ตอนที่ 11 ประเพณี
“อรุณสวัสดิ์”
“อรุณสวัสดิ์ก่ะ”
รูนไฮม์ซังนั่งอยู่ตรงหน้าฉันเหมือนอย่างเคย วันนี้ฉันตื่นเช้ามากและไม่เสียเวลาแม้แต่นิดเดียว ฉันไปที่ห้องเรียนหลังเวลาเปิดของอาคารเรียนไม่ถึงครึ่งชั่วโมง แต่รูนไฮม์ซังก็อยู่ที่นั้นก่อนแล้ว
เธอมีท่าทางเท้าคางมองออกไปข้างนอกด้วยท่าทางน่าเบื่อ ในขณะเดียวกันรูนไฮม์ซังก็สังเกตเห็นฉันเข้ามาทางประตู หลังจากแลกเปลี่ยนคำทักทายกันแล้ว ฉันก็นั่งลงข้างเธออย่างแผ่วเบา บางครั้งก็จะมีเสียงเพื่อนร่วมชั้นคุยกันดังมาเป็นระยะ ๆ อาหารเช้าวันนี้เป็นยังไง มีเรื่องที่ไม่เข้าใจในชั้นเรียนเมื่อวาน ฉันมองดูเพื่อนร่วมชั้นคนอื่นเข้ามาที่ห้องเรียนจนกระทั้งเริ่มชั้นเรียน
นี่คือกิขวัตรประจำวันของฉันในทุกวัน
“วันนี้ก็มาเร็วจัง”
“ยะ อย่างงั้นเหรอ”
“มาก่อนหนูเสมอ”
“บังเอิญน่ะ บังเอิญ”
รูนไฮม์ซังพูดอย่างเร่งรีบ และค่อย ๆ เปิดหนังสือเรียน ฉันทำตามเธอกางหนังสือเรียนออกกว้าง คลาสวันนี้คือเวทมนตร์
วิชาอื่น ๆ เช่น คณิตศาสตร์ และการเข้าสังคม ไม่ค่อยมีปัญหาเพราะได้รับการสนับสนุนโดยเบลล์ซังและคนอื่น ๆ รวมทั้งความทรงจำในชีวิตชาติก่อน ท้ายที่สุด วิชาที่ฉันต้องทุ่มเทให้มากที่สุดคือ วิชาเวทมนตร์ นี่เป็นแนวคิดที่ไม่รู้จักอย่างสมบูรณ์ไม่มีมาก่อนในชีวิตชาติก่อนหน้านี้ ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเรียนรู้จากศูนย์
และฉันค่อนข้างวิตกกังวลเล็กน้อย เพราะวันนี้คุณครู…..คุณตาบอกเอาไว้ว่าจะทำการเรียน “ฝึกภาคปฏิบัติ” แต่ไม่ได้ให้ใช้พลังจริง ๆ เป็นการทดลองสร้างวงเวทย์เวทมนตร์ขึ้นมา วงเวทย์ ฉันสามารถเข้าใจลักษณะและทฤษฏีของสิ่งที่เรียกว่าวงเวทย์เวทมนตร์แต่ละวงในหัวของฉัน แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องลองใช้จริง ก็เป็นเรื่องราวที่แตกต่างออกไป นอกจากนี้ ฉันไม่รู้ว่าวงเวทย์ไหนที่เหมาะกับฉัน และเหนือสิ่งอื่นใดฉันไม่สามารถเปิดเผยเวทมนตร์ที่แท้จริงออกไปได้อย่างเปิดเผย ถึงแม้จะเป็นสถานการณ์ที่เปิดเผยได้ ฉันก็ไม่คิดว่าจะมีวงเวทย์ที่เข้ากันกับของฉันได้อยู่ตั้งแต่ต้น ยังไงก็ตามถ้าพูดกันอย่างเคร่งครัด เวทมนตร์แห่งการรักษานั้นก็ไม่ใช่เวทมนตร์ ถึงฉันจะสงสัยว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่มีคำตอบกลับมาให้ ท้ายที่สุดคงต้องปกปิดเวทมนตร์ของคุณแม่ และโกหกออกไป ฉันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องอาศัยปัญญาของคุณตา ผู้ซึ่งรู้ว่าเวทมนตร์ของฉันคือการรักษา
“….เป็นอะไรไปรึเปล่า?”
“เอ๊ะ อะ….เอ๊ะโตะ”
“กังวลเกี่ยวกับฝึกภาคปฏิบัติงั้นเหรอ?”
