ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - บทที่ 5648 มีเสน่ห์มนต์ขลังตั้งแต่โบราณกาล แม้แต่ดอกบัวพบเห็นยังต้องละอาย (2)
- Home
- ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน
- บทที่ 5648 มีเสน่ห์มนต์ขลังตั้งแต่โบราณกาล แม้แต่ดอกบัวพบเห็นยังต้องละอาย (2)
ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน บทที่ 5648 มีเสน่ห์มนต์ขลังตั้งแต่โบราณกาล แม้แต่ดอกบัวพบเห็นยังต้องละอาย (2)
“แน่นอนอยู่แล้วเจ้าค่ะ”หลังจากหลินหว่านเอ๋อร์พูดจบ เธอก็มองไปทางตำแหน่งที่ตั้งป้ายวิญญาณบูชาของพ่อตนที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล แล้วพูดอย่างจริงจัง: “ข้าน้อยขอสาบานต่อหน้าป้ายวิญญาณท่านพ่อ ทุกคำพูดที่ข้าน้อยพูดกับคุณชายในวันนี้ ล้วนจะไม่มีการปิดบังและหลอกลวงใด ๆ การปิดบังในก่อนหน้านี้ เป็นเพราะข้าน้อยจนปัญญาจริง ๆ ได้โปรดคุณชายช่วยให้อภัยด้วยนะเจ้าคะ”
เย่เฉินมองไปตามสายตาของเธอ พบว่าบนป้ายวิญญาณนั่นมีคำว่า: ป้ายวิญญาณท่านพ่อหลินจู๋ว์หลู เขียนอยู่
วินาทีนี้ เย่เฉินไม่สงสัยในคำพูดของหลินหว่านเอ๋อร์อีกต่อไปแล้ว เขาระงับความตะลึงในใจเอาไว้พลางเอ่ยปากสอบถาม: “ยาจงเจริญที่เธอกิน เป็นยาที่ท่านพ่อเธอให้เธอเหรอ?”
หลินหว่านเอ๋อร์หันกลับไปมองตำแหน่งป้ายวิญญาณของพ่อตัวเองอีกครั้ง แล้วตอบกลับ: “ใช่เจ้าค่ะ ยาจงเจริญเป็นยาที่ท่านพ่อให้ข้าน้อยก่อนท่านจะสิ้นชีพ”
พอพูดจบ เย่เฉินก็ถามอีกว่า: “อ้อใช่สิ รบกวนเธอพยายามใช้คำว่า‘ฉัน’เรียกแทนตัวเองดีกว่า เอาแต่ข้านงข้าน้อย ฉันที่เป็นคนที่กำเนิดในยุคปัจจุบันรู้สึกไม่ค่อยคุ้นชินจริง ๆ”
“ก็ได้เจ้าค่ะ ข้าน้อยจะพยายาม……”หลินหว่านเอ๋อร์พยักหน้าเบา ๆ แล้วพูดด้วยใบหน้าที่เศร้าโศก: “ย้อนกลับไปถึงคำถามในเมื่อครู่นี้ของคุณชาย เมื่อสามร้อยกว่าปีก่อน เมื่อข้ามีอายุ 17 ปีอย่างแท้จริง ขณะที่ยังเรียนการเย็บปักถักร้อยในห้องนอนในเตียนหนาน จู่ ๆ ท่านพ่อที่อยู่ห่างไกลกันเป็นพันลี้กลับปรากฏต่อหน้าข้า อันที่จริงท่านเมื่อครั้นนั้นก็เป็นอย่างคุณชายในวันนี้นี่แหละ ร่างกายเต็มเปี่ยมไปด้วยบาดแผล……”
“ข้าจัดแจงเรื่องราวทุกอย่างของท่านพ่ออย่างลนลาน ท่านพ่อนำยานิรนามเม็ดหนึ่งให้แก่ข้า บอกให้ข้าไม่ต้องถามอะไรมากแล้วกินมันลงไปแต่โดยดี;”
“ข้าไม่ทราบว่ายาเม็ดนั้นมีประสิทธิผลอย่างไร ทว่ากลับขัดขืนคำสั่งของท่านพ่อไม่ได้ ดังนั้นจึงกินยาเม็ดนั้นลงไป หลังจากกินมันลงไปแล้ว ท่านพ่อถึงจะบอกข้าว่ามันคือยาอะไรและมีประสิทธิผลอย่างไร……”
ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น ดวงตาเธอก็แดงก่ำ แล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา: “ในส่วนของเรื่องที่ว่าเหตุใดท่านพ่อจึงไม่กินมันเอง แต่นำยาจงเจริญให้แก่ข้านั้น ท่านบอกว่าเป็นเพราะสักวันในอนาคตท่านไม่อยากให้ตัวเองที่เป็นพ่อ ต้องมองดูข้าน้อยแก่ชราแล้วตายไปต่อหน้าต่อตาท่าน……”
