ตอนที่ 3 ความรู้แจ้งในความไม่รู้
“อรุณสวัสดิ์ เมื่อวานพวกเจ้าได้พักผ่อนกันบ้างหรือไม่”
“สวัสดีตอนเช้าครับ/ค่ะ คุณครู”
เมื่อถึงเวลาเริ่มเรียน คุณตามาที่ห้องเรียนช้ากว่าปกติเล็กน้อย หลังพูดเสร็จก็เดินขึ้นไปบนโพเดียม ฉันตอบคำทักทายของเพื่อนร่วมชั้นทีละคนด้วยท่าทางฝืน ๆ ขณะขยี้ตาเหมือนง่วงนอน ฉันรู้สึกง่วงอีกแล้ว แต่ก็พยายามส่ายหัวไล่ออกไป ฉันคงเรียนไม่เข้าหัวถ้าเผลอหลับไป ฉันต้องอดทนเอาไว้ …..ม๊า ถึงจะบอกแบบนั้น คนสอนก็ดูเหมือนจะผล็อยหลับให้ได้ แต่ส่วนหนึ่งก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ นักเรียนไม่ใช่กลุ่มเดียวที่มีงานยุ่งในงานเทศกาลโรงเรียน พวกคุณครูเองก็ค่อนข้างต้องพยายามมากขึ้นเพื่อจัดการอย่างทุกอย่างที่เกี่ยวข้อง และสำหรับพวกคุณครูไม่ใช่ว่างานเทศกาลโรงเรียนจบลงแล้วพวกเขาจะไม่ต้องทำงานปกติต่อเนื่องเลย ยังมีงานต้องทำความสะอาดสิ่งต่าง ๆ ต่ออีก
“…….ตายจริง ง่วงนอนเหรอ เมื่อวานได้พักผ่อนให้เพียงพอหรือยัง?”
“ฟุเอ๊…..”
เมื่อฉันกำลังคิดเรื่องพวกนั้นอยู่ในหัวของตัวเอง ลูน่าก็พูดด้วยน้ำเสียงที่ดูเหนื่อยมากกว่าปกติ ฉันส่งเสียงงี่เง่ากลับไป ท้ายที่สุด อาการง่วงนอนไม่ใช่สิ่งที่สามารถใช้สติจัดการได้ ดูเหมือนลูน่าจะสงสัยว่าฉันได้พักผ่อนอย่างเพียงพอไหมหลังจากที่เห็นสภาพสะลึมสะลือของฉัน ยังไงก็ตาม เมื่อวานฉันอยู่ในห้องทั้งวัน แม้แต่การไปกินอาหารที่ห้องอาหารก็กลายเป็นเรื่องยุ่งยาก ฉันจึงกินให้เสร็จในห้อง ฉันรอดมาได้เพราะเนื้อแห้งที่เหลืออยู่ของมิร่าซังที่ซื้อมาก่อนหน้านี้ แต่ถึงอย่างงั้น การที่อยู่ในห้องทั้งวันก็ไม่ได้หมายความว่าจะช่วยหอบเอาความเหนื่อยล้าทั้งหมดทิ้งไปได้ ยังคงมีเหลือตกค้างอยู่ ฉันแสร้งทำเป็นว่าไม่เป็นอะไร แต่จริง ๆ แล้วเมื่อเช้านี้ฉันมาสายกว่าทุกที ฉันตื่นนอนช้ากว่าปกติครึ่งชั่วโมง ที่ฉันยังสามารถมาเข้าเรียนตามเวลาปกติได้ก็เพราะ เบลล์ซังกับมิร่าซังที่เตรียมพร้อมทุกอย่างไว้แล้วในขณะที่ฉันยังคงหลับอยู่ ไม่ต้องพูดถึงในยามที่ฉันตื่นขึ้นมา ฉันแทบจะยืนโค้งค้างติดอกตลอดเวลา
“อืม พักแล้ว”
“เหรอ ม๊า ฉันก็ง่วงเหมือนกัน ฟู๊ว……”
“ฟุๆ เหมือนกัน”
