ตอนที่ 5 เพื่อน?
“ตื่นเต้น ตื่นเต้น”
“รีบร้อนเกินไปจะอันตรายนะคะ อริซซามะ”
วันรุ่งขึ้นหลังจากการสอบสิ้นสุดลง วันประกาศผล ในตอนเช้า ฉันมุ่งหน้าไปยังอาคารกลางที่ดูเหมือนจะถูกเรียกว่า”อาคารเรียน”ทั้งๆแบบนั้นพร้อมกับเบลล์ซังและมิร่าซังเพื่อตรวจผลสอบที่ประกาศในห้องเรียนที่ใช้เป็นสถานที่สอบเมื่อวานนี้
เบลล์ซังเข้ามาตักเตือนฉันที่กำลังเดินอย่างรีบร้อนด้วยความรู้สึกตื่นเต้นจนฉันเดินช้าลงเล็กน้อย พวกเราเดินผ่านจัตุรัสน้ำพุ และลอดผ่านประตูที่เปิดอยู่เข้าไปในอาคารเรียน แม้จะพึ่งเป็นเวลาเปิดอาคารเรียนพอดี แต่กะไว้แล้ว ทางเดินของอาคารเรียนเต็มไปด้วยนักเรียนใหม่รุ่นเดียวกันกับฉัน เสียงกรี๊ดและเสียงเชียร์ดังก้องอยู่ตลอดเวลาจากทิศทางของห้องเรียน ถ้าเป็นไปได้ก็ช่วยให้กำลังใจฉันอีกคนด้วยเถอะนะ
“ตรงเวลา อยู่ตรงนั้นหรือเปล่า”
“ถึงผลการสอบรอบนี้จะต่ำ แต่ก็ไม่ต้องคิดมากหรอกนะคะ เพราะเป็นเรื่องที่จะได้เรียนรู้ต่อจากนี้ นอกจากนี้ ถ้าเป็นฮิเมะ ข้ามั่นใจว่า……ไม่มีอะไรค่ะ”
ในตอนนี้ฉันกำลังเดินตามมิร่าซังอยู่ ถ้าฉันอยู่คนเดียว ฉันคงเหมือนโดนลากไปตามทางโดยที่ขยับตัวไม่ได้ เพราะความแตกต่างด้านร่างกายกับเด็กคนอื่นๆ มิร่าซังเดินนำอย่างใจเย็น แต่ไม่ละเลยที่จะเฝ้าระวังโดยรอบนั้นสามารถอ่านได้จากลักษณะของการให้ความสนใจกับสิ่งรอบตัว ฉันสงสัยว่าอัศวินผู้พิทักษ์ทั้งหมดเป็นแบบนี้หรือเปล่า แต่ยังไงก็ตาม แบบนี้ก็ทำให้ดูน่าเชื่อถือ
ในขณะที่เพิ่มความไว้วางใจให้มิร่าซังในฐานะผู้คุ้มกันในที่สุดเธอก็พามาถึงหน้าห้องเรียน ทั้งภายในและภายนอกเต็มไปด้วยเพื่อนร่วมรุ่นที่เข้ามาตรวจผลสอบ ฉันมองไม่เห็นด้านในของห้องเรียนเนื่องจากความสูงอันน้อยนิดของฉัน เมื่อฉันส่งสายตตาขอความช่วยเหลือ เบลล์ซังก็เข้ามาอุ้มฉันขึ้น มุมมองที่เข้ามาในสายตาสูงขึ้นมาก จากนั้นเบลล์ซังก็ชี้ไปที่หลังห้องเรียน
“ดูเหมือนว่าต้องไปสอบถามที่นั้นค่ะ”
เมื่อวานนี้เป็นเก้าอี้สำหรับผู้ติดตามตั้งอยู่ ส่วนวันนี้เป็นโต๊ะทำงานตัวเล็กๆตั้งเรียนงกันแทน มีผู้ใหญ่หลายคนยืนอยู่ข้างๆโต๊ะเด็กๆทุกคนต่างกรูเข้าไปมุง น่าจะเป็นเหล่าคุณครูของที่นี่ เด็กบางคนกำลังคอตก บางคนก็คุยกับคนอื่นๆด้วยรอยยิ้ม