“อะ อืม นิดหน่อย”
เธอแสดงความเป็นห่วง ฉันสงสัยว่าความรู้สึกวิตกกังวลปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฉันหรือเปล่า ฉันยิ้มหลอกลวงให้รูนไฮม์ซัง การบอกความจริงให้กับเพื่อนคนแรกคนเดียวไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกหดหู่ รูนไฮม์ซังมองมาที่ฉันซึ่งนิ่งเงียบอย่างเป็นกังวลใจ เอาล่ะ ฉันพยักหน้าเล็กน้อย
“….ฟุมุ ฉันก็พอเดาได้ ถ้าเธอเป็นหลานของคุณครูจริงก็แปลว่าเธอมีสายเลือดนั้น”
“เอ๊ะ……”
“――――เวทมนตร์แห่งการสืบทอด สินะ? เวทมนตร์ของเธอน่ะ”
ฉันรู้สึกเหมือนหยุดหายใจไปชั่วครู่ สับสนเหมือนโดนดาวตกตกใส่ แต่ในสายตาของเธอกลับเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นบางอย่าง ฉันไม่ทางเลือกอื่นนอกจากต้องพยักหน้า คำว่าคุณตา ฉันหลุดปากออกไปโดยไม่ตั้งใจในวันแรกของการเรียน ดูเหมือนว่ารูนไฮม์ซังจะจำในสิ่งที่เพื่อนร่วมชั้นส่วนใหญ่ลืมไปแล้วและคิดว่าไม่สนใจ
“ดังนั้น เธอไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงเพราะไม่มีวงเวทย์ที่เหมาะกับตัวเองสินะ ถูกไหม?”
“…..อืม ใช่ก่ะ”
พูดให้ถูกคือ เวทมนตร์ของฉันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถเปิดเผยให้โลกรู้ได้ แต่ความจริงที่ว่าไม่มีวงเวทย์เฉพาะก็ยังคงเป็นปัญหา ฉันยืนยันแม้หลังผ่านไปสักครู่ รูนไฮม์ซังมองไปรอบ ๆ ห้องเรียน และยืนยันว่ายังไม่มีใครมาอีก เธอค่อย ๆ ก้มลง ฉันมองดูแล้วก้มเลียนแบบตาม
“สบายใจได้ …..อย่างแรกสิ่งที่เรียกว่าวงเวทย์เวทมนตร์เป็นแค่รูปเท่านั้น”
“แค่ รูปเหรอ?”
“ใช่ สิ่งสำคัญที่สุดในการใช้งานเวทมนตร์อย่างเชี่ยวชาญคือ เธอสามารถใช้งานพลังเวทมนตร์ได้อิสระหรือไม่ นั่นคือจินตนาการของเธอ”
ฉันกลอกตา เป็นเพราะเธอกำลังพูดอะไรที่ไม่ปกติจากที่ได้เรียนในชั้นเรียน สัญลักษณ์ที่ใช้ในวงเวทย์ในชั้นเรียน เป็นลวดลายที่มีความหมายทางเวทมนตร์ที่รวมเข้าด้วยกันเพื่อสร้างวงเวทย์ที่ดีที่สุดสำหรับแต่ละเวทมนตร์ และเปิดใช้งานเวทมนตร์ผ่านวงเวทย์นั้น ฉันเรียนรู้ที่จะแปลงพลังเวทมนตร์ให้เกิดเป็นปรากฏการณ์อย่างมีประสิทธิภาพ ที่จริงแล้วแม้จะบอกว่าเป็นแค่รูปก็ไม่สามารถกลบความหมายอื่น ๆ ได้ รูนไฮม์ซังพูดต่อกับฉันที่ยังสับสน
“เช่นนั้น ทำไมถึงยังสอนวงเวทย์เวทมนตร์กัน ใช่ไหม”
“อืม”
“นั่นเป็นเครื่องช่วยในการจินตนาการไงล่ะ”
“ช่วย”
“ใช่ ตอนนี้ ฉันสงสัยว่าทำไมเธอถึงแปลกใจที่ได้ยินว่าวงเวทย์เป็นเพียงรูป”
ทำไม ทำไมฉันถึงประหลาดใจ…..อ้า เข้าใจล่ะ ยังไงดี ฉันว่าฉันอาจจะเข้าใจถูก
เหตุผลที่ทำให้ประหลาดใจ นั่นก็เป็นเพราะ “ความเชื่อ” ที่ถูกสอนมาว่าการใช้งานวงเวทย์เวทมนตร์จะช่วยให้ใช้งานพลังเวทมนตร์ได้ง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
“พูดอีกอย่าง วงเวทย์ไม่มีความหมานอะไรเลยจริง ๆ ไม่ว่าจะใช้วงเวทย์ไหนในการควบคุมพลังเวทมนตร์ ก็ไม่มีผลโดยตรงต่อเวทมนตร์”
“จ๊า ทั้งหมด…..”
