ตอนที่ 7 ฝนโปรย
“อริซ มีแผนอะไรหลังจากนี้ไหม?”
เมื่อเรื่องราวจบลง ลูน่าก็ดื่มน้ำที่เหลือในถ้วยพร้อมกับถาม ถ้าไม่มีอะไรก็อยากจะเชื้อเชิญให้อยู่ที่นี่นานอีกหน่อย เพราะอุตส่าห์ได้รับอนุญาตให้ขึ้นมาเป็นครั้งแรก และไม่ใช่ว่าทำธุระของตัวเองเสร็จแล้วจะกลับได้ทันที ยังมีหลายอย่างให้ทำ
ห้องของคนอื่นนั้นอึดอัด แต่ก็อยู่ได้ไม่ได้เกลียดอะไร ยังไงก็ตามให้ความรู้สึกตื่นเต้นเช่นเดียวกับเวลาที่สำรวจสิ่งที่ไม่รู้จักมากกว่าความรู้สึกกระวนกระวาย จนรู้สึกไม่อยากกลับห้องเร็ว ๆ นี้ ฉันเองก็อยากอยู่ในห้องของลูน่าให้มากกว่านี้อีกหน่อย แถมลูน่าก็ดูเหมือนจะทำหน้าค่อนข้างเหงาหน่อย ๆ
“อืมมมมมม……คิดว่าม๊ายมี แต่”
แต่ก็มีเรื่องหนึ่ง มีบางอย่างที่ถ้าเป็นไปได้ฉันก็อยากจะทำให้เสร็จสิ้นภายในวันนี้ ลูน่าสงสัยว่ามีอะไร? หลังจากพยักหน้าและเอียงศีรษะแล้วฉันก็เหลือบไปมองของที่มิร่าซังถืออยู่ สิ่งที่เธอถืออยู่ในมือนั้นคือ หนังสือ
“ต้องรีบคืน ที่ยืมมา”
“…..อ้า 「ตำนานดอกหยาดหิมะ」 ยืมมาจากห้องสมุดสินะ”
“อืม”
ใช่ หนังสือเรื่องตำนานดอกหยาดหิมะที่ยืมมาเพื่อฝึกฝนในการแสดงละครในงานเทศกาลโรงเรียน เพราะเป็นหนังสือที่ยืมมาจากห้องสมุด แน่นอน เมื่ออ่านจบแล้วก็ต้องกลับไปคืนที่ห้องสมุด หากไม่รีบไปส่งคือโดยเร็วที่สุด จะมีปัญหาได้ถ้ามีคนที่อยากจะยืมต่อ จริง ๆ แล้วเมื่อกี้ฉันก็ตั้งใจจะกลับไปคืนตอนหลังเลิกเรียนก่อน พอมาคิดดูตอนนี้แล้ว ความคิดที่ว่ารู้ยังงี้น่าจะรีบไปคืนก่อนมา ก็เข้ามากวนใจฉันจนรู้สึกเสียใจในภายหลัง
“ถ้าสายเกินไปห้องสมุดจะปิดก่อน”
“นั่นสินะ”
ลูน่ามีท่าทางผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าเธอจะบอกว่าช่วยไม่ได้ แต่ฉันก็รู้สึกได้ว่าเธอต้องการมากกว่านี้ ฉันสามารถคืนหนังสือในวันพรุ่งนี้ก็ได้ไม่ได้รีบเป็นพิเศษ ใช่แล้ว
“นี่ ถ้าอย่างงั้น ด้วยกัน ไปด้วยกัน!”
“เอ๊ะ…..ไปด้วยกัน?”
