ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - บทที่ 5644 มารดาแห่งชา (2)
ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน บทที่ 5644 มารดาแห่งชา (2)
หลังจากพูดจบ เธอก็เห็นว่าริมฝีปากเย่เฉินแห้งกรัง แถมยังกลืนน้ำลายรัว ๆ อีก ดังนั้นจึงรีบถาม: “พี่เย่เฉินต้องกระหายน้ำแล้วสินะ?”
เย่เฉินผงกหัวเบา ๆ
หลินหว่านเอ๋อร์หัวเราะฮิฮิแล้วพูด: “หว่านเอ๋อร์เหลือก้อนชาผู่เอ๋อร์ชิ้นสุดท้ายพอดี ตัดใจกินไม่ได้สักที ก็เพื่อรอว่าสักวันจะสามารถต้มมันให้พี่เย่เฉินชิมได้ด้วยมือตัวเอง พี่เย่เฉินรอสักครู่นะคะ!”
เย่เฉินรีบตอบกลับว่า: “คุณหนูหลินไม่จำเป็นต้องลำบากขนาดนั้นก็ได้ ฉันขอน้ำเปล่าแก้วหนึ่งก็พอแล้ว!”
หลินหว่านเอ๋อร์ลุกขึ้นยืน แล้วพูดโดยที่ไม่หันหน้ากลับมา: “ก้อนชาชิ้นสุดท้ายที่หว่านเอ๋อร์เหลือไว้ เป็นชาผู่เอ๋อร์ที่ดีที่สุดในโลก หากพี่เย่เฉินไม่ลองชิมดูละก็ อนาคตต้องรู้สึกเสียใจทีหลังแน่นอน!”
พูดจบ หลินหว่านเอ๋อร์ก็พูดอีกว่า: “มิหนำซ้ำเดี๋ยวหว่านเอ๋อร์จะเริ่มคลี่คลายคำถามทุกอย่างในใจพี่เย่เฉินจากก้อนชาชิ้นนั้น”
หลังจากพูดจบ เธอไม่รอให้เย่เฉินตอบโต้อะไร ก่อนจะรีบหยิบชุดเครื่องชาของตัวเองออกมา รวมไปถึงก้อนชาผู่เอ๋อร์ที่เก็บรักษามาโดยตลอด
กลับมาถึงหน้าเตียง หลินหว่านเอ๋อร์จุดถ่านไม้ที่ทำมาจากต้นมะกอกในเตาทองแดงอย่างระมัดระวัง จากนั้นระหว่างที่รอให้น้ำเดือด เธอก็แกะชาผู่เอ๋อร์ที่เก็บรักษามานานออกมา แล้วใช้มีดชาผู่เอ๋อร์ที่ประณีตสวยวิจิตรตัดลงมาหนึ่งชิ้น
เสี้ยววินาทีที่เพิ่งแกะใบชาออกมา เย่เฉินก็ได้กลิ่นหอมของชาสุดพิเศษที่เขาไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน
กลิ่นหอมของชาประเภทนี้มันเข้มข้นมาก ๆ อีกทั้งผ่านการหมักหมมและเก็บรักษามาอย่างยาวนาน กลิ่นที่ติดมากับก้อนชาก้อนนี้ก็มีออร่าแห่งความโบราณและเรียบง่ายในแบบที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยคำพูดเช่นกัน ทำให้ผู้คนที่ได้กลิ่นเบิกบานใจอย่างอดไม่ได้
เย่เฉินเห็นพ่อดื่มชามาตั้งแต่เด็ก บางครั้งก็พลอยได้ดื่มบ้าง ดังนั้นเขาจึงถือว่าค่อนข้างมีความรู้ต่อเรื่องใบชา แต่เขายังไม่เคยเห็นใบชาที่พิเศษขนาดนี้มาก่อน สามารถพูดได้อย่างไม่เกินเบอร์เลยว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าก้อนชาผู่เอ๋อร์นี้ ชาผู่เอ๋อร์ทุกสายพันธุ์ในโลกล้วนแต่จะหม่นหมองลงไป!
หลินหว่านเอ๋อร์ตั้งน้ำต้มชาอย่างสง่างาม หลังจากเทใบชาเข้าไปในน้ำร้อนแล้ว มันก็แผ่ขยายออกอย่างรวดเร็วเมื่อเจออุณหภูมิสูง ก่อนที่จะมีกลิ่นหอมของชาที่เข้มข้นมากกว่าตีเข้าหน้า ทำให้หัวสมองของเย่เฉินสดชื่นขึ้นมาไม่น้อยหลังจากได้กลิ่นหอมของชาดังกล่าว
ต่อมาหลินหว่านเอ๋อร์ก็นำชาที่ต้มเสร็จแล้ว เทเข้าไปในแก้วเล็ก ๆ หนึ่งใบ ก่อนจะนำน้ำชาที่ใสแจ๋วนั่นยื่นไปตรงหน้าเย่เฉิน ยิ้มแล้วพูดว่า: “พี่เย่เฉินลองชิมดูก่อนสิคะ”
เย่เฉินรับแก้วชามาวางไว้ใต้จมูกแล้วสูดดมเบา ๆ อีกทั้งลองจิบเบา ๆ รสชาติของน้ำชานี้หลากหลายและหอมหวานมาก ขึ้นและรสชาติที่งดงามผสมผสานเข้าด้วยกัน ทำให้เย่เฉินเบิกตากว้างอย่างตะลึงทันที
เขาอดที่จะพูดอย่างทอดถอนใจไม่ได้: “ใบชานี้มันสมบูรณ์แบบมากเกินไปแล้วจริง ๆ ซึ่งอยู่เหนือความเข้าใจของฉันที่มีต่อชาผู่เอ๋อร์ทั้งหมดในโลกนี้เลย ไม่ทราบว่าคุณหนูหลินได้รับใบชาที่ดีเลิศขนาดนี้มาจากที่ไหนหรือ?”
