ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - บทที่ 5649 เรื่องราวในอดีตเมื่อร้อยปีก่อน (1)
ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน บทที่ 5649 เรื่องราวในอดีตเมื่อร้อยปีก่อน (1)
“อู๋เฟยเยี่ยน?”
เย่เฉินเบิกตากว้าง: “ผู้มีพระคุณนั่นขององค์กรพั่วชิงคือผู้หญิงคนหนึ่งหรือ?!”
“เจ้าค่ะ”หลินหว่านเอ๋อร์พยักหน้า กัดฟันกรอดแล้วพูด: “ไม่เพียงเป็นผู้หญิงเท่านั้น ทั้งยังเป็นผู้หญิงที่โหดเหี้ยมที่สุดในโลกด้วย!”
เย่เฉินถามอย่างตะลึง: “นางเป็นน้องสาวของเพื่อนพ่อเธอ งั้นก็แสดงว่านางก็มีชีวิตคงอยู่มาสามสี่ร้อยปีแล้วมิใช่หรือ?!”
หลินหว่านเอ๋อร์นึกคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบกลับ: “อู๋เฟยเยี่ยนเด็กกว่าท่านพ่อข้าหนึ่งปี โตกว่าข้า 23 ปี ปัจจุบันมันมีอายุสี่ร้อยกว่าปีแล้ว”
เย่เฉินพูด: “งั้นนางก็น่าจะกินยาจงเจริญเหมือนกันสินะ?”
“แน่นอนอยู่แล้วเจ้าค่ะ”หลินหว่านเอ๋อร์พูดอย่างทอดถอนใจ: “ยาจงเจริญ เป็นยาที่อาจารย์ของท่านพ่อและอู๋เฟยเยี่ยนมอบให้พวกท่านทั้งสองก่อนสิ้นอายุขัย เดิมทีทั้งคู่ได้มาคนละเม็ด เพื่อหวังว่าพวกท่านจะสามารถทำให้ยุคราชวงศ์ชิงเฟื่องฟูต่อไปได้;”
“นอกจากได้รับยาจงเจริญคนละเม็ดแล้ว ซือกงยังนำแหวนวงนั้นบนมือคุณชายฝากให้ท่านพ่อด้วย ให้ท่านพ่อดูแลรักษามันดี ๆ สักวันเมื่อโอกาสมาถึง ก็จะได้รับตำรับยา วรยุทธ์ที่ท่านทิ้งไว้ เล่ากันว่าในจำนวนสมบัติทั้งหมดที่ซือกงทิ้งไว้นั้น ยังมีความลับที่สามารถมีอายุยืนยาวเป็นพันปีได้ด้วย;”
“แต่สิ่งที่คิดไม่ถึงคือหลังจากซือกงสิ้นชีพไปแล้ว อู๋เฟยเยี่ยนก็เกิดความโลภชั่วขณะ ลงมือโจมตีท่านพ่อจนบาดเจ็บสาหัสกะทันหัน อยากแก่งแย่งแหวนวงนั้นไปจากท่านพ่อ รวมไปถึงยาจงเจริญเม็ดนั้น;”
“เมื่ออยู่ในช่วงเวลาที่สำคัญ แหวนจึงส่งท่านพ่อให้ปรากฏต่อหน้าข้า ท่านพ่อถึงได้นำยาจงเจริญเม็ดนั้นให้แก่ข้า……”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ หลินหว่านเอ๋อร์ก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ปรับสภาพอารมณ์ครู่หนึ่งแล้วพูดต่ออีกว่า: “ข้าเริ่มเล่าตั้งแต่ตอนที่องค์กรพั่วชิงถูกก่อตั้งขึ้นมาใหม่ ๆ ให้คุณชายฟังดีกว่า มิเช่นนั้นเกรงว่าคุณชายก็น่าจะฟังไม่รู้เรื่องเช่นกัน”
เย่เฉินพยักหน้าแล้วรีบพูดว่า: “เธอเชิญพูดได้เลย!”