“อืม หนูอยากได้เรื่องใหม่ อยากให้ลูน่าแนะนำ”
แบบนี้ดีแล้ว แค่นี้ก็อยู่กับลูน่าได้นานขึ้น แล้วก็ยังสามารถเบ่งปังงานอดิเรกของเธอได้ด้วย ฉันไม่เคยได้ยินโดยตรงว่าเธอชอบหนังสือไหม แต่จากระดับการศึกษาและเกร็ดความรู้ที่ได้ยินจากบทสนทนาในชีวิตประจำวัน ฉันก็แน่ใจว่าเธอไม่ได้เกลียดการอ่าน หลังจากได้ยินเรื่องสมมติฐานเกี่ยวกับหมูที่เธอบอกฉันที่โต๊ะอาหารก่อนหน้านี้ เรื่องแบบนั้นปกติไม่มีใครสนใจที่จะจำหรอก หากไม่ได้โลภในความรู้ ฉันแน่ใจว่าลูน่าไม่ได้เกลียดหนังสือ
“….ฟุๆๆ งั้นก็ช่วยไม่ได้ ฉันจะช่วยเลือกเรื่องที่อริซจะชอบเอง ฟุๆๆๆ”
“ว้า~~ย”
เมื่อเห็นดอกไม้บานสะพรั่งบนลูน่าในทันที ฉันก็ยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติเช่นกัน แล้วหลังจากนี้จะตัดสินใจทำอะไรต่อก็ขึ้นอยู่กับเวลาที่ออกจากห้องสมุด ถ้าช้า พวกเราก็คงไปทานมื้อเย็นด้วยกันทั้งแบบนั้น ถ้าออกมาเร็ว ก็อาจจะกลับมาที่ห้องนี้อีกครั้ง ในความคิดโดยทั่วไปการเข้าออกห้องของเจ้าหญิงหลายครั้งเป็นการกระทำที่หยาบคายมาก แต่ยังไงก็ตาม เมื่อเธออยู่กับฉัน ลูน่าจะไม่ใช่เจ้าหญิง แต่เป็นเพื่อนสนิทที่ดีที่สุด ไม่ต้องห่วงว่าจะเผลอทำตัวเซ่อซ่าแบบไหนไป แน่นอนว่าถ้าทำไปแล้วไม่ส่งผลเสียอะไร แต่ก็เป็นที่รู้กันไปทั่วทั้งโรงเรียนแล้วว่าฉันกับลูน่าสนิทสนมกันมากแค่ไหน พวกเราแทบจะทำทุกอย่างด้วยกันเสมอ ดูเหมือนว่าจะไม่มีผลกระทบใหญ่หลวงต่อชีวิตในโรงเรียนของฉันตอนนี้
“นี่หมายถึงการลอบพบกันแบบลับ ๆ ของคู่รักในห้องสมุดสินะเจ้าคะ รับทราบแล้วเจ้าค่ะ รูนไฮม์ซามะ”
“ไม่ต้องมารับทราบเลยย่ะ!”
ช่วยอย่าพูดอะไรแปลก ๆ ออกมาในขณะที่พองแก้มท่าทางไม่พอใจในแบบที่คิดว่าาน่ารัก สเตลล่าซังเป็นคนขี้เล่นคาดไม่ถึง ไม่ใช่ว่าไม่ดี แต่เป็นตรงกันข้าม ทั้งคู่ใกล้ชิดสนิทกันมาก ลูน่าทำท่าทางโกรธเมื่อถูกแหย่ แต่ก็ดูเหมือนกำลังสนุกอยู่ด้วย ……อะ โฮระ ยิ้มแล้ว
“อิจฉา นิดหน่อย”
ฉันรู้สึกอิจฉาเล็กน้อยกับระยะห่างที่ดูเท่าเทียมไร้กังวลจนดูเหมือนครอบครัวหรือเพื่อนที่รู้จักกันมายาวนานมากกว่าเจ้านายกับข้ารับใช้ สำหนับฉันกับเบลล์ซังกว่าที่ฉันจะรู้ตัวว่าได้รับการดูแลมาตลอดก็ตอนที่ฉันเริ่มตระหนักถึงสิ่งรอบตัว ซึ่งทำให้ฉันรู้สึกว่าตำแหน่งทางจิตวิญญาณของเบลล์ซังอยู่สูงกว่าความเท่าเทียมกัน เป็นบางอย่างที่เหมือนการพลิกกลับความเป็นเจ้านายกับข้ารับใช้ และทำให้ความเอาแต่ใจยังคงอยู่ บางทีเบลล์ซังอาจได้ยินเสียงพึมพำของฉัน เธอเลยรีบจ้องมาที่ฉันด้วยสายตาเป็นกังวล
“――――ดะ ดิฉันเองก็ควรจะพูดล้อเล่นด้วยดีไหมคะ…..?”