อย่างที่คาดไว้ สถานการณ์ดูวุ่นวายจนสงสัยว่าจะเรียกว่ายุ่งเหยิงแทนดีไหม แต่ในท้ายที่สุดบางสิ่งบางอย่างที่ดูเหมือนจะเป็น”แถว”ก็เกิดขึ้นเองอย่างเป็นธรรมชาติโดยสมบูรณ์ ฉันรีบไปต่อแถวที่ด้านหลังของเด็กหนุ่มก่อนถึงประตูห้องเรียน และทันทีหลังจากนั้นด้านหลังของพวกเราก็มีแถวยาวเหยียด เพื่อนร่วมรุ่นส่วนใหญ่ที่เหลือไม่ได้พยายามเบียดเสียดถล่มเข้ามาทันทีที่อาคารเรียนเปิด ฉันมั่นใจว่าพวกเขาคงมีความมั่นใจในแบบของตัวเอง ต่างจากฉันที่ตื่นเร็วกว่าปกติหนึ่งชั่วโมง เนื่องจากความวิตกกังวล
“เอาล่ะ เอาล่ะ……! สำเร็จแล้ว「 ลิเลี่ยม/ลิลลี่(リリウム)」ล่ะ!”
(リリウムLilium ชื่อวิทยาศาสตร์ของดอกลิลลี่)
“บ้าที่สุด แก้อะไรไม่ได้เลยเรอะ………….”
ที่ด้านหน้าสุดของแถว เด็กชายหญิงสองคนแสดงการตอบสนองในแบบที่แตกต่างกันหลังได้รับผลสอบไปสดๆร้อนๆ ความรู้สึกของฉันเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาระหว่างความคาดหวังและความวิตกกังวล และหลังรออีกเพียงไม่กี่นาที ในสุดฉันก็มาถึงที่หัวแถว
“ฟู๊ว…………”
“ไม่เป็นไรใช่ไหมคะ?”
ฉันหายใจเข้าลึก ในขณะที่หันกลับไปตอบเบลล์ซังด้วยสายตาว่าไม่เป็นไรที่ทำให้เธอยิ้มได้
ตามคำอธิบายล่วงหน้าในพิธีเปิดภาคการศึกษา แต่ล่ะคลาสจะแบ่งออกเป็น “ไอริส”、”ลิเลียม”、”ก็อกลิโก้ (ป๊อปปี้แดงコクリコ Coquelicots ชื่อฝรั่งเศส)” ตามลำดับความยากของเนื้อหา ชื่อทั้งหมดนี้อาจจะนำมาจากชื่อของดอกไม้
ที่คลาสป๊อปปี้แดงจะมีเนื้อหาความรู้ขั้นต่ำตามที่โรงเรียนกำหนด ที่คลาสลิเลียมจะได้เรียนเนื้อหาที่กว้างกว่าคลาสก่อนนั้นเล็กน้อย ส่วนไอริสดูเหมือนว่าจะได้เรียนเรื่องเฉพาะทางที่ค่อนข้างเกี่ยวข้องโดยตรงกับกิจการของชาติ เป็นต้น
สำหรับฉัน ลิเลียมเป็นตัวเลือกแรก แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่ในอาณาเขต แต่ฉันก็มีความคิดที่จะปฏิรูปสภาพแวดล้อมของประชาชนทั่วไปอยู่ หากอยากให้ออกมาสมบูรณ์แบบก็ควรจะเป็นคลาสไอริส แต่ที่ผ่านมา ยิ่งหวังสูงยิ่งเจ็บ ยังไงก็ตามป๊อปปี้แดงที่ได้เรียนแต่พื้นฐานขั้นต่ำจึงไม่อยู่ในความคิดของฉัน ฉันจึงคิดว่าลิเลียมมีความสมดุลที่สุดแล้วระหว่างเป้าหมายและขีดจำกัดของฉัน
ฉันไม่รู้ว่าแต่ละคลาสใช้มาตรฐสนคะแนนสอบแบบไหน แต่ฉันได้แต่หวังว่าฉันจะสามารถเข้าเรียนคลาสลิเลียมได้ แม้ว่าจะกรอกคำตอบทุกข้อจนครบ แต่ก็เป็นคนละเรื่องกับการตอบถูก
“คนต่อไป เชิญตรงนี้ค่ะ!”