ฉันพยายามที่จะขบคิด ในขณะที่กำลังคุยกันด้วยเนื้อหานุ่มฟู แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ผล เช้านี้ฉันกินอะไรไปก็ยังคลุมเครือเลย อะแต่ว่า ใช่แล้ว ฉันจำได้แค่”จดหมาย” จดหมายจากมาเรียนา นั่นคือจากคุณพ่อของฉัน เนื้อหาเป็นคำขอโทษ ขอโทษที่มางานเทศกาลโรงเรียนไม่ได้และเป็นกังวลว่าฉันจะไปได้ดีไหม จดหมายมาถึงในช่วงท้ายวันของเมื่อวาน แต่เดิมดูเหมือนจะต้องมาถึงก่อนงานเทศกาลโรงเรียนจะเริ่มขึ้น เพราะมีข้อความที่ว่า พ่อได้ยินมาว่าลูกจะแสดงละคร พยายามเข้านะ ฉันไม่ได้รู้สึกอะไรที่ได้ช้า แต่เมื่อฉันลองถามเบลล์ซังดู ก็ดูเหมือนว่าช่วงนี้ไม่ใช่แค่จดหมาย แต่การขนส่งทั้งหมดมีแนวโน้มที่จะล่าช้า
พูดไปแล้ว ในตอนที่ฉันถูกพาไปที่ห้องทำงานของคุณพ่อหลังพบหน้ากันได้ไม่นาน ฉันจำได้ว่ามีการพูดถึงการลดภาษี เพราะฤดูเก็บเกี่ยวปีนี้ย่ำแย่ อาจไม่ได้เป็นเหตุการณ์ที่จำกัดอยู่แค่มาเรียนา หากมีการเก็บเกี่ยวไม่ดีทั่วทั้งราชอาณาจักรก็จะต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะแก้ไขได้ ผลกระทบอาจจะออกมาช้า ๆ ค่อยเป็นค่อยไป
…..เมื่อมาคิดดูในช่วงเวลานี้ ฉันคิดว่าผลกระทบก็สามารถเห็นได้ชัดในห้องอาหารของที่นี่เช่นกัน มีเฉพาะอาหารประเภทเนื้อสัตว์และปลาเท่านั้นที่ขึ้นให้บริการในเมนู ส่วนผักจะใช้เป็นส่วนผสมของซุป ตอนแรกฉันคิดว่าเหตุผลที่พวกเขานำเมนูผักออกไปทั้งหมด เพราะมีแต่ขุนนางเท่านั้นที่เข้า แต่อันที่จริงมีความย่ำแย่ของผลผลิตทางการเกษตรอยู่เบื้องหลังอย่างงั้นเหรอ
จริงด้วย ตอนที่ฉันได้พบกับอายาเมะ เธอก็อดอยากหิวโหย และเข้าโจมตีพวกเรา แน่นอนว่าปัญหาใหญ่สุดคือ เธอเป็นเด็กที่ถูกแยกจากฝูง แต่ถึงกระนั้นด้วยสติปัญญาและความแข็งแกร่งทางร่างกายก็น่าจะสามารถล่าสัตว์ตัวเล็ก ๆ ได้ เช่นนั้นแล้วทำไมถึงไม่ทำกันล่ะ เป็นไปได้ไหมที่จะไม่มีเหยื่อให้ล่ามาตั้งแต่ต้น ถ้าสมมติว่าการเก็บเกี่ยวผลผลิตทางการเกษตรย่ำแย่ไปทั่วราชอาณาจักรจริง ก็ควรอยู่ในสัดส่วนที่ส่งผลเฉพาะกับสิ่งที่จำเป็นสำหรับการเลี้ยงดูผู้คนเท่านั้น ไม่ควรมีเรื่องนี้เป็นสาเหตุหลัก ถ้ามีบางอย่างเกิดขึ้น…..ก็อาจเป็นสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติเองมากกว่า สัตว์กินพืชจะลดจำนวนลงตามอาหารในธรรมชาติ และจะระมัดระวังในการเอาชีวิตรอดมากขึ้น สิ่งนี้จะลดเหยื่อของสัตว์กินเนื้ออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นั่นคือการสร้างสถานการณ์ที่ทำให้เกิดการเผชิญหน้าทางอ้อมกับอายาเมะ
“อริซ?”