เบลล์ซังถามด้วยท่าทางคิ้วขมวดจริงจัง แต่ฉันก็เกือบจะยิ้มและแอบหัวเราะ และแทนที่ฉันจะขอโทษที่ทำแบบนั้น ฉันกลับรู้สึกขอบคุณสำหรับความอ่อนโยนที่มากมายขนาดนั้น เพราะช่วยทำให้ฉันเอาชนะความรู้สึกกังวลใจไปได้ ตรงข้ามกับเบลล์ซัง ฉันรู้สึกโล่งใจ
“ม๊ายเป็นร๊าย”
“เช่นนั้นหรือคะ…..?”
“ได้คุยกับเบลล์ สนุกมาก”
“จะ จริงเหรอคะ!”
เบลล์ซังคลี่ยิ้มอย่างเข้าใจง่าย ๆ และลูบไหล่อย่างโล่งใจ ลูน่าที่รอฉันจบการสนทนาอย่างเงียบ ๆ ก็ทำท่ายืนขึ้น เมื่อฉันพยักหน้ารับ และพยายามลุกจากเกาอี้โดยมีเบลล์ซังช่วยพยุง ถึงแม้ตอนที่นั่งฉันจะนั่งลงเองได้ และเก้าอี้ตัวนี้ก็สูงในระดับที่ฉันสามารถลงได้ด้วยตัวเอง แต่ฉันก็ตัดสินใจที่จะไม่พูดอะไร เมื่อเห็นเบลล์ซังช่วยฉันอย่างมีความสุข
“จริงสิ ฉันจะเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน อยากจะไปกันก่อนไหม?”
“ฟู๊ว”
และลูน่าก็เหยียดแขนออกไปด้านข้าง ขณะที่สเตลล่าซังเก็บถ้วยแก้วไปเก็บทำความสะอาด ……อ้า แน่นอน วันนี้อากาศร้อนกว่าปกติเล็กน้อย ยิ่งผู้คนมารวมตัวกัน ความร้อนยิ่งสะสม ยิ่งในห้องเรียนยิ่งไม่ต้องพูดถึง ฉันคิดว่า เบลล์ซังกับมิร่าซังจะคาดการณ์ไว้แล้ว จึงแต่งตัวทั้งฉันทั้งพวกเธอด้วยเสื้อผ้าบาง ๆ ที่ไม่มากเกินไป แต่ชุดฟูฟ่องดูหนักของลูน่าจะต้องทำให้อับและเหงื่อออกมากแน่นอน เธอคงรู้สึกไม่สบายตัว เลยต้องการที่จะเช็ดเหงื่อและเปลี่ยนเสื้อผ้า อาจจะดูผิดเวลาไปสักหน่อยที่ต้องมาเปลี่ยนชุดที่ห้องหลังอาหารกลางวันแบบนี้
“อืม เข้าใจแล้ว หนูจะไปก่อน”
“ได้ แล้วฉันจะรีบตามไปน่ะ”
ลูน่าถอดเสื้อผ้าออกโดยไม่กังวลเรื่องสายตา จนฉันต้องรีบเดินไปที่ประตู อาจเป็นการแสดงความไว้วางใจ แต่ฉันไม่สามารถแกล้งทำหน้านิ่งมองเธอได้อย่างที่คิดไว้ สเตลล่าซังที่กลับมาหลังทำความสะอาดเสร็จ มาเปิดประตูให้ก่อนที่ฉันจะทันรู้ตัว ฉันรีบออกจากห้องอย่างรวดเร็วด้วยความรีบร้อน หลังจากที่เบลล์ซังกับมิร่าซังออกมาที่ทางเดินแล้ว พวกเธอก็มองย้อนกลับเข้าไปในห้องอีกครั้ง ลูน่าที่ถอดเสื้อได้ครึ่งไหล่แล้วโบกมือให้เล็กน้อย
“เดี๋ยวเจอกัน”
“เช่นนั้น ขอประทานอนุญาตนะคะ”
“ขอบพระคุณสำหรับน้ำมากค่ะ”
ฉันไม่สามารถทำใจมองเข้าไปที่อีกฝั่งของประตูที่กำลังจะปิดได้ พวกเราหันหลังกลับและเดินไปที่บันไดด้วยยิ้ม ฉันได้ยินเสียงเถียงกันแผ่วเบาระหว่างลูน่ากับสเตลล่าซังที่เตือนว่าให้เอาใจใส่ให้มากกว่านี้ลอดผ่านประตูที่ปิดลงเบา ๆ พวกเราสามาคนเดินผ่านทางเดินอันเงียบสงบ