“ใช่ เรื่องโกหก ทั้งสัญลักษณ์และรูปแบบ ทั้งองค์ประกอบทุกอย่าง การเพิ่มคำอธิบายแบบนั้นทำให้ดูน่าเชื่อถือ แต่แก่นแท้ของวงเวทย์เวทมนตร์ไม่ได้อยู่ตรงนั้น”
รูนไฮม์ซังบอกว่าจินตนาการคือ กุญแจสู่เวทมนตร์ และวงเวทย์เหล่านี้เป็นเครื่องมือช่วยในการจินตนาการ หากทำตามคีย์เวิร์ดที่ตั้งไว้แล้วที่เหลือก็ง่าย ยิ่งฟังเสียงของรูนไฮม์ซังยิ่งยืนยันความคิดของตัวเองทีละเรื่องทีละเรื่อง
“แต่ทว่าการศึกษาทำให้คนคิดว่าเป็นจริง แน่นอนว่าคนที่ได้เรียนมาแล้วย่อมคิดว่านั่นคือความจริง ความรู้สึกศรัทธาเหล่านี้ทำให้การใช้เวทมนตร์ที่ผ่านความเชื่ออย่างปักใจช่วยทำให้จินตนาการแข็งแกร่งขึ้น ผลที่ตามมาคือการช่วยกระตุ้นเวทมนตร์”
“เชื่ออย่างปักใจ”
ฉันเคยได้ยินเรื่องราวเหล่านี้ในชาติก่อน ค่อนข้างมั่นใจว่านั่นคือสิ่งที่เรียกว่ายาหลอก เป็นของที่ไม่มีผลจริง ๆ แต่ถูกทำให้ดูเหมือนว่าได้ผลด้วยการชี้นำ ว่ากันว่าเอฟเฟกต์ของปรากฏการณ์ ปรากฏออกมาจริง ๆ การรับรู้และจัดการพลังเวทมนตร์ที่มองเห็นภาพในสมอง สิ่งนี้มีผลอย่างมาก
“หนังสือต้องห้ามของวัง…..มีห้องที่มีหนังสือประวัติศาสตร์และบันทึกที่ราชวงศ์เท่านั้นที่สามารถอ่านได้ ฉันอ่านมาจากที่นั่น เมื่อหลายร้อยปีก่อนพระราชาในขณะนั้นได้ทรงคิดสิ่งนี้ขึ้นมาและนำไปบังคับใช้ ตั้งแต่นั้นพระองค์ก็ประทับราชอาณาจักรเอาไว้โดยอิทธิพลและการมีอยู่ของวงเวทย์คือความแท้จริง”
“โฮฮ……..”
ยังไงดี ช่างเป็นเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่ล่ะมั้ง ผ่านมาหลายร้อยปีแล้วที่พระองค์ได้ชี้แนะเรื่องนี้แก่ผู้คนในราชอาณาจักรซ้ำแล้วซ้ำเล่ายกเว้นคนในราชวงศ์ ผลลัพธ์เป็นยังไง ก็อย่างที่เห็นทุกคนเชื่อในวงเวทย์อย่างสมบูรณ์ ไม่สิ สามารถพูดได้ว่าการคงอยู่คือความจริง เพราะมีประสิทธิภาพใช้งานได้จริง ดังนั้นทุกคนจึงเชื่อ หากคุณโกหกทับซ้อนได้มากพอเรื่องก็จะกลายเป็นความจริง ฉันรู้สึกเหมือนได้เห็นพลังของเวลา
“ดังนั้น วงเวทย์เวทมนตร์จึงดูไม่สมเหตุสมผลเลย เธอสามารถใช้เวทมนตร์ได้โดยไม่ต้องมีวงเวทย์ แน่นอน เธอต้องรู้อยู่แล้วจริงไหม สตรีศักดิ์สิทธิ์?”
“อืม ……อืม?”