หลินหว่านเอ๋อร์จิบชาอึกหนึ่งแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ไพเราะน่าฟัง: “ท่านพ่อข้ามีนามว่าหลินหงเอิน เกิดในยุคจักรพรรดิองค์ที่ 16 แห่งราชวงศ์หมิง หรือปีคริสตศักราช 1622;”
“เริ่มตั้งแต่ราชวงศ์เปิดประเทศ ตระกูลหลินก็ซื่อสัตย์ตรงไปตรงมามาทุกยุคสมัย;”
“บรรพบุรุษของตระกูลหลินเริ่มเป็นขุนนางแห่งจินหลิงก่อน ต่อมาก็อพยพคนทั้งตระกูลมุ่งหน้าไปยังเย่นจิง;”
“แต่ทว่าในยุคปลายของราชวงศ์หมิง ขันทีกุมอำนาจ สถานการณ์ ณ เวลานั้นสั่นคลอน ฐานะของตระกูลหลินก็ค่อย ๆ เสื่อมโทรมลง คอยท่านพ่อบรรลุนิติภาวะแล้วสมรสกับท่านแม่ข้า ตระกูลหลินก็ไม่มีตำแหน่งขุนนางใด ๆ อีกเลย;”
“เดิมทีท่านพ่อเป็นเพียงคนร่ำเรียนวิชาหนังสือทั่ว ๆ ไป อยากสอบคัดเลือกเพื่อเข้ารับราชการมาโดยตลอด หวังว่าจะมีโอกาสทำให้กิจการของตระกูลหลินกลับไปเฟื่องฟูเหมือนเดิม แต่หลังจากปี 1644 กองทัพชิงบุก ท่านพ่อที่เป็นปัญญาชนได้ทิ้งพู่กันกระโดดเข้าร่วมชีวิตการเป็นทหาร เปลี่ยนชื่อเป็นหลินจู๋ว์หลู อีกทั้งร่วมมือกับอู๋เฟยหยางก่อตั้งองค์กรพั่วชิงขึ้นมา ปฏิญาณว่าจะขับไล่ชาวแมนจูออกไปจากประเทศ;”
“อู๋เฟยหยางเป็นคนเหลียวตง เป็นญาติห่าง ๆ กับจารชนอู๋ซานกุ้ยทว่าเนื่องจากอู๋ซานกุ้ยที่ไร้ยางอายขายชาติเพื่อกอบโกยชื่อเสียเงินทอง เพราะฉะนั้นถึงได้ตั้งปณิธานว่าจะโค่นชิงฟื้นหมิง;”
“เมื่อปีนั้นอู๋เฟยเยี่ยนน่าจะมีอายุ 19 ปี ซึ่งนางก็เข้าร่วมองค์กรพั่วชิงพร้อมกับท่านพี่นางอู๋เฟยหยางเช่นกัน;”
“ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ท่านพ่อก็พาท่านแม่ข้าเร่ร่อนพเนจร ทำสงครามกับกองทัพชิงมาโดยตลอด;”
“ช่วงที่กำเนิดข้า เนื่องจากแม่ข้าย้ายถิ่นฐานไปไหนมาไหนพร้อมกับท่านพ่อข้ามาโดยตลอด เงื่อนไขต่าง ๆ ไม่พร้อม เริ่มเกิดปัญหาต่าง ๆ กับร่างกาย ก่อนจะเสียชีวิตขณะที่ข้ายังมีอายุไม่ครบเดือน เมื่อนั้นสถานการณ์รบในแนวหน้าค่อนข้างตึงเครียด ท่านพ่อจึงฝากฝังให้คนส่งข้าไปยังบ้านของคุณยายที่เตียนหนาน ข้าจึงใช้ชีวิตและเติบโตอยู่ในเตียนหนานมาตั้งแต่เด็ก;”
“ปีที่สี่ที่จักรพรรดิหย่งลี่ครองราชย์ หรือคริสตศักราชปี 1650 กองทัพชิงโจมตีไปทางทิศใต้ตั้งแต่มณฑลหูเป่ยและหูหนาน กองทัพหนานหมิงพ่ายแพ้อย่างต่อเนื่อง องค์กรพั่วชิงที่ออกรบพร้อมกับหนานหมิงก็เสียหายอย่างหนักหน่วงเช่นกัน;”
“และเพื่อนสนิทของท่านพ่ออู๋เฟยหยาง ก็ตายอยู่ในสงครามมณฑลหูเป่ยและหูหนานในครั้งนั้นนี่แหละ;”