“ห้อง ใหญ่มากเลย”
“ใช่เลยค่ะ ใหญ่มาก ๆ “
“ใหญ่พอ ๆ กับห้องของฮิเมะที่คฤหาสน์เลยค่ะ”
ขณะที่พูดถึงความประทับใจของห้องดังกล่าว ฉันก็ก้าวลงบันไดอย่างระวังไม่ให้ล้ม บนชั้นสามเพื่อนร่วมชั้นของฉันบางคนกำลังจะกลับเข้าห้อง อาจเป็นคนที่พึ่งกลับมาหลังทานมื้อเที่ยง ฉันทักทายเด็กสาวคลาสเดียวกันเบา ๆ ก่อนเดินลงบันไดลงไปที่ชั้นแรก
จะว่าไปแล้วถึงฉันจะไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากนัก ถึงแม้หอพักจะมีเพียงแห่งเดียว แต่ชายหญิงก็แยกจากกัน ที่ชั้นสามส่วนใหญ่เป็นเด็กผู้หญิงจากคลาสลิเลียมกับป๊อบปี้แดง และชั้นสองเป็นเด็กผู้ชาย ชั้นแรกมีห้องน้อยกว่าชั้นอื่น ๆ มาก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ส่วนกลาง นอกจากนี้ยังมีเก้าอี้และโต๊ะทำงานอีกด้วย จึงเป็นสถานที่สำหรับให้ทุกคนได้พูดคุยกันโดยเฉพาะ เดิมทีดูเหมือนว่าห้องบนชั้นแรกจะเพียงพอสำหรับนักเรียนไอริสคลาส เพราะในตอนแรกมีนักเรียนแค่ไม่กี่คนที่ได้เรียนในคลาส ห้องของเด็กผู้หญิงอยู่ทางซ้าย และห้องของเด็กผู้ชายอยู่ทางขวาที่ฝั่งตรงข้าม มีพื้นที่ส่วนกลางขั้นกลางไว้ ดูเหมือนว่าการจัดสรรซ้ายและขวานี้เริ่มต้นจากธรรมเนียมที่ว่าเมื่อผู้ชายและผู้หญิงยืนเคียงข้างกัน ด้านขวาคือชาย และด้านซ้ายคือหญิง แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่มีอะไรต้องกังวลยกเว้นพิธีสำคัญ ยังไงก็ตามนักเรียนที่ลงทะเบียนในเทอมนี้ ดูเหมือนในรุ่นเดียวกันกับฉันจะมีนักเรียนได้รับเลือกเข้าเรียนในไอริสคลาสมากกว่าปกติ แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะอาศัยอยู่ในหอพัก แต่สุดท้าย ห้องในชั้นแรกก็มีจำนวนไม่เพียงพอ ทำให้ในบางครั้งก็มีเด็กบางคนได้รับการจัดสรรให้ไปอยู่ชั้นสองและชั้นสาม เช่นฉันกับเด็กสาวอีกคนที่ฉันทักทายด้วยก่อนหน้านี้ ……เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้ฉันได้รับห้องพักสำหรับสี่คนเป็นห้องพักส่วนตัว ฉันรู้สึกขอโทษเล็กน้อย และนอกจากนี้ ชั้นสี่ที่ลูน่าใช้ แต่เดิมก็สร้างขึ้นมาเพื่ออุทิศให้กับเชื้อพระวงศ์ในยามที่พวกเขาเข้ามาในโรงเรียน
“…..อะเร๊ะ อากาศดูแย่นิดหน่อย”
“จริงด้วยค่ะ คืนนี้ฝนอาจจะตกก็ได้นะคะ”