เพราะการพูดคุยระหว่างพวกเรา รูนไฮม์ซังยิ้มยกมุมปากขึ้น อ้า แน่นอนการเอาเรื่องภายในไปบอกผู้อื่นย่อมเป็นความไม่ระวัง ดังนั้นถึงได้กำหนดให้เป็นหนังสือต้องห้าม ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหากข้อเท็จจริงดังกล่าวแพร่กระจายไปทั่วโลกจะทำให้เกิดความสับสนมากขนาดไหน แน่นอน ฉันอาจถูกรูนไฮม์ซังลงด้วยตัวเองด้วยซ้ำ เธอบอกสิ่งนี้กับฉัน เพราะเธออาจเชื่อใจฉันในฐานะเพื่อนจริง ๆ ฉันไม่สามารถทำอะไรที่เหมือนกับการหักหลังเธอได้
……และเป็นการพูดคุยที่ดี แต่เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน เมื่อกี้รูนไฮม์ซังไม่ได้พูดคำอะไรแปลก ๆ ออกมาสินะ ถ้าหูของฉันไม่แปลกไปเองอยู่แล้ว
“…….ขอโทษ ฉันคิดว่าเป็นการเสียมารยาทเล็กน้อย แต่ฉันให้สเตลล่ารวบรวมข้อมูลของเธอมา แล้วก็มีข่าวลือที่แพร่กระจายอยู่ในหมู่ประชาชนทั่วไป เป็นเธอสินะ?”
“เอ๊ะ เอ๊ะ”
“ผมสีเงิน สาวน้อยผู้สูงศักดิ์ จะพูดว่าไม่ใช่ก็คงเป็นไปไม่ได้สินะ?”
“……กู๊”
ไม่มีเสียงหลุดออกมา ไม่สิ ออกอยู่แต่ไม่เป็นภาษา เมื่อพูดถึงผมสีเงินก็แทบจะเป็นการเฉพาะเจาะจงตั้งแต่แรก ฉันไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังเป็นพิเศษ แต่เป็นเรื่องยากที่จะบอกว่าตัวเองเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการทำตัวแบบนั้นจะทำให้เกิดข่าวลือตามมา แต่อันที่จริงนั่นเป็นแค่การกระทำที่เอาแต่ใจของฉันเอง
การที่เธอค้นหาข้อมูลของฉัน ฉันก็ไม่ได้รู้สึกรังเกียจอะไรเป็นพิเศษ เพราะฉันเองเมื่อไม่นานมานี้ ฉันก็มีความคิดอยากรู้มากมายที่จะพยายามค้นหาอดีตของรูนไฮม์ซัง พวกเรามีสถานะเท่าเทียมกันในเรื่องนี้ แต่ทว่าฉันไม่อยากให้เธอรู้ข่าวลือนี้ถ้าเป็นไปได้ การถูกเพื่อนเรียกแบบนั้นจากข่าวลือ น่าอายออก
“ม๊า แต่ฉันก็ไม่ได้ตรวจสอบจริง ๆ จัง ๆ หรอกนะว่าเกิดอะไรขึ้น”
“ขะ ขอบกุณ”
“เน๊ะ ท่านสตรีศักดิ์สิทธิ์?”
“อูออออออออ”
เธอมองมาที่ฉันด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้มมีเลศนัยและซุกซน ร้อน ฉันก้มหน้าเพื่อซ่อนใบหน้าที่มั่นใจว่าต้องกลายเป็นสีแดงสด อะฮ่าๆๆ จู่รูนไฮม์ซังก็หัวเราะอย่างเป็นธรรมชาติขณะที่จ้องมาที่ฉัน
“ถึงฉันจะไม่รู้ว่าทำไมถึงถูกเรียกแบบนั้นก็เถอะน๊า”
“เอ๊ะ”
“…..ฮะ!? มะ ไม่มี ไม่มีอะไรทั้งนั้น ฉันไม่ได้พูดอะไรเลยน๊า!”
“ก่ะ กะ?”