ยิ่งคิดมากเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งรู้สึกว่าไม่ถูกต้อง โดยพื้นฐานแล้ว ทั้งตอนที่อยู่ที่คฤหาส์ และแม้แต่ตอนที่ถูกดึงให้มาอยู่ที่โรงเรียนที่นี่ ฉันก็ไม่รู้อะไรเลย หรือบางทีอาจเป็นเพราะฉันยุ่งอยู่แต่กับตัวเอง ฉันคิดว่าบางทีราชอาณาจักรในตอนนี้อาจอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายมากแล้วก็ได้
…..ฉันแน่ใจว่าลูน่าคงจะรู้อะไรบางอย่าง อาจจำเป็นต้องถามเธอเมื่อคลาสเรียนจบลง
“อริซ…..ไม่เป็นไรใช่ไหม?”
“อะ อืม ม๊ายเป็นร๊าย หนูเบลอนิดหน่อย”
“จริง ๆ เลย คลาสกำลังจะเริ่มแล้ว โฮระ เห็นไหม”
“ก่ะ”
สำหรับตอนนี้เก็บเรื่องนั้นไว้ที่มุมหนึ่งในหัว แล้วเปลี่ยนเป็นโหมดคลาสเรียน โชคดีที่อาการง่วงนอนของฉันดีขึ้นมาก อาจเป็นเพราะฉันได้ฟื้นฟูสมองด้วยการคิดอย่างละเอียดล่ะมั้ง อืมมมม ฉันยืดเหยียดหลังหนึ่งที แล้วพยายามตบแก้มเบา ๆ
“…..โม๊ว เดี๋ยวเถอะ ช่วยให้ความสนใจรอบ ๆ ตัวมากกว่านี้หน่อยเถอะ”
“เอ๊ะ”
ปุนิ๊ว ฉันถูกจิ้มจากด้านข้าง ลูน่าที่แก้มแดงเล็กน้อย เอื้อมมือออกมาจิ้มท้องของฉันด้วยนิ้วชี้ เมื่อฉันมองลง ก็เห็นชุดของฉันม้วนขี้นมา และเปิดหน้าท้องถึงสะดือ เห็นได้ชัดเจนว่าความร้อนสะสมบนใบหน้าของฉัน
“กรี๊ด……”
“โอ๋ ๆ ไม่เป็นไร อย่ากรี๊ดน๊า …….เพราะส่วนใหญ่จะใส่เสื้อคลุมมาตลอด ดังนั้นจะลืมเรื่องรอยแยกชุดบนล่างก็ไม่แปลก”
ตรงเป้า ไม่สิ ถูกต้องอย่างแม่นยำ ฉันยอมรับ ฉันมักจะใส่ชุดเดรสวันพีชเสมอ ดังนั้นเลยตั้งใจที่จะทำแบบนี้โดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าส่วนไหนของชุดสามารถม้วนขึ้นได้บ้าง ถ้าถามถึงโดยรอบ เพื่อนร่วมชั้นทุกคน รวมทั้งคุณตา แสร้งทำเป็นไม่เห็นด้วยการฝืนยิ้ม ขณะที่ฉันหดตัวเข้าหาลูน่าราวกับจะซ่อนให้มิด …….ไม่ มีเด็กผู้หญิงบางคนมองมาที่ฉันด้วยสายตาที่สะท้อนแสงแปลก ๆ แต่เมื่อลูน่าจ้องกลับไปที่พวกเธอ สายตาเหล่านั้นก็หายไปอย่างรีบร้อน ฉันรู้สีกเหมือนประกายไฟกระจายไปทั่ว การโจมตีและการป้องกันนี่เกิดอะไรขึ้นกัน
“……เอ เช่นนั้น ขอเริ่มคลาสของวันนี้”
อะแอ่ม เมื่อคุณตากระแอมไอหนึ่งครั้ง ทุกคนก็ยืดหลังตรง เสียงที่คุยกันมีชีวิตชีวาตรงนั้นตรงนี้หยุดลงอย่างสมบูรณ์ กลับเป็นบรรยากาศที่เงียบสงบอย่างที่ควรเป็น เป็นเรื่องแปลก เมื่ออารมณ์เกียจคร้านที่แพร่กระจายไปทั่วห้องเรียนเมื่อไม่นานมานี้ปลิวหายไปเรียบร้อยแล้ว ฉันรู้สึกอิจฉาที่สามารถทำให้เปลี่ยนแปลงได้เร็วอย่างงี้
“ซ้า วันนี้….นั่นสินะ ขอออกนอกเรื่องกันสักเล็กน้อย มาพูดถึงเรื่องเทพนิยายกันเถอะ”
“เทพนิยาย?”