เมื่อฉันออกจากประตูหอพักที่ชั้นแรก ท้องฟ้าที่แจ่มใสในตอนที่ฉันกลับมาเริ่มมีเมฆมาก อย่างที่มิร่าซังบอก คืนนี้อาจจะมีฝนตกล่ะมั้ง ฝนไม่ได้หายากนัก แต่การตกในเวลาที่มีแดดจัดก็ทำให้รู้สดชื่น โดยส่วนใหญ่แล้ว จะตกประมาณสองถึงสามครั้งต่อเดือน….ไม่สิ อาจจะมากกว่านั้นอีกหน่อยล่ะมั้ง เพราะกว่าที่ฉันจะเริ่มกังวลเรื่องสภาพอากาศก็ตอนที่มาโรงเรียนแล้ว แม้ว่าจะเป็นระยะสั้น ๆ ในการเคลื่อนย้ายระหว่างตึก แต่ก็ต้องทำให้แน่ใจว่าหนังสือเรียนจะไม่เปียกฝน สำหรับฉันนั้นไม่เป็นไร เพราะมีเบลล์ซังหรือมิร่าซังช่วยถือร่มให้แทน แต่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องค่อนข้างยากหากฉันอยู่คนเดียว เพราะฉันจำเป็นต้องถือของที่จำเป็นสำหรับใช้ในชั้นเรียน สำหรับฉันตอนนี้การล้มสักครั้งก็จบด้วยความเฉอะแฉะแน่นอน
“แต่ หวังว่าจะช่วยให้ชุ่มชื่นขึ้นแม้เพียงเล็กน้อย”
“อริซซามะ……..”
ม๊า ความไม่สะดวกพวกนั้นก็เป็นแค่เรื่องเล็กน้อย ประโยชน์ของฝนมีมากกว่านั้น เป็นอะไรที่เห็นได้ชัดอยู่แล้วว่า หากฝนไม่ตกนานเกินไป พืชพรรณรวมถึงพืชผลก็จะตาย นอกจากนี้ฉันก็ไม่ได้เกลียดฝน การที่ฝนตกทุกวันอาจะทำให้หดหู่นิดหน่อย แต่ฝนที่ตกในราชอาณาจักรนั้นไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องสารพิษ น้ำเป็นสินค้าที่มีค่าในโคโลนี่ของชาติก่อน ปริมาณน้ำที่จ่ายให้แต่ละคนมีการตัดสินใจปรับเปลี่ยนทุกวัน ยิ่งไปกว่านั้นน้ำเหล่านั้นก็เหมือนจะดึงมาจากถังเก็บน้ำที่ไม่กันฝน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติมากที่ต้องพยายามไม่ดื่มน้ำที่ได้รับให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในวันฝนตก
เพราะชั้นบรรยากาศเต็มไปด้วยมลพิษอย่างหนักในบางพื้น เนื่องจากอิทธิพลของเหตุการณ์บางอย่างที่กลายเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโลก จากระบบที่มีหลายประเทศก็ถูกแบ่งออกเป็นสองอย่างง่าย ๆ คือ กลุ่มระบบชนชั้นผู้ปกครองและกลุ่มชนชั้นผู้ถูกปกครอง ฝนในพื้นที่เหล่านั้นอาจมีสารที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์จำนวนมากผสมอยู่ และเพื่อนร่วมงานนับไม่ถ้วนได้ล้มป่วยลง น้ำในถังเก็บน้ำจะถูกทำให้บริสุทธิ์เพียงหนึ่งครั้งในทุกสองวัน นั่นเป็นเหตุผลที่เมื่อฝนตก การงดดื่มน้ำสักสองสามวันจึงกลายเป็นวิถีชีวิต
……เมื่อเทียบกับเรื่องพวกนั้นแล้ว ฝนในราชอาณาจักรนั้นช่างสงบสุขและสวยงาม หล่อเลี้ยงผืนดิน และนำพรมาสู่โลก นี่คือฝนที่แท้จริง ดังนั้นฉันจึงชอบที่สามารถมองเฝ้ามองฝนของราชอาณาจักรจากหน้าต่างแล้วง่วงนอน หรือจะเป็นตอนที่กรีดร้องยามที่เปียกไปทั้งตัว ยังไงก็ตามก็มีขอบเขตที่ว่าจะไม่มีใครเป็นหวัด