“ท่านพ่อยังบอกอีกด้วยว่าหากมียาชนิดหนึ่งที่สามารถทำให้ท่านมีชีวิตคงอยู่ได้ตลอดไป แล้วต้องมองดูลูกสาวของตนเองค่อย ๆ แก่ชรา และค่อย ๆ ตายจากไป เช่นนั้นยาประเภทนั้นจะไม่ใช่ยาเซียน แต่เป็นยาพิษ……”
“ท่านพ่อบอกว่าท่านต้องตายต่อหน้าข้าเท่านั้น ท่านถึงจะตายตาหลับ ส่วนข้านั้นยังสาว ยังไม่มีคู่ครอง ไม่มีเรื่องอะไรที่ต้องพะวงหน้าพะวงหลัง ฉะนั้นหลังจากข้ากินยาจงเจริญลงไปแล้ว ก็จะสามารถใช้ชีวิตดี ๆ ต่อไปได้ กระทั่งมีชีวิตคงอยู่นานห้าร้อยปี……”
จู่ ๆ เย่เฉินก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ก่อนจะพูดโพล่งออกมา: “เธอบอกว่าอายุเธอสามร้อยกว่าปีแล้ว งั้นลูกของเธอก็……”
หลินหว่านเอ๋อร์กลอกตามองบนใส่เย่เฉินอย่างรู้สึกเอือมรอบหนึ่ง แล้วพูดอย่างโกรธเคือง: “คุณชายเจ้าคะ แม้นข้าน้อยจะมีอายุคงอยู่มาสามร้อยกว่าปี ทว่าข้ายังเป็นสาวที่บริสุทธิ์อยู่นะเจ้าคะ ไม่เคยสมรสมาก่อน……มิหนำซ้ำ ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ข้าน้อยก็ถูกไล่ล่ามาโดยตลอด ต้องเปลี่ยนถิ่นที่อยู่อาศัยเป็นระยะ เปลี่ยนแปลงตัวตนและใช้ชีวิตใหม่ แล้วจะมีลูกได้อย่างไรล่ะเจ้าคะ……”
“อ้อ ๆ ……”เย่เฉินรีบพูดด้วยใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกผิด: “ขอโทษทีนะ ๆ มันคือความผิดของฉันเอง”
หลินหว่านเอ๋อร์พูดอย่างโศกเศร้า: “เมื่อนั้นท่านพ่อเคยกำชับกับข้าน้อยโดยเฉพาะว่า หากไม่อยากมีข้อผูกมัดที่มากเกินไป สี่ร้อยปีก่อนหน้าข้าต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวไร้ญาติขาดมิตร ไม่สามารถสมรส……”
เย่เฉินถามอย่างรู้สึกสงสัย: “เพราะเหตุใดหรือ?”
หลินหว่านเอ๋อร์ตอบกลับ: “เพราะในช่วงสี่ร้อยปีก่อนหน้าที่กินยาจงเจริญลงไป มันจะไม่ทำให้ข้าน้อยเติบโตและแก่เฒ่า มีเพียงถึงช่วงหนึ่งร้อยปีสุดท้าย ถึงจะสามารถทำให้ข้าน้อยค่อย ๆ แก่ชราในช่วงระยะเวลาหนึ่ง;”
“หากสมรสในช่วงสี่ร้อยปีก่อนหน้า ก็จำเป็นต้องแบกรับความเจ็บปวดที่ต้องมองดูลูกของตัวเองค่อย ๆ แก่เฒ่าลงกระทั่งตายไปในที่สุดต่อหน้าต่อตา ซึ่งหลังจากรอคอยช่วงเวลานั้นมาถึงแล้ว ข้าน้อยก็จะสามารถมีอายุจาก 17 ปีสู่ 18 ปี แล้วค่อยมีอายุจาก 28 สู่ 38 กระทั่งค่อย ๆ แก่เฒ่าลงไป:”
“ดังนั้นเมื่อช่วงเวลานั้นมาถึง ข้าน้อยก็จะสามารถใช้ชีวิตอย่างแท้จริงได้แล้ว”
เย่เฉินเข้าใจแล้วพยักหน้างึก ๆ การที่ให้พ่อแม่คนหนึ่งมองดูลูกของตัวเองค่อย ๆ แก่เฒ่าลงไป แต่ตัวเองกลับเป็นวัยรุ่นตลอดไปนั้น ความรู้สึกแบบนั้นต้องเป็นความรู้สึกที่เจ็บปวดอย่างยิ่งแน่นอน
ดังนั้นท่านพ่อของหลินหว่านเอ๋อร์จึงนำยาจงเจริญให้เธอ อีกทั้งกำชับให้เธอห้ามแต่งงานในช่วงสี่ร้อยปีก่อน ซึ่งการตัดสินใจนี้เป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดมาก
ดังนั้นเย่เฉินจึงถามเธอว่า: “แล้วต่อมาท่านพ่อเธอเป็นยังไงบ้าง?”