เมื่อถามไปฉันก็ผงะไปทั้งตัวโดยไม่ตั้งใจ และรีบปิดปาก ฉันคงยังเหนื่อยเกินไปอย่างที่คิดไว้ แม้กระนั้นคุณตาก็ทำเป็นมองไม่เห็น อุมุ และยิ้มก่อนพูดต่อ
“ใช่ เทพนิยาย เป็นเรื่องที่ทุกคนน่าจะรู้จักกันดี วันนี้มาลองพูดถึงเรื่องเวทมนตร์ที่ปรากฎในเรื่องราวเหล่านั้นกัน”
“เวทมนตร์ เทพนิยาย”
ขณะพยักหน้าหลายครั้ง เข้าใจแล้ว เกี่ยวกับเวทมนตร์ที่ปรากฎในเทพนิยายสินะ เป็นธีมที่ฉันค่อนข้างที่จะหลงใหล ดูน่าสนใจมาก ๆ เวทมนตร์เหล่านั้นมีจริงหรือไม่ สามารถนำมาใช้ได้ไหม จะเป็นยังไงถ้ามีอยู่จริง นั้นเป็นเรื่องที่ฉันอยากพูดคุย ดูเหมือนจะเป็นการพักฟื้นที่ดีสำหรับฉันที่ยังเหนื่อยและขี้เกียจอยู่ หากมองไปรอบ ๆ ดูเหมือนทุกคนจะเป็นเหมือนกันหมด และฉันรู้สึกเหมือนสามารถผ่อนคลายไหล่และสนุกกับการพูดคุยได้ เมื่อพิจารณาจากข้างต้น ฉันมั่นใจว่าคุณตารู้ดีจึงตั้งใจ”หยุดพัก”ในจังหวะเช่นนี้ หรือไม่บางทีฉันก็เหนื่อยจนคิดไปเอง แต่ว่าในความเป็นจริง ถึงจะเป็นการหยุดพัก แต่การได้ขบคิดเกี่ยวกับธีมเหล่านี้ก็ถือว่าดี เพราะจะช่วยให้มีมุมมองที่กว้างขึ้น เช่นนั้นก็ถือว่าเป็นการศึกษาที่ดีเช่นกัน …..โดยเฉพาะกับฉันที่มีเวทมนตร์ที่ราวกับหลุดออกมาจากเทพนิยาย
“เอาล่ะ ก่อนอื่นเลย……ทุกคนคงจะเคยอ่านเรื่อง「เวทมนตร์ของมารีจัง」มาแล้วสักครั้งหนึ่งสินะ”
อย่างที่คุณตาพูด ฉันเองก็รู้จักเรื่องนี้เป็นอย่างดี ฉันหมายถึง ฉันมีความภาคภูมิใจที่รู้เรื่องเทพนิยายมากกว่าใครในห้องเรียนนี้ ท้ายที่สุดเพราะการอยู่แต่ในห้องเป็นเวลาหลายปีก็ทำให้ฉันได้แต่อ่านหนังสือภาพเหล่านั้นทั้งหมด อย่างน้อยก็ที่มีอยู่ในคฤหาส์ ฉันอ่านจนจะจำเนื้อหาทั้งได้แล้ว เวทมนตร์ของมารีจังเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการใช้เวทมนตร์แห่งการเจริญเติบโตเพื่อแก้ปัญหาความหิวโหย ด้วยทิฐิที่อยากกินอาหารใหม่ ๆ ตัวละครหลักของเรื่องมารีจังเบื่ออาหารที่เสิร์ฟในคฤหาส์ จึงกระโดดหนีออกไปที่ตัวเมืองเพื่อค้นหาอาหารใหม่ ๆ ทันที และเมื่อไปถึงที่หมายก็ได้รับรู้ชีวิตที่ย่ำแย่ของสามัญชน เป็นคุณหนูผู้ใสซื่อบริสุทธิ์ที่รวบรวมรูปลักษณ์ดั้งเดิมของขุนนาง ซึ่งสามารถตีความได้ว่าเป็นการประชดขุนนางในปัจจุบันที่กลายเป็น”ผู้ใหญ่”ตามกาลเวลา ดูเหมือนอารมณ์เสียดสีดังกล่าวจะถูกซ่อนอยู่ในเทพนิยายของราชอาณาจักรหลากหลายเรื่อง ดูเหมือนคนส่วนใหญ่ที่เขียนเรื่องราวเหล่านี้จะเป็นประชาชนทั่วไป และอาจเป็นความไม่พอใจที่แพร่กระจายอยู่ในหมู่ประชาชนทั่วไปแทบทั้งหมด
“ถ้าเจ้าไม่มีขนมปัง…..”
” ―――― ก็ทำให้เติบโตสิ ใช่ เป็นเรื่องที่มีชื่อเสียงในแนวนั้น”
ฉันพึมพำเพื่อระลึกถึง แต่ก็ต้องรู้สึกประหลาใจเล็กน้อยที่ถูกรับรู้และหยิบขึ้นไปพูดในทันที่โดยไม่คาดคิด ร่างกายของฉันเด้งขึ้นเล็กน้อยด้วยความมึนงงเหมือนตอนที่ถูกเสนอชื่ออย่างกะทันหัน ลูน่าตีหัวเข่าของฉันที่อยู่ใต้โต๊ะจนทำให้ฉันสงบลง โชคดีที่ทุกคนสนใจไปกับการฟังเรื่องราวจนไม่ทันสังเกตเห็น ถึงจะไม่มีใครสังเกตเห็นความผิดปกตินี่เป็นพิเศษ แต่ฉันก็รู้สึกเขินอายอยู่ดี ตอนเริ่มคลาส ท้องของฉันถูกเปิดโล่งจนมองเห็นได้ ความรู้สึกตอนนี้ก็ยังมาโชว์สภาพน่าอายอีกรอบ
“นอกจากเนื้อหาของเรื่องแล้ว ก็อยากจะให้ทุกคนสนใจไปที่เวทมนตร์กัน เวทมนตร์ของเธอคือ?”