“ลูน่า จะแนะนำหนังสือแบบไหนกันน๊า”
“นั่นสินะคะ แต่ดิฉันแน่ใจว่าต้องเป็นเรื่องที่อริซซามะสามารถเพลิดเพลินได้อย่างไม่ต้องสงสัยเลยค่ะ”
“นั่นสิ เฮะๆๆ”
พอเบลล์ซังบอกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย ฉันก็พยักหน้าเห็นด้วย ไม่น่าเชื่อว่าฉันเพิ่งพบเธอเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ เพราะลูน่าเหมือนจะรู้รสนิยมและบุคลิกของฉันแทบทั้งหมด ดังนั้นไม่ว่าลูน่าจะเลือกแบบไหนมาให้ ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่ฉันจะไม่สนใจ โดยส่วนตัว นอกเหนือจากคำแนะนำแล้ว ฉันก็รู้สึกซาบซึ้งมากที่เธอมักจะเล่าเรื่องหลาย ๆ อย่างให้ฉันฟัง แม้แต่เรื่องตำนานดอกหยาดหิมะที่ทุกคนควรจะรู้อยู่แล้ว ไว้ค่อยอ้อนลูน่าตอนที่เธอมาถึง
ระหว่างที่กำลังวางแผนเรื่องหลังจากนั้น ฉันก็เดินผ่านห้องอาหารแล้วขึ้นบันไดด้านหลัง…..
“หืม…….?”
ทันทีที่ฉันเดินขึ้นบันไดและเลี้ยวเข้าไปในทางเดิน ฉันรู้สึกเหมือนเห็นร่างเงาคนในห้องสมุด มีใครอยู่ด้วย กำลังจะมายืมหนังสือในเวลาเดียวกัน หรือว่ากำลังจะกลับกัน ……ฉันไม่คิดว่าจะมีเรื่องบังเอิญ แต่บางทีเขาอาจจะกำลังมาเพื่อยืมหนังสือเรื่องตำนานดอกหยาดหิมะก็ได้ ฉันต้องรีบส่งคืนโดยเร็ว
“มีอะไรผิดปกติหรือเปล่าคะ?”
“อือฮึ ม๊ายมีอาร๊าย”
ฉันส่ายหัวให้เบลล์ซังที่ทำท่าทางกังวล และเดินตรงไปตามทางเดินเพื่อไปยังห้องสมุด ฉันขอบคุณมิร่าซังขณะเธอกำลังเปิดประตูนำ มีหนังสือจำนวนมากเหมือนอย่างเคย เป็นครั้งที่สองที่ฉันได้มา แต่ฉันก็ยังรู้สึกเหมือนถูกครอบงำอีกครั้ง แต่อย่างแรกต้องรีบคืนหนังสือก่อน ฉันหยุดอยู่ที่หน้ากระดานยืมข้าง ๆ ประตู
“เอ๊ะโตะ….ต้องทำยังไงเหรอ”
“ดูเหมือน ตามบรรทัดหนึ่งที่อยู่เหนือบรรทัดที่ดิฉันเขียนไว้ครั้งก่อน จะถูกลบแล้วเขียนทับไปค่ะ”
“อยากทำเอง”
“เข้าใจแล้วค่ะ”
ครั้งก่อนที่ยืมไป ฉันให้เบลล์ซังเป็นคนทำทั้งหมด แต่ฉันก็น่าจะทำได้เองโดยไม่ผิดพลาด ตราบใดที่ฉันลากเส้นจากด้านบน นอกจากนี้ วันนี้จะยืมอะไรดี ฉันจะเป็นคนเขียนเอง ฉันไม่อยากโดนมองเป็นเด็กเอาแต่ใจที่ทำอะไรเองไม่เป็น เอาละ และเมื่อฉันได้รับเครื่องเขียนจากเบลล์ซัง ฉันก็ลองทำเองทันที เริ่มด้วยลบย่อหน้า อริซ・ฟอน・แฟร์มีล และชื่อหนังสือ ตำนานหยาดหิมะ จากนั้นสิ่งที่เหลือคือนำหนังสือกลับไปคืนบนชั้นวาง …….อะ แต่ว่า ใช่แล้ว คนที่หาเจอในครั้งนั้นคือมิร่าซัง ดังนั้นฉันจึงไม่รู้ว่าต้องไปตรงไหน
“มิร่า นี่เจอที่ไหนเหรอ?”