เด็กหนุ่มตรงหน้าเดินออกไปจากประตูด้วยความพึงพอใจ หญิงสาวที่ทำหน้าที่ประกาศผลสอบมองมาที่ฉันและเรียกให้เข้าไป ฉันเดินเข้าไปที่โต๊ะทำงานของเธอในขณะที่อุ้มคู่หูไว้แนบอก หัวใจของฉันเต้นแรงมากจนฉันกังวลว่าคนรอบข้างจะได้ยินเสียง
เบลล์ซังและมิร่าซังหยุดอยู่ข้างหลังฉันหนึ่งก้าว และคอยเฝ้ามอง
“ขอทราบชื่อของคุณได้หรือไม่ค่ะ?”
“อะ…….อริส、ฟอน、แฟร์มิรุ、ก่ะ”
“ขอบพระคุณค่ะ กรุณารอสักครู่นะคะ”
เธอพูดอย่างนั้นและเริ่มพลิกดูกองกระดาษบนโต๊ะทำงานของเธอ เห็นได้ชัดว่าผลสอบไม่ได้สรุปไว้ในแผ่นงานแผ่นเดียว ดูเหมือนพวกเขาจัดทำขึ้นมาเป็นแบบรายบุคคล ฉันแน่ใจว่าจะต้องมีผลการสอบเขียนเอาไว้อยู่ด้วย
“อะ แผ่นนี้สินะ มะ…… !?”
“เอ๊ะ”
กระดานแผ่นหนึ่งถูกดึงออกมาจากกองพร้อมเสียงพึมพำ เมื่อเธอมองไปที่กระดาษ เธอก็เอามือปิดปากด้วยท่าทางสง่างาม แสดงท่าทางประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด
……เกิดอะไรขึ้นกันน่ะ คะแนนแย่มากเลยเหรอ โปรดยกโทษให้ฉันด้วย ปฏิกิริยาดังกล่าวทำให้เกิดความคาดหวังและความกังวลในเวลาเดียวกัน
“คุณคืออริซ・ฟอน・แฟร์มีลจริงๆหรือค่ะ?”
“อะ อืม…….”
เมื่อโดนเธอถามด้วยน้ำเสียงเหมือนไม่เชื่อสายตา ฉันก็พยักหน้าให้แม้ว่าจะกลัวเธอเล็กน้อย เบลล์ซังและมิร่าซังที่อยู่ข้างหลังเมื่อได้ยินแบบนั้นก็เริ่มพึมพำไม่พอใจที่ฉันเหมือนถูกหยาบคายใส่ แน่นอนว่ามีความตำหนิอยู่ในสายตาของเบลล์ซัง
เมื่อมองกลับไปที่เธอ เธอหายใจเข้าลึกๆ ราวกับว่าเธอกำลังตื่นเต้น………..
“ยินดีด้วยนะคะ ――――「ไอริส」ค่ะ!”