“เวทมนตร์แห่งการเจริญเติบโตครับ/ค่ะ”
“ใช่แล้ว มีการพรรณนาว่าสามารถทำให้พืชผลที่ด้อยพัฒนากำลังจะตายให้สามารถออกผลได้ในทันที”
คุณตาฟังคำตอบของเด็ก ๆ แล้วพยักหน้า คุณตามีรูปแบบคาบเรียนโดยเน้นที่การตอบกลับอย่างละเอียด โดยการทำเช่นนั้นเป็นการกระตุ้นให้เกิดการมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในบทเรียน และมีสมาธิกับบทเรียนโดยไม่รู้ตัว อาจจะเพราะเป็นถึงผู้อำนวยการโรงเรียน เทคนิคที่ดึงเรื่องราวเหล่านี้จึงเป็นปรมาจารย์ ไม่ใช่บทเรียนที่จะต้องเอาแต่ฟังเป็นประจำ แต่เป็นสิ่งที่ต้องพูดจากตัวคุณเอง ถึงแม้จะไม่มีสิ่งที่จะพูดอะไรเป็นพิเศษจริง ๆ แต่อย่างน้อยการมีลำดับก็ช่วยทำให้ไม่เบื่อ และการโยนถามคำถามรายบุคคลก็จะช่วยรักษาระดับความตึงเครียดในระดับที่เหมาะสมไว้ได้
“เช่นนั้นแล้ว พวกเจ้าคิดว่าเวทมนตร์แห่งการเจริญเติบโตมีจริงหรือไม่?”
ไม่มีคำตอบที่ชัดเจน ทุกคนรวมทั้งฉันเองมีสีหน้าสงสัย ฉันไม่สามารถพูดได้ว่า ไม่มี เพราะฉันไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาก่อน แต่ในความเป็นจริงเวทมนตร์แห่งน้ำแข็งซึ่งควรจะเป็นแค่เทพนิยายก็มีอยู่จริง
“ฮ่าๆ เป็นคำถามที่ตอบยากเกินไปสินะ มาเปลี่ยนคำถามกันดีกว่า……พวกเจ้าคิดว่ามีความเป็นไปได้ไหมที่เวทมนตร์แห่งการเจริญเติบโตจะปรากฎในตัวของใครบางคนในโลกนี้?”
คราวนี้ทุกคนพยักหน้า ฉันสามารถรับรองได้ว่ามีความเป็นไปได้ ในความคิดของฉัน สิ่งที่เรียกว่าเวทมนตร์ ณ จุดหนึ่งของเวลาไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ ทั้งเรื่องในชาติก่อนทั้งเรื่องในโลกนี้ต่างก็เปป็นเรื่องลึกลับทั้งหมด
“อุมุ นั้นสินะ ก็มีความเป็นไปได้ แต่ในยามที่ข้าถามพวกเจ้าในครั้งแรกว่ามีจริงหรือไม่ พวกเจ้ากลับมีปฏิกิริยาเชิงลบ เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นล่ะ”
…..แน่นอนว่า ฉันสงสัยว่าทำไมถึงถามอย่างนั้น เรื่องที่ถามไปก่อนหน้า ฉันคิดว่าเพราะไม่เคยมีใครเคยได้ยินมาก่อน แต่เมื่อถามถึงความเป็นไปได้ ความรู้สึกก็กลายเป็นเชิงบวกทันที ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ นี่เป็นลักษณะของการสองมาตรฐาน สามารถแก้ตัวได้ว่าประเด็นปัญหาต่างกันเล็กน้อย แต่ท้ายที่สุดคำถามที่ว่ามีอยู่จริงหรือไม่ ส่วนตัวฉันคิดว่าเป็นไปได้ เพราะสิ่งที่ถูกถามมีหลักการเดียวกัน สิ่งที่ฉันรู้สึกแตกต่าง บางทีอาจเป็นอารมณ์
และมองหาคำตอบสำหรับคำถามของคุณตา สำหรับคำถามนั้นพูดได้เลยว่ามีความเป็นไปได้ แต่เมื่อถามว่ามีอยู่จริงไหม กลับตอบว่าไม่ เหตุผลใดที่เป็นเช่นนั้น
….ไม่สิ ตัวอย่างเช่น ถ้าถูกถามเกี่ยวกับเวทมนตร์แห่งน้ำแข็งล่ะ ฉันก็น่าจะตอบทั้งสองคำถามด้วยความมั่นใจอย่างแน่นอน นั่นคือ เพราะฉัน”รู้”ว่าเวทมนตร์นั้นมีอยู่จริง ในทำนองเดียวกัน เปลวไฟและน้ำสามารถเห็นได้ทุกที่ในชีวิตจริง เวทมนตร์เสริมพลังกายก็เช่นกัน การรู้ หมายถึง สามารถสัมผัสได้ถึงการมีอยู่จริง มีเหตุการณ์ที่น่าเชื่อถือ หรือก็คือ…….