“ก่อนอู๋เฟยหยางจะตาย เขาได้นำน้องสาวของตนฝากฝักให้กับท่านพ่อข้า แต่ตอนนั้นพวกท่านพ่อถูกกองทัพชิงรายล้อม ไร้ซึ่งหนทางหลบหนี ภายใต้สถานการณ์ที่จนปัญญา ท่านพ่อจึงทำได้เพียงพาอู๋เฟยเยี่ยนหลบหนีเข้าไปในภูเขาแสนลี้;”
“ทั้งสองเกือบทิ้งชีวิตอยู่ในภูเขาใหญ่ โชคดีที่ถูกนักบำเพ็ญเพียรท่านหนึ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ในภูเขาแสนลี้ช่วยชีวิตเอาไว้;”
“นักบำเพ็ญเพียรท่านนั้นก็เป็นชนชาติฮั่นเหมือนกัน เมื่อเห็นว่าพวกเขาทั้งสองถูกทหารชาวมองโกเลียและแมนจูไล่ล่า จิตใจจึงเกิดความรู้สึกสงสาร ดังนั้นจึงรับพวกเขาทั้งสองเป็นลูกศิษย์ ให้พวกเขาฝึกฝนอยู่ในภูเขาแสนลี้;”
“ปีที่ 12 ที่จักรพรรดิหย่งลี่ครองราชย์ หรือปีคริสตศักราช 1658 กองทัพชิงบุกโจมตีมณฑลยูนนานและกุ้ยโจวจากหลายเส้นทาง หนานหมิงอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายมาก ท่านพ่อและอู๋เฟยเยี่ยนจึงออกจากเขาพร้อมกัน แล้วมุ่งหน้าไปปราบปรามกองทัพชิงที่เตียนหนาน;”
“แต่ทว่าอย่างไรเสียกำลังแรงของคนสองคนก็มีขีดจำกัดอยู่ดี ตอนนั้นกองทัพชิงมีกำลังแข็งแกร่ง บวกกับมีอู๋ซานกุ้ยและคนชนชาติฮั่นจำนวนมากช่วยคนเลวกระทำชั่ว ดังนั้นปีต่อมาเตียนหนานจึงถูกตีแตก ซึ่งเพลงเศร้าแห่งหนานหมิงที่คนยุคหลังกล่าวถึง ก็คือช่วงเวลานี้นั่นเอง……;”
“และสองปีในภายหลัง ท่านพ่อและอู๋เฟยเยี่ยนรวบรวมนักรบที่ตั้งปฏิญาณว่าจะโค่นชิงฟื้นหมิงได้กลุ่มหนึ่ง ซึ่งต่อกรกับกองทัพชิงมาโดยตลอด แต่ยังไงซะกำลังรบก็มีน้อย จึงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงก้าวย่างที่กองทัพชิงค่อย ๆ ทำให้ประเทศเป็นเอกภพ”
“ปีที่ 16 ที่จักรพรรดิหย่งลี่ครองราชย์ หรือปีคริสตศักราช 1662 จารชนอู๋ซานกุ้ยสังหารจักรพรรดิหย่งลี่ที่เตียนหนาน ท่านพ่อรู้สึกเศร้าโศกเสียใจอย่างยิ่ง จึงร่วมมือกับอู๋เฟยเยี่ยน นำพานักรบแห่งองค์กรพั่วชิงลอบสังหารอู๋ซานกุ้ยแต่ก็ลงเอยด้วยความล้มเหลว;”
“ท่านและอู๋เฟยเยี่ยนถูกกองทัพชิงนับหมื่นไล่ล่า ซึ่งเวลานั้นภายในประเทศแทบจะถูกกองทัพชิงยึดครองไปหมดแล้ว ตกอยู่ในสถานการณ์ที่จนปัญญา ทั้งสองจึงวางแผนที่จะมุ่งหน้าไปยังไต้หวัน ขอพึ่งเจิ้งเฉิงกงเพื่อต่อกรกับราชวงศ์ชิงต่อ;”
“แต่นึกไม่ถึงเลยว่าทั้งสองเพิ่งออกเดินทางได้ไม่นาน ก็มีข่าวคราวแพร่งพรายมาว่าเจิ้งเฉิงกงล่วงลับไปแล้ว ทั้งสองหมดหนทางจริง ๆ จึงทำได้เพียงย้อนกลับไปยังภูเขาแสนลี้อีกครั้ง เข้าพบอาจารย์ของทั้งสอง อยากเก็บตัวฝึกฝนอีกระยะหนึ่ง เพื่อหลบเลี่ยงภยันตราย และทั้งสองก็สามารถยกระดับศักยภาพได้ด้วย;”