“ใช่ โฮร๊า จะถึงเวลาเข้าเรียนแล้ว”
รูนไฮม์ซังพูดเร่ง ฉันจัดท่าทางของตัวเองใหม่ทันทีระหว่างที่กำลังกังวลเล็กน้อยเกี่ยวกับสิ่งที่ฉันบ่นพึมพำคนเดียว ดูเหมือนว่าจะผ่านไปเกือบยี่สิบนาทีแล้ว อย่างที่เธอพูด ถึงเวลาที่เพื่อนร่วมชั้นคนอื่น ๆ จะเริ่มเข้ามาในห้องเรียนแล้ว
เมื่อสังเกตเห็นว่าการรีบจัดท่าทางร่างกายทำให้ขาของพวกเราแนบชิดกัน แก้มของฉันก็ร้อนขึ้นอีกครั้งเนื่องจากความใกล้ชิดของระยะทางนั้น ทันใดนั้นฉันก็คิดถึงคู่หูของฉัน
“ยังไงก็วันนี้ก็ด้วย”
“ขอบคุณสำหรับความเหนื่อยยากเจ้าค่ะ เจ้าฟ้าหญิง”
“หึ”
ฉันปล่อยตัวในห้องพักที่ถูกมอบให้กับราชวงศ์ที่อยู่บนชั้นบนสุดของหอพัก ถอดชุดหนา ๆ ออกแล้วโยนให้สเตลล่า ฉันล้มตัวลงนอนในขณะที่เห็นรอยพับของชุดเดรสเข้ามาอยู่ที่หางตา
“ไม่งามเลยเจ้าค่ะ รูนไฮม์ซามะ”
“ฮ๊า ค๊า ค๊า”
ฉันหลับตาสักครู่เพื่อบำบัดความเหนื่อยล้าระหว่างปิดชุดเดรสและพูดกับสเตลล่าลวก ๆ เฉพาะเวลานี้เมื่อถอดเสื้อผ้าแล้วนอนลงบนเตียง ฉันไม่ใช่เจ้าหญิง แต่เป็นแค่รูนไฮม์ สเตลล่าเข้าใจดี เธอจึงเรียกฉันว่ารูนไฮม์ซามะแทนที่จะเป็นเจ้าฟ้าหญิง ฉันปลุกร่างกายตัวเองจากความขี้เกียจ และสูดลมหายใจเข้า และคำพูดต่อไปที่ออกมาทำให้สเตลล่าหยุดทันที
“แล้ว เป็นยังไงบ้าง?”
“…..เป็นไปตามความกังวลใจของรูนไฮม์ซามะ เจ้าค่ะ”
“….งั้นเหรอ”
ท้ายที่สุด ฉันไหล่ตกยอมจำนนต่อรายงานที่ฉันไม่อยากได้ยิน ม๊า ไม่น่าแปลกใจ ด้วยอายุที่ยังน้อย เธอก็ถูกจัดกลุ่มให้อยู่คลาสไอริส และผมสีเงินของเธอซึ่งชวนให้นึกถึงสตรีศักดิ์สิทธิ์ มีรูปลักษณ์ที่งดงามที่ไม่แพ้ใคร จนบอกเลยว่าน่าเหลือเชื่อ นอกจากนี้ถ้าเธอถือครองเวทมนตร์แห่งการสืบทอดอีก ไม่ต้องคิดก็สามารถเข้าใจได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น ยังไงก็ตาม
“งี่เง่า”
จริงเลย ๆ งี่เง่าจริง ๆ ขุนนางของประเทศนี้จะเน่าเฟะไปไหนกัน หากพ่อแม่และคนรอบข้างทำเช่นนั้นก็จะถ่ายทอดสู่ลูกเป็นธรรมดา ประเพณีอันชั่วร้ายของขุนนางแห่งราชอาณาจักร นั่นคือ “คว่ำบาตร”
“…..――――ความริษยา อะไรน่ะ”
ใช่ การคว่ำบาตรจากความริษยาใน พรสวรรค์ รูปลักษณ์ และความประพฤติไร้ที่ติของเด็กคนนั้น ราวกับว่าเธอได้รับพรทั้งหมดจากพระเจ้าของอริซ ทำให้เกิดความริษยาจำนวนมาก และคงเป็นเรื่องโกหกหากจะบอกว่าฉันไม่มีความรู้สึกแบบนั้นเลย แต่ทว่าฉันไม่ได้อ่อนแอพอที่จะตั้งกลุ่มและทำการคว่ำบาตรแบบนั้น ทั้งเพราะความภูมิใจของการเป็นราชวงศ์ และเพราะเธอคือเพื่อนคนเดียว
จนถึงตอนนี้ยังพอที่จะหลีกเลี่ยงได้ แต่ในชั้นเรียนวันนี้ เห็นได้ชัดว่าเธอมีเวทมนตร์แห่งการสืบทอด ไม่มีเหตุผลที่ความอิจฉาริษยาของผู้ที่เป็น “ขุนนางแห่งราชอาณาจักร” ที่แท้จริงจะไม่ระเบิดออกมา ข้อมูลที่สเตลล่าเก็บรวบรวมมาจากข้ารับใช้คนอื่น ข่าวลือส่วนใหญ่มากจากข่าวลือในห้องอาหาร ก็แสดงว่า ในหมู่ขุนนางได้มีการรวมตัวกันด้วยความรู้สึกชั่วร้ายที่อยากขับไล่อริซออกไป
ฉันมีโล่ที่เรียกว่าเจ้าฟ้าหญิงอยู่ แต่ทว่าอริซไม่มี
“ฉันคนเดียวมีขีดจำกัด”
“กำลังมองหาผู้ร่วมมือรึเจ้าคะ?”