“เพราะ ไม่ ใกล้ตัว….?”
บางทีคุณตาอาจคิดว่าจะไม่ได้รับคำตอบกลับไปทำให้ขณะที่กำลังจะเริ่มพูดจึงชะงักไปครู่หนึ่ง และเบิกตาขึ้นเล็กน้อยราวกับรู้สึกประหลาดใจ จากนั้นก็พูดด้วยรอยยิ้มละไมอย่างมีความสุข ก่อนปรบมือให้ดัง ๆ ฉันพบว่าตัวเองกลายเป็นจุดรวมความสนใจของทุกคน
” ―――― ถูกต้อง เป็นคำตอบร้อยคะแนน ……ใช่ เหตุผลที่พวกเจ้าทุกคนยอมรับในคำถามข้อที่สอง แต่เอียงคอในคำถามแรก ก็เพราะพวกเจ้าไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องใกล้ตัว เช่นนั้นแล้ว จากนี้จะเรียนรู้สิ่งใดได้บ้าง”
“…….เวทมนตร์และชีวิตของพวกเรามีส่วนเกี่ยวข้องกันอย่างใกล้ชิดใช่ไหมครับ”
เด็กหนุ่มที่นั่งด้านหลังตอบกลับ คุณตาส่งเสียงในลำคอขณะที่ลูบเคราตัวเอง เป็นคำตอบที่ไม่ปฏิเสธ แต่ก็ดูเหมือจะไม่ใช่คำตอบที่กำลังมองหา ยังไงก็ตามก็เป็นหนึ่งในคำตอบที่ถูกต้องเช่นกัน หลังเว้นช่องว่างไม่กี่วินาที คุณตาก็พยักหน้าและพูดต่อ
“สำหรับข้า เวทมนตร์คือสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเราเสมอ เพราะมีเวทมนตร์ จึงมีสังคมปัจจุบัน มีวัฒนธรรม นั้นไม่ผิดพลาดแน่นอน แต่ยังไงก็ตาม ข้าคิดว่ามีสิ่งที่เป็นพื้นฐานมากกว่านั้น ท้ายที่สุดแล้ว เวทมนตร์ก็เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น”
ทั้งห้องเรียนเงียบไปเมื่อคุณตาตอบกลับมา เพราะทุกคนกำลังคิดหาคำตอบ คุณตาไม่พูดอะไร ทำเพียงเฝ้าดูเท่านั้น เพื่อให้”พวกเรา”ไปถึงที่นั่นได้ด้วยตัวเอง ทันใดนั้นฉันก็เริ่มเข้าใจคำตอบ แต่ก็ยังคลุมเครือ เป็นบางสิ่งที่ใกล้เคียงกับความรู้สึก และต้องใช้เวลาคิดกว่าที่จะพูดออกมาได้ ทันใดนั้นดูเหมือนลูน่าจะทำสำเร็จนำไปหนึ่งก้าว และเปิดริมฝีกปากเรียวด้วยความมั่นใจเล็กน้อย
“…..เปิดมุมมองให้กว้างเพื่อให้มีความคิดที่ยืดหยุ่นโดยไม่ยึดติดกับความคิดของตัวเอง ฉันสงสัยว่าจะเป็นเช่นนั้นค่ะ”
คำตอบที่ได้ยินคือคำที่ฉันเข้าใจในความรู้สึกของฉันนั่นเอง และฉันกำลังจะตอบไปเช่นกัน บางทีฉันอาจเหนื่อยในระดับเดียวกับตอนเริ่มคลาส นั่นแหละ!ฉันต้องการแบบนั่นแหละ!ฉันอยากกรีดร้องด้วยท่าทางไม่เหมาะสม ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหากทำแบบนั้นคงได้การฝืนยิ้มและสายตาเย็นชา