หลินหว่านเอ๋อร์ยิ้มแล้วตอบกลับว่า: “พี่เย่เฉินคะ ชาก้อนนี้ทำมาจากต้นชาผู่เอ๋อร์โบราณที่มีนามว่ามารดาแห่งชาผู่เมื่อสามร้อยกว่าปีก่อนค่ะ อายุของต้นชาต้นนั้นมีมากกว่าหนึ่งหมื่นปี ซึ่งเป็นต้นแม่พันธุ์ของชาผู่เอ๋อร์ทั้งหมด ชาผู่เอ๋อร์ทั้งหมดในโลกนี้ล้วนขยายพันธุ์มาจากมัน ชาวไร่ชาวนาในยุคบุกเบิกตัดกิ่งก้านของมันอย่างต่อเนื่อง แล้วนำไปเพาะปลูกในสถานที่ต่าง ๆ ต่อมาถึงจะมีชาผู่เอ๋อร์ที่มีอยู่เต็มบ้านเต็มเมืองอย่างปัจจุบัน”
เย่เฉินอุทานอย่างตะลึง: “ชาก้อนนี้มีประวัติศาสตร์สามร้อยปีจริง ๆ เหรอ?”
หลินหว่านเอ๋อร์พยักหน้า: “จริงแท้แน่นอนค่ะ แต่ว่าชาต้นนั้นถูกฟ้าผ่าเมื่อสามร้อยปีก่อน ทำให้กลายเป็นเถ้าถ่าน ที่พี่เย่เฉินกำลังดื่มอยู่ในตอนนี้เป็นใบชาล็อตสุดท้ายที่ผลิตมาจากต้นนั้น หลังจากดื่มชาก้อนนี้หมดแล้ว ในโลกใบนี้ก็จะไม่มีรสชาตินี้คงอยู่อีกต่อไปแล้วล่ะ”
เย่เฉินถามอย่างรู้สึกสงสัย: “คนขายชาเป็นคนบอกเล่าเรื่องราวนี้ให้เธอฟังเหรอ?”
“ไม่ใช่ค่ะ”หลินหว่านเอ๋อร์ส่ายหน้าเบา ๆ ก่อนจะหันกลับไปหยิบพัสดุเล็ก ๆ หนึ่งชิ้น แล้วแกะมันออกอย่างระมัดระวัง ซึ่งสิ่งที่อยู่ด้านในก็คือไม้ฟาดสายฟ้าท่อนหนึ่งที่มีประวัติยาวนาน!
หลินหว่านเอ๋อร์หยิบไม้ฟาดสายฟ้าออกมาแล้วพูดอย่างแปลกใจ: “ทุกสรรพสิ่งในโลกนี้ เมื่อคงอยู่มายาวนานก็ล้วนแต่จะมีชะตากรรมของมัน ซึ่งนักบำเพ็ญตนก็เป็นเฉกเช่นเดียวกัน ต้นชาต้นนั้นก็ด้วย มันมีอายุมานานนับหมื่นปี หล่อเลี้ยงต้นชาออกมามากจนนับไม่ถ้วน แต่มันก็ต้องพ้นบาปเช่นกัน และนี่ก็คือสภาพหลังจากที่มันพ้นบาปไม่สำเร็จ”
เย่เฉินถามอย่างรู้สึกสงสัย: “ทำไมเธอถึงรู้ละเอียดขนาดนี้?”
หลินหว่านเอ๋อร์มองหน้าเย่เฉินรอบหนึ่ง ก่อนจะก้มลงไปมองไม้ฟาดสายฟ้าท่อนนั้นที่อยู่ในมืออีกครั้ง สีหน้าอารมณ์ดูลังเลใจอยู่เล็กน้อย
หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง เธอก็เงยหน้าขึ้นมา ใช้ดวงตาที่ใสแจ๋วคู่นั้นสบตากับเย่เฉิน พลางเอ่ยปากพูดเบา ๆ: “เพราะว่า……เมื่อสามร้อยปีก่อน ข้าน้อยก็ยืนอยู่ริมสระสวรรค์แห่งเตียนหนาน มองดูมันพ้นบาปด้วยสายตาตนเอง……”