ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - บทที่ 5645 ภาพวาดทิวทัศน์ธรรมชาติ (1)
ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน บทที่ 5645 ภาพวาดทิวทัศน์ธรรมชาติ (1)
“เธอ……เธอพูดว่าอะไรนะ?!”
หลินหว่านเอ๋อร์พูดอย่างชิลล์สบายหนึ่งประโยค จึงทำให้ร่างกายของเย่เฉินชาไปทั้งตัวแล้ว
นี่ไม่ใช่คำอุปมาที่เวอร์เกินจริงแน่นอน แต่เป็นความรู้สึกของเขาจริง ๆ ตัวเองรู้สึกชาไปตั้งแต่หัวจรดเท้า!
หลินหว่านเอ๋อร์บอกว่าเมื่อสามร้อยปีก่อน เธอยืนอยู่ริมสระสวรรค์แล้วมองดูต้นชาผู่เอ๋อร์ต้นนั้นพ้นบาปด้วยสายตาตนเอง งั้นก็แสดงว่าปัจจุบันเธอมีอายุสามร้อยกว่าแล้วเหรอ?!
ในส่วนลึกของหัวใจเย่เฉินยังตัดใจเชื่อคำพูดของหลินหว่านเอ๋อร์ไม่ได้
อย่างไรเสียต่อให้คน ๆ หนึ่งจะเจอหนทางแห่งการมีอายุยืนจริง ๆ คนคนนั้นก็จะเป็นคนที่จิตใจสงบเสมอ
เริ่มย่างกรายสู่หนทางนี้ตั้งแต่อายุยี่สิบสามสิบ แต่ส่วนใหญ่แล้วก็ต้องรออายุห้าหกสิบ ตลอดจนแก่กว่านั้นถึงจะสามารถเข้าสู่หนทางนี้ได้อย่างแท้จริง
จากการที่อยู่บนวิถีหนทางนี้นาน ๆ อายุขัยก็จะยิ่งยาวนาน แต่นักบำเพ็ญเพียรคนหนึ่งที่มีอายุหนึ่งร้อยปีขึ้นไป อย่างมากก็ต้องเหมือนอย่างท่านเอิร์ลแห่งองค์กรพั่วชิง ที่คงรูปร่างลักษณะภายนอกไว้ที่อายุประมาณ 60 กว่า
ถ้าเกิดหลินหว่านเอ๋อร์มีอายุสามร้อยกว่าปีจริง ๆ งั้นตอนนี้อย่างน้อยเธอก็ต้องดูมีอายุประมาณหกเจ็ดสิบ ตลอดจนเจ็ดแปดสิบ เธอจะมีทางมีโฉมหน้าของเด็กอายุสิบเจ็ดแปดได้ยังไง?
แม้แต่ตัวเองที่เริ่มย่างกรายสู่วิถีตั้งแต่อายุ 20 กว่า ตอนนี้อายุก็ยังไม่ถึง 30 ซึ่งไม่สามารถทำให้ตัวเองกลับไปอยู่ในสภาวะอย่างเด็กอายุสิบเจ็ดแปดได้อีกแน่นอน
เมื่อหลินหว่านเอ๋อร์เห็นว่าเหมือนเย่เฉินจะไม่ค่อยเชื่อคำพูดของตัวเอง เธอจึงถามอย่างกังวล: “คุณชายคิดว่าข้าน้อยกำลังรอเล่นกับคุณชายอยู่หรือ?”
เย่เฉินพยักหน้าโดยสัญชาตญาณ จากนั้นก็ส่ายหน้าแล้วพูด: “ฉันแค่รู้สึกช็อกนิดหน่อยเท่านั้นเอง……”
หลังจากพูดจบ เขาก็ถามอย่างรู้สึกสงสัย: “ทำไมจู่ ๆ เธอถึงเรียกฉันว่าคุณชาย แล้วก็เรียกแทนตัวเองว่าข้าน้อยด้วย?”