“ถูกต้อง ไม่สิ ทุกคนเก่งมาก เอาล่ะ ที่ข้าอยากบอกคือเป็นดังที่เจ้าหญิงได้ตอบมาอย่างแท้จริง …..ผู้คนมักจะยากที่จะเชื่ออะไรอื่นนอกจากสิ่งที่ตนเคยประสบมา”
เมื่อคุณตาพูดจบลงที่ตรงนั้น ก็มีแววตาที่ราวกับกำลังมองดูความทรงจำของวันอันแสนไกล ดังนั้นฉัน พวกเราจึงไม่สามารถพูดอะไรออกไปได้ และเพราะสั่งสม”เวลา”มาอย่างยาว ยาวนาน แสนนาน น้ำหนักของคำพูดจึงมีมากเกินพอที่จะทำให้พวกเราเข้าใจ
“ทุกคน….. ―――― ข้าไม่ได้ต้องการให้ทุกคนเป็นเช่นนั้น ข้าอยากให้พวกเจ้ามองเห็นและสัมผัสสิ่งต่าง ๆ ด้วยมุมมองที่กว้าง โลกใหญ่กว่าที่พวกเจ้าคิดนิดหน่อยเสมอ มีหลายสิ่งที่คาดไม่ถึงอยู่ที่นั่น และเมื่อเจอสิ่งที่ไม่คาดฝัน แทนที่จะหลับตาไม่เชื่อ ข้าอยากให้เจ้าจ้องเขม็งเข้าไป ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว อ้า…….ข้าเชื่อว่าพวกเจ้าจะต้องสังเกตเห็นบางสิ่งแน่นอน”
คุณตาไม่ได้พูดต่อว่าจะสังเกตเห็นอะไรมากกว่านั้น อาจต้องการให้พวกเราค้นหาเจอด้วยตัวเอง คำต่อมาคือ สิ่งนั้นจะแตกต่างกันไปในแต่ละคน ฉันแน่ใจว่าคุณตาไม่ได้สังเกตเห็นจนสายเกินไป ทำให้ทุกครั้งที่หลับตาลงก็อาจนึกเสียใจตลอดเวลา เพราะแบบนั้นถึงได้ไม่ต้องการให้พวกเราต้องรู้สึกแบบนั้น คุณตาไม่ได้ต้องการสอนในฐานะคุณครู แต่เป็นในฐานะ”แม็กพ็อด・มัวริสตา” ผู้ชี้แนะชีวิตคนหนึ่ง เทศกาลงานโรงเรียนจบลงแล้ว และได้หยุดระยะหนึ่ง บางทีอาจจะมีความหมายพิเศษที่เลือกที่จะสอนในเวลานี้ ฉันยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า ตอนนิ้ฉันรู้จัก “เพื่อน” ของฉันแล้ว “ได้ทำอะไรสักอย่างร่วมกันกับใครบางคน” โลกใหญ่กว่าที่คิดไว้เสมอ
“…..ซ้า นั่นคือทั้งหมดสำหรับคลาสเรียนวันนี้ ส่วนเวลาที่เหลือมานั่งคุยกันสบาย ๆ กันเถอะ …..ไม่สิ ถ้าจะทำตัวขี้เกียจข้าก็ไม่ว่าอะไรหรอกน่ะ เพราะไม่มีคาบเรียนแล้ว ฮ่าๆๆๆๆๆ!”
จริงเหรอ หลังจากนั้นห้องเรียนก็ยิ้มตามมุขตลกของคุณตา เสียงหัวเราะก้องกังวานตลอดเวลาจนจบคลาส ฉันดีใจที่ได้คลุกเคล้าอยู่ที่นี่ในช่วงเวลาที่กำลังมีความสุข
…..ท้ายที่สุด ฉันก็ตัดสินใจถามลูน่าเกี่ยวสถานะปัจจุบันของราชอาณาจักรในภายหลัง
MANGA DISCUSSION