“อะ ใช่แล้ว ทางนี้เลยค่ะ ฮิเมะ!”
ฉันเดินตามคำนำทางของมิร่าซังผ่านป่าที่เป็นชั้นหนังสือสูง …..ยังไงก็ตาม คนที่เข้ามาก่อนหน้านี้หายไปไหนแล้ว ม๊า เอาเถอะห้องสมุดก็แทบจะเหมือนเขาวงกตอยู่แล้ว อาจจะอยู่ด้านหลังก็ได้ หรือไม่ก็อาจจะเป็นความเข้าใจผิดของฉันไปเองจริง ๆ ยังไงก็ตามต้องระวังอย่าให้เสียงดัง
“เอ๊ะโตะ……อ้า ใช่แล้ว ๆ ตรงนี้ค่ะ ฮิเมะ!”
“ที่นี่?”
“ค่ะ ข้าแน่ใจว่าอยู่ตรงนี้แน่นอน คิดว่าไม่ต้องสงสัยเลยค่ะ……………..อาจจะ”
ขณะที่มิร่าซังกำลังหัวเราะอย่างขมขื่น และเริ่มกังวลเกี่ยวกับจุดจบมากขึ้นเรื่อย ๆ เธอก็เจอที่อยู่ของตำนานหยาดหิมะในแถวที่สามจากด้านล่าง แน่นอนว่ามีช่องว่างประมาณหนังสือเล่มหนึ่ง ดังนั้นจึงไม่มีข้อสงสัย
“คืนเสร็จสิ้น”
“ขอบคุณสำหรับการทำงานอย่างหนักนะคะ”
“ไม่เท่าไร”
แม้จะภูมิใจสักแค่ไหน ก็เผลอพูดเล่นออกไปซะได้ คุๆๆ แต่ฉันก็รู้สึกดีขึ้นแม้พวกเธอจะหัวเราะอยู่
…..ซ้า กว่าลูน่าจะมาก็คงอีกสักพัก
“เหมือนจะเข้าใจแล้ว ดูหนังสือใกล้ประตู”
“รับทราบแล้วค่ะ อริซซามะ”
“ข้ารู้สึกเหมือนมีบางเล่มที่เหมาะกับฮิเมะ…..”
ฉันพยายามขอบคุณมิร่าซังที่ก้มหน้าหาหนังสือให้ ฮ๊า และกล้องสองตาสีฟ้าใสก็ส่องประกายระยิบระยับราวกับได้รับคำชี้แนะจากเทพเจ้า ฉันกังวลนิดหน่อย แต่หลังเอ่ยขอบคุณเสร็จ ฉันก็กลืนคำที่เหลือลงในลำคอ
“มีอะไรเหรอ?”
“ข้ากำลังมองหาหนังสือของแมเรียนอยู่ค่ะ!”
“――――แมเรียน!?”
ความรู้สึกที่สั่นสะท้านไปทั้งไขสันหลังส่งเสียงที่เปล่งออกมาก้องไปในห้องสมุดดังกว่าที่ฉันคาดไว้ ในสถานที่แห่งนี้ กรุณาเงียบ ๆ หน่อยค่ะ เบลล์ซังตำหนิมิร่าซังเบา ๆ
“แมเรียน แมเรียน”
“อริซซามะล่ะก็…..”
จนกระทั่งลูน่ามาถึง พวกเราทั้งสามต่างก็ยังมองหาคำว่า “แมเรียน”
MANGA DISCUSSION