หลินหว่านเอ๋อร์ยิ้มแล้วตอบกลับ: “ในอดีต โดยส่วนใหญ่แล้วผู้หญิงจะเรียกผู้ชายที่ยังไม่แต่งงานว่าคุณชาย ในส่วนของข้าน้อยนั้น……เป็นผู้หญิงทั้งที หากยังไม่มีสามี ในอดีตเขาก็เรียกแทนตนเองว่า‘ข้าน้อย’มาโดยตลอดแล้ว เมื่อมีสามีแล้วถึงจะเรียกแทนตัวเองว่า‘เฉี้ยเซิน’ แต่ทว่าปัจจุบันไม่มีใครเขาพูดเช่นนี้แล้ว ดังนั้นก่อนที่ยังไม่บอกเล่าเรื่องราวเหล่านี้ให้คุณชายฟัง ข้าน้อยย่อมไม่กล้าใช้พร่ำเพรื่ออยู่แล้ว ทว่าในเมื่อวันนี้ได้แสดงความซื่อสัตย์จริงใจต่อคุณชายแล้ว ข้าน้อยก็ไม่มีเรื่องอะไรที่ต้องปิดบังต่อคุณชายแล้ว ใช้สรรพนามนี้จักเหมาะสมมากกว่า”
คำว่าแสดงความซื่อสัตย์จริงใจทำให้เย่เฉินนึกถึงสภาพที่หลินหว่านเอ๋อร์เปลือยกายในเมื่อครู่นี้กะทันหัน
เพียงพริบตาเดียว สีหน้าอารมณ์ของเขาก็ดูเก้อเขินเล็กน้อย
และหลินหว่านเอ๋อร์ก็สัมผัสได้เช่นกันว่าเย่เฉินอาจจะเข้าใจผิด ในใจจึงรู้สึกเขินอายมาก
ดังนั้นเธอจึงรีบพูดกับเย่เฉินว่า: “คุณชายรอสักครู่ เดี๋ยวข้าน้อยนำอะไรบางอย่างมาให้ท่านดู!”
พอพูดจบ เธอก็ลุกตัวขึ้นแล้วเดินลงไปชั้นล่าง หยิบภาพวาดที่งดงามม้วนหนึ่งขึ้นมา
หลินหว่านเอ๋อร์มาถึงอีกฝั่งหนึ่งของเตียง แล้วค่อย ๆ กางภาพม้วนดังกล่าวออกบนพื้น ภาพวาดทิวทัศน์ภูเขาแม่น้ำที่มีความกว้างประมาณ 2.5 เมตร และยาวประมาณ 6 เมตรก็ค่อย ๆ ถูกกางออก
เย่เฉินมองดูภาพวาดดังกล่าวอย่างไม่ละสายตา มองดูภูเขาแม่น้ำอันเข้มแข็งนั่นค่อย ๆ กางออกตรงหน้าตัวเอง
ภูเขาใหญ่ที่สูงตระหง่านเชื่อมต่อกันอย่างไร้ขอบเขต สระสวรรค์ที่ลอยอยู่กลางหุบเขาดั่งกระจกเงา ทิวทัศน์ในภาพวาดล้วนเป็นสิ่งที่ธรรมชาติรังสรรค์ ปรากฏบนกระดาษอย่างมีชีวิตชีวา จึงทำให้เย่เฉินถูกดึงดูดไปภายในพริบตา
เย่เฉินไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่าท่วงทำนองของภาพวาดภูเขาแม่น้ำรูปหนึ่ง จะทำให้ผู้คนหลงไหลได้ขนาดนี้ ทิวทัศน์ที่อยู่ในภาพวาดสวยงามเหมือนเทพ ราวกับทุกขีดล้วนสมบูรณ์แบบจนไร้ที่ติ และครั้งล่าสุดที่เขาได้เห็นผลงานที่น่าทึ่งเช่นนี้ ก็คือภาพวาดของเมิ่งฉางเชิงที่นายหญิงใหญ่เจียงมอบให้ตนเอง
ส่วนฝีมือของผู้ที่วาดภาพวาดดังกล่าวนั้น ยอดเยี่ยมล้ำเลิศกว่าคนวาดภาพเมิ่งฉางเชิงเสียอีก
ตอนนี้หลินหว่านเอ๋อร์กำลังใช้มือที่เล็กบางนั่นของเธอชี้ไปทางต้นไม้ใหญ่ที่งอกงามสูงตระหง่านตรงริมสระสวรรค์ในภาพวาด แล้วพูดกับเย่เฉินว่า: “คุณชาย ต้นไม้ต้นนั้นก็คือมารดาแห่งชาผู่ที่ข้าน้อยกล่าวถึง นี่คือสภาพเมื่อสามร้อยปีก่อนของมัน”
พอพูดจบ เธอก็ใช้นิ้วชี้ไปทางเค้าโครงของมนุษย์ร่างหนึ่งที่อยู่ด้านล่างต้นไม้ต้นนั้น แล้วเอ่ยปากพูดว่า: “ซึ่งนี่ก็คือข้าน้อยเองเจ้าค่ะ มีอยู่ช่วงหนึ่งข้าน้อยจะนั่งจิบชาอยู่ใต้ต้นไม้ต้นนั้นพลางเชยชมภูเขาแม่น้ำ”
เย่เฉินถามหลินหว่านเอ๋อร์โดยสัญชาตญาณ: “เธอเป็นคนวาดภาพวาดนี้หรือ?”