่นั่นอย่างบ้าคลั่ง ทุกที่ที่ไปถึง ล้วนเป็นกลิ่นคาวเลือดและความยุ่งเหยิง ดิฉันจึงนั่งเรือสินค้าไปประเทศญี่ปุ่น หลังจากที่สงครามหนานเป่ยได้เริ่มขึ้น”
“ประเทศญี่ปุ่นในตอนนั้นได้เริ่มฟื้นฟูพระราชอำนาจสมัยเมจิแล้ว อยู่ในช่วงเวลาที่วัฒนธรรมทางตะวันตกและตะวันออกโจมตีอย่างรวดเร็ว และผสมผสานอย่างว่องไว ดิฉันอยากดูว่าประเทศญี่ปุ่นจะพัฒนาไปไหนทิศทางใด เลยอยู่ประเทศญี่ปุ่นเป็นเวลานานหน่อย”
“หลังจากสงครามจีน–ญี่ปุ่นเริ่มเปิดฉาก ดิฉันรู้สึกว่าราชวงศ์ชิงโง่เขลาเบาปัญญา บวกกับหลายปีมานี้ ได้เห็นว่ายุโรปพัฒนาไปไวมากหลังจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม รวมทั้งประเทศญี่ปุ่นเปลี่ยนแปลงไปไวมากหลังจากการฟื้นฟูพระราชอำนาจสมัยเมจิ เลยอยากกลับหัวเซี่ยมาก เพื่อไปทุ่มเทความสามารถให้หัวเซี่ย ตอนนั้นได้พบกับคุณซุนที่วางแผนและก่อตั้งแก๊งซิ่งหัวที่เกาะฮ่องกางพอดิบพอดี ดิฉันจึงจากประเทศญี่ปุ่นไปเกาะฮ่องกาง อยากจะเข้าร่วมแก๊งซิ่งหัวเพื่อทุ่มเทความสามารถให้เท่าที่จะเป็นไปได้”