――――ทันใดนั้น บรรยากาศโดยรอบก็เยือกแข็งทันที
เสียงที่ดังโวกเวกมาจนถึงเมื่อกี้เงียบหายไปราวกับโกหก และฉันรู้สึกได้ทันทีว่าทุกคนจ้องมองมาที่ฉัน
ยังไงก็ตามฉันเองก็แข็งทื่อเหมือนกัน บางทีฉันอาจจะเป็นคนที่ตกใจมากกว่าใครๆก็ได้ ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้นกลางความเงียบ
“……….เอ๊!? “
ในเวลาเดียวกันก็เกิดเสียงโวกเวกโวยวายเกิดขึ้นทุกที่ที่วุ่นวายยิ่งกว่าก่อนที่จะเกิดความเงียบ ฉันมั่นใจว่าหัวข้อของเสียงทั้งหมดนั่นคือเรื่องของฉัน ซึ่งก็ไม่แปลก เพราะในสายตาคนอื่นฉันเป็นเด็กตัวเล็กยิ่งกว่าพวกเขา เป็นเด็กที่ควรจะต้องถูกส่งไปชั้นเด็กเล็กด้วยซ้ำ แต่กลับได้เข้าไปอยู่ในคลาส”ไอริส”ที่เป็นคลาสสูงสุด เป็นธรรมดาที่จะเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์
หญิงสาวที่เป็นดูแลท่าทางเหมือนกำลังสับสน หรือกำลังรู้สึกรับผิดชอบต่อการที่ตัวเองพูดออกไปด้วยเสียงที่ดังอย่างไม่ได้ตั้งใจ หลังพูดเสร็จเธอก็รีบยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งกับผลสอบให้ฉัน จากนั้นก็ยกกล่องใบหนึ่งจากกองที่วางซ้อนกันอยู่ข้างๆมาให้
“นี่คือชุดหนังสือเรียนและสิ่งจำเป็นอื่นๆสำหรับคลาสไอริสค่ะ หากทำหายหรือฉึกขาด โปรดแจ้งคุณครูที่รับผิดชอบเพื่อขอรับใหม่ได้ค่ะ แน่นอนว่าค่าใช้จ่ายจะถูกบันทึกไว้ในค่าเล่าเรียนด้วย ดังนั้นโปรดใช้อย่างระมัดระวังด้วยนะคะ”
มิร่าซังเป็นคนรับมาถือแทนฉัน เพราะกล่องดูท่าทางหนักมาก
อะ ไอริส….ไอริส? ฉันเหรอ? ทำไม?
“สมกับที่คาดหวังเลยค่ะ ฮิเมะ! ข้าคิดแล้วจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน!!”
“อ้า อริซซามะ………. ยินดีด้วยนะคะ…… !”
ฉันยังตัวแข็งทื่อในตอนที่เบลล์ซังกอดฉัน
ฉันที่ยังไม่สามารถทำความเข้าใจได้ เดินออกจากห้องเรียนด้วยท่าทางราวกับตุ๊กตาไขลาน ดูเหมือนเรื่องราวจะถูกถ่ายทอดไปยังกลุ่มนักเรียนรุ่นเดียวกันที่อยู่ข้างนอกเรียบร้อยแล้ว ทำให้ฉันตกเป็นที่สนใจเป็นอย่างมาก ฉันกอดคู่หูแน่นขึ้นในขณะที่รีบเดินผ่านทางเดิน
“ไอริส…….”
“อาร๊า”
เกือบจะเป็นจังหวะเดียวกับที่ฉันพึมพำ ฉันก็ได้ยินเสียงที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิ เจ้าหญิงล่ะ
“จ้าวหญิง”
“เอ้ โกคิเก็นโย”
เจ้าหญิงหยุดยืน กล่าวอย่างอารมณ์ ก่อนห้ามฉันด้วยมือ ในตอนที่ฉันพยายามจะคุกเข่าด้วยความรีบร้อน เบลล์ซังและมิร่าซังที่ก้มลงไปได้ครึ่งเอวก็ถูกห้ามไว้เช่นกัน ดังนั้นเมื่อทั้งสองคนลุกขึ้น พวกเธอก็ก้มหัวเบาๆแทน ก่อนหันไปหาหญิงรับใช้จากนั้นก็ยิ้มให้กันและกัน เห็นได้ชัดว่าพวกเธอมีการพูดคุยทำความรู้จักกันหลายครั้งแล้ว
“ได้ยินผลสอบแล้วหรือยังล่ะ”
“อืม…..ไม่ใช่ ก่ะ ได้ยินแล้วกะ”
“แล้วผลเป็นยังไง?”