หลินหว่านเอ๋อร์ถอนหายใจแล้วตอบกลับ: “ตอนนั้นสภาพอาการบาดเจ็บของท่านพ่อสาหัสมาก บวกกับไม่มียาทิพย์ยาวิเศษใด ๆ ที่สามารถรักษาอาการบาดเจ็บได้ด้วย ดังนั้นจึงทำได้เพียงนอนฟื้นฟูตัวอยู่บนเตียงตลอดมา แต่โชคดีที่ไม่มีความอันตรายที่ส่งผลแก่ชีวิต หากมีระยะเวลาที่เพียงพอ ก็ใช่ว่าจะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้เสมอไป……”
หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนที่หลินหว่านเอ๋อร์จะพูดต่อด้วยสีหน้าอารมณ์ที่เศร้าโศก: “แต่ทว่าท่านพ่อเมื่อครานั้นบอกว่า อย่างมากสุดใช้เวลาอีกครึ่งเดือน ผู้ที่ทำให้ท่านบาดเจ็บก็สามารถเร่งเดินทางมาถึงเตียนหนานแล้ว ฉะนั้นจึงเร่งให้ข้านำแหวนวงนั้นแล้วออกจากบ้านไปอย่างรวดเร็ว เพื่อป้องกันไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามตามมาถึงที่ แต่ข้ากลับทอดทิ้งท่านแล้วจากไปคนเดียวไม่ได้ตลอดมา……”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ หลินหว่านเอ๋อร์ก็พูดด้วยดวงตาที่แดงก่ำ: “ในวันที่ 7 ที่ท่านพ่อถูกแหวนส่งกลับมายังเตียนหนาน ท่านใช้ช่วงจังหวะที่ข้าออกไปซื้อยา ทิ้งจดหมายไว้หนึ่งฉบับก่อนจะตัดเส้นลมปราณฆ่าตัวตาย……”
น้ำตาอุ่น ๆ ไหลนองลงมาจากเบ้าตาทั้งสองข้าง หลินหว่านเอ๋อร์รีบใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาแล้วพูดอย่างสะอึกสะอื้น: “หลังจากข้านำร่างของท่านพ่อไปฝังเสร็จ ข้าก็ออกจากบ้านเลย และเริ่มหนีเอาชีวิตรอดอย่างต่อเนื่องมาสามร้อยกว่าปี……”
เย่เฉินพูดอย่างตะลึง: “ตลอดช่วงเวลาสามร้อยกว่าปีที่ผ่านมานี้ เธอถูกไล่ล่ามาโดยตลอดเลยหรือ?! ถูกใครไล่ล่า? องค์กรพั่วชิงหรือ?!”
หลินหว่านเอ๋อร์ตอบกลับด้วยสีหน้าอารมณ์ที่ซับซ้อน: “อันที่จริงองค์กรพั่วชิงนั้น เป็นองค์กรที่ท่านพ่อและพี่น้องร่วมสาบานที่เป็นทั้งเพื่อนร่วมสงครามและเพื่อนสนิทของท่านก่อตั้งขึ้นมาในปี 1644 พวกท่านทั้งสองก่อตั้งองค์กรพั่วชิงขึ้นมา ก็เพื่อขับไล่ชาวมองโกเลียและชาวแมนจู โค่นชิงฟื้นหมิง แต่ทว่าหลังจากท่านพ่อข้าตายไปแล้ว องค์กรพั่วชิงก็เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง ไม่มีความเกี่ยวข้องกับชื่อท่านอีกต่อไป ซึ่งผู้ที่ไล่ล่าข้าก็คือองค์กรพั่วชิงในภายหลัง รวมไปถึงผู้มีพระคุณแห่งองค์กรพั่วชิงในภายหลัง”
เย่เฉินพูดโพล่งออกมา: “หรือว่าผู้มีพระคุณแห่งองค์กรพั่วชิงในภายหลังคืออู๋เฟยหยางนั่น?!”
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ”หลินหว่านเอ๋อร์ส่ายหน้าแล้วตอบกลับ: “ผู้มีพระคุณในภายหลังขององค์กรพั่วชิงคือน้องสาวของอู๋เฟยหยาง อู๋เฟยเยี่ยน!”