“เพราะไม่มีฉันถึงต้องตื่นเช้าทุกวัน แต่ฉันก็ไม่ได้เดือดร้อนหรอกนะ”
“….นั้นสินะเจ้าคะ”
ฉันกังวลเสมอว่าจะมีกระแสเกิดขึ้น ตั้งแต่แรกพอกับเธอ ฉันก็รู้ได้ทันทีว่าเธอจะเป็นเป้าหมายของการริษยาแล้วพาลของคนอื่น ๆ ถ้านี่เป็นเพียงเพื่อนร่วมชั้นคนอื่น ฉันคงแสร้งทำเป็นไม่รู้แม้ว่าฉันจะรู้สึกรังเกียจก็ตาม แม้จะเป็นเจ้าหญิงที่มีตำแหน่ง แต่ท้ายที่สุดยังไงก็ไม่สามารถต้านทานพลังของจำนวนได้ สุดท้ายฉันก็คงทนไม่ได้ที่จะยุ่งเกี่ยว
――――แต่เธอเป็นเพื่อนของฉัน เป็นเพื่อนที่สำคัญเพียงคนเดียวที่ได้มีเป็นครั้งแรก เช่นเดียวกับฉัน ตอนที่ฉันยังเด็ก ฉันมีพรสวรรค์ที่ถูกเรียกได้ว่าเป็นเด็กอัจฉริยะ ดังนั้นฉันจึงเป็นคนเดียวที่เข้าใจและสามารถแบ่งปันความเหงาและความกังวลของเธอได้ ฉันไม่สามารถปล่อยให้ถูกทำลายได้ ฉันไม่อยากเห็นหน้าเธอร้องไห้
“สำหรับตอนนี้ ฉันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเฝ้าดูอยู่ใกล้ ๆ”
ฉันไม่ได้ทำอะไรมาก ทุกเช้า หลังเข้าห้องเรียนก่อนที่คลาสจะเริ่ม ช่วงเวลาที่ไม่มีสายตาของคุณครูและผู้ติดตาม ไม่จำเป็นต้องคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับอลิซซึ่งไม่มีพันธมิตรในสถานที่ดังกล่าว ดังนั้น ฉันจึงพยายามไปที่ห้องเรียนให้เร็วกว่าคนอื่น ให้เธอมานั่งข้าง ๆ เพื่อที่ฉันจะสามารถจับตามองเธอได้ ฉันแสดงให้เห็นว่าชอบอริซเป็นที่ประจักษ์แก่ทุกคน และอย่างที่คาดไว้ พวกเขาไม่ได้โง่พอที่จะเปิดเผยความเป็นปรปักษ์ต่อของรักของเจ้าหญิง เป็นการแสดงออกอย่างเจ้าเล่ห์แต่มีประสิทธิภาพในการขับไล่ ทำให้การกลั่นแกล้งใช้ไม่ได้ทางอ้อมไม่ใช่โดยตรง
……ขุนนางคืออะไร? มีค่าตรงไหน?
“ฉันต้องไม่เปลี่ยนอย่างแน่นอน”
“…….รูนไฮม์ซามะ”
ทั้งในฐานะเจ้าหญิงแห่งรูเนเรีย และในฐานะเพื่อนของเธอ รูนไฮม์ ฉันไม่สามารถปิดตากับสถานการณ์นี้ได้ แน่นอนว่าฉันรู้ว่ามีขีดจำกัดในสิ่งที่ฉันทำได้ ฉันยังมีพลังไม่มากพอ แต่ว่า
แต่ถึงกระนั้น ฉันจะปกป้องเพื่อนเพียงคนเดียวของฉัน
――――ปกป้องมือเล็ก ๆ นั้นที่จับมือของ “ฉัน” ไม่ใช่ “เจ้าหญิง”
MANGA DISCUSSION