แววตาเต็มไปด้วยความคาดหวัง เอ๊ะโตะ ฉันลังเลที่จะพูด ฉันยังไม่รู้จะอธิบายให้ตัวเองฟังยังไงดีเลย ซึ่งเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เพราะฉันถูกบอกว่าจะได้เข้าไอริสทั้งที่กำลังอยู่ในอารมณ์ที่กำลังภาวณาให้ตัวเองได้เข้าลิเลียมอยู่เลย
“……ไอริส ก่ะ”
ฉันเตรียมพร้อมสำหรับข้อสงสัยและความประหลาดใจที่จะออกมา แต่ว่าสุดท้ายก็เป็นฉันที่กลัวไปเอง ด้วยเหตุผลบางอย่าง เจ้าหญิงพูดออกมาด้วยสีหน้าที่เป็นธรรมชาติ พูดออกมาด้วยความพึ่งพอใจ ในทางกลับกันเป็นฉันเองที่เกือบจะแสดงท่าทางประหลาดใจออกไป
“ฟุมุ เป็นเรื่องที่เหมาะสมแล้ว ถ้าเธอไม่ได้เข้าไอริส ฉันก็สงสัยจริงๆว่าใครจะเข้าไอริสได้ ดีล่ะ ชั้นเรียนส่วนตัวของฉันจะเป็นเช่นไรต่อไปกันน่ะ”
เธอเต็มไปด้วยความมั่นใจ
ดูเหมือนว่าได้อยู่คลาสไอริสอย่างไม่ต้องสงสัย ม๊า แต่ถ้าคิดจากช่องเวลาที่เหลือของการสอบเมื่อวานนี้ ฉันก็คิดว่าเป็นแบบนั้น เธอดูเหมือนจะมีเวลาว่างเหลือเอามากๆ ฉันหมายถึง ทำไมเจ้าหญิงที่ฉลาดกว่าฉันอย่างเห็นได้ชัดจะไม่สามารถเข้าไอริสได้ล่ะ ฉันแทบจะเชื่อหมดใจ
……ถึงอย่างนั้นเธอก็ประเมินฉันเอาไว้สูงมาก เจ้าหญิงดูจะชอบวิธีดึงดันแก้ปัญหาของฉัน ฉันคิดว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีใครคิดวิธีนี้ขึ้นมา แค่ในชาติก่อนของฉันเรียกวิธีนี้ว่า”การกำจัด” วิธีแก้ปัญหาแบบนี้ บางทีอาจจะแค่ยังไม่เป็นที่รู้จักกันในวงกว้างของราชอาณาจักรแห่งนี้
เกี่ยวกับวิธีนี้ฉันค้นพบว่าสามารถใช้ได้ในนาทีสุดท้าย แต่ยังไงก็ตามการที่ฉันคิดว่าวิธีแก้ปัญหานั้นเป็นวิธีการที่ทุกคนรู้อยู่แล้วก็ทำให้เจ้าหญิงที่ประเมินฉันไว้สูง รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย เกือบจะเหมือนกับการชมเชยความสำเร็จที่ไม่มีอยู่จริง
“ฉันไม่ต้องการความถ่อมตัวหรอกนะ เมื่อฉันยอมรับเรื่องนี้แล้ว ก็จงภูมิใจอย่างซื่อตรงซะ?”
“กะ ก่ะ หนูขอบกุณมากๆก่ะ”
แต่ถ้าเธอพูดแบบนี้แล้วก็หมายถึงให้ปิดปากและกล่าวขอบคุณรับคำชมไปซะ ฉันไม่สามารถทำลายความสัมพันธ์นี่ได้ เพราะเธออุตสาพยายามปฏิบัติต่อฉันเป็นอย่างดี ความรู้สึกกลัวครั้งนี้ไม่ใช่ความกลัวที่ความลับจะรั่วไหล เรื่องนั้นแค่พูดว่าเป็นเรื่องที่คิดได้ฟลุ๊คๆแค่นั้นก็น่าจะเพียงพอแล้ว
เจ้าหญิงพ่นลมหายใจอย่างลืมตัวก่อนเปลี่ยนหัวข้อคุย
“…..แล้วมีคนอื่นอยู่ในกลุ่มไอริสอีกไหม?”
เมื่อเจ้าหญิงถามแบบนั้น ฉันก็ค้นหาจากในความทรงจำ
ไม่มี มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งมีความสุขที่ได้อยู่ลิเลียม แต่ฉันไม่ได้ยินคำว่าไอริสเลย ยกเว้นในตอนที่ถึงคิวของตัวฉันเอง เป็นไปได้ว่าฉันไม่ได้ยิน เพราะฉันกำลังรู้สึกประหม่าอยู่ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะวัยของฉัน แต่ถ้ามีไอริสออกก็คงมีเสียงโวกเวกดังขึ้นแล้ว แต่ฉันไม่ได้ยินอะไรแบบนั้นเลย งั้นก็คงจะเป็นแบบนั้น
“ในตอนที่หนูอยู่ไม่ได้ยินเลยก่ะ”
“งั้นเหรอ ม๊า ก็เป็นไปตามที่คาดไว้ ดูเหมือนน่าจะมีแค่ฉันกับเธอแล้วล่ะนะ”
น่าจะ และพยักหน้า ดูเหมือนภายในใจเจ้าหญิงจะตัดสินใจไปแล้วว่าคลาสไอริสทั้งหมดเป็นของเธอ เหล่าข้ารับใช้ก็ดูเหมือนจะไม่เดือดร้อนกับเรื่องนี้ บอกตามตรงว่าการได้เรียนกับเจ้าหญิงด้วยกันแค่สองคนทำให้ฉันรู้สึกอยากได้เวลาพักสักนิด ไม่ใช่ว่าฉันเกลียดเจ้าหญิง แต่เป็นเพราะการถูกบดขยี้ด้วยแรงกดดันต่างหาก
“เธอไม่สงสัยอะไรบ้างเหรอ?”
“เอ๊ะ”
พอคิดดู คำถามคือไม่สงสัยเลยเหรอว่าการจัดกลุ่มคนที่จะเข้าไอริสอาจมาจากความต้องการของเจ้าหญิงเอง สีหน้าเจ้าหญิงดูซุกซน ดูเหมือนฉันจะถูกเย้าแหย่เข้าแล้ว นี่เป็นเรื่องที่ไม่ควรสงสัย
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าฉันไม่ควรตอบ กลับกันฉันตอบกลับไปด้วยคำยกย่องที่ตะกุกตะกัก
“เพราะ น่าเบื่อ มาก……สินะกะ”
ดูเหมือนเจ้าหญิงจะไม่มีอาการอารมณ์เสียต่อคำยกย่องที่ฟังดูเหมือนไม่ให้เกียรติที่อาจจะถูกชี้ให้เห็นว่าเป็นการหมิ่นเกียรติเช่นนี้ และเธอยังดูเหมือนจะตั้งใจฟังฉันที่ทั้งตัวเล็กและพูดงุมงำๆเช่นนี้
บางทีเธออาจจะเป็นคนใจดีอย่างคาดไม่ถึง ไม่ใช่เรื่องที่ผิดอะไร ถ้าจะเข้ามาถามผลลัพธ์หลังการสอบ อาจจะเป็นความรู้สึกห่วงใยที่มีให้กับฉันที่เด็กกว่าคนอื่นๆหนึ่งถึงสองเท่า
“ที่ฉันเห็นคือเวลาที่เหลือเฟือ ฉันสงสัยว่าเธอเองก็กำลังเบื่อเหมือนกัน”
“ชะ เช่นนั้นเหรอก่ะ หนูทำเต็มกำลังแล้ว”
ฉันไม่มีเวลาเหลือเฟืออย่างที่เจ้าหญิงเห็น ฉันไม่มีเวลาเหลือเฟือและเป็นกังวลเรื่องนี้มากจริงๆ นี่ไม่ได้มาจากความถ่อมตัวใดๆแต่เป็นความจริง เห็นไหมว่าไม่มีคำโกหกอยู่ในท่าทางของฉัน เจ้าหญิงพูดกับฉัน ม๊า จะยังไงก็ช่างตัดบทไป ด้วยเหตุผลบางอย่างหญิงข้ารับใช้พึมพำๆวลีต่อไปที่ออกมาไม่ผิดจากที่คาดไว้และยิ้มออกมาราวกับกลืนยาขม และพวกเธอก็โดนเจ้าหญิงจ้องอย่างแรง
เมื่อเธอหันกลับมาก็กระแอมไอเล็กน้อยและเอียงหัวนิดๆ
“ฉันขอกล่าวอีกครั้ง ฝากตัวด้วยนะ เอ๊ะโตะ……อริซ”
“เอ๊ะ”
เรียกชื่องั้นเหรอ ไม่มีทางน้า ไม่ใช่แค่ฉัน แต่เหล่าเด็กเพื่อนร่วมรุ่มที่อยู่ในตำแหน่งที่สามารถได้ยินเสียงสนทนาทั้งหมดต่างก็ตัวแข็งทื่อเช่นกัน
แต่เบลล์ซังและมิร่าซังกลับไม่แปลกใจอะไรเป็นพิเศษ ราวกับว่าจะรู้เรื่องนี้ล่วงหน้าอยู่แล้ว
“…..อริซซามะ”
เสียงกระซิบของเบลล์ซังช่วยดึงสติฉันให้กลับมา วันนี้มีแต่เรื่องให้น่าแปลกใจ
ฉันทำให้เธอต้องรอสองสามวินาทีหรือเปล่า ฉันรีบยื่อมือออกไปจับมือเจ้าหญิงที่ยื่นออกมาให้อีกครั้งหลังจากเมื่อวานอย่างหวาดๆ แต่เธอก็จับเอาไว้แน่น มุมมองของฉันดูเหมือนจะไม่มีอะไรผิดพลาด เจ้าหญิงเองก็ดูโล่งใจ
“ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยเช่นกันก่ะ จ้าวห…….”
“――――รูนไฮม์”
“……ญิง?”
เจ้าหญิงขัดจังหวะฉันด้วยความกระสับกระส่ายในขณะที่เกาแก้มตัวเอง
จากนั้นก็พูดต่อโดยมีความโกรธปนมาครึ่งๆ
“รูนไฮม์ ดีกว่า ไม่จำเป็นต้องเรียกเจ้าหญิงอย่างเป็นทางการทุกครั้ง”
“เอ๊ะ เอ๊ะโตะ……”
“อ้า โม๊ ก็บอกให้เรียกชื่อฉันไงล่ะ!”
“ฮี่…… !?”
ฉันปล่อยให้คู่หูหลุดมืออย่างไม่ได้ตั้งใจจากท่าทีน่ากลัวที่แทบจะเหมือนตะโกนออกมา จากนั้นเจ้าหญิงที่ปรับลมหายใจได้แล้วก็ใช้นิ้วม้วนผมวนๆจนดูยุ่งเล็กน้อย
“นอกเหนือไปจากนี้ ฉันยอมรับในตัวเธอ เพราะเธอจะเป็นเพื่อนร่วมคลาสที่จะเรียนในห้องเดียวกันต่อจากนี้ไป ฉันจึงให้เธอสามารถเรียกชื่อของฉันได้ แค่นั้นแหละ! จงรู้สึกเป็นเกียรติเสียเถอะ!”
“เอ๊ะ อะ กะ ก่ะ!? “
เสียงของฉันก็ดังขึ้นตามแรงผลักดัน นอกจากนี้ยังดูเหมือนจะดึงดูดความสนใจจากรอบข้าง
อยากกลับบ้านเร็วๆจัง………. ด้วยความรู้สึกจริงจังเช่นนั้นในใจ ฉันจึงตัดสินใจรับเกียรตินั้นมาโดยที่ในหัวไม่คิดอะไรเลย
“รุ รูนไฮม์ ซามะ”
“ไม่ต้องมีซามะ”
“รูมไฮม์ซัง”
“…..ม๊า แบบนั้นก็ได้ งั้นไว้เจอกันใหม่”
เจ้าหญิงทิ้งฉันไว้ในสภาพสับสนวุ่นวายและเดินไปที่ห้องเรียนเพื่อหลบหนีอย่างรวดเร็ว เหล่าข้ารับใช้โค้งคำนับให้พวกเราก่อนที่จะรีบตามไป ฉันครุ่นคิดถึงคำพูดของเธอ
“อะเอ๊ะ…..?”
นี่คือ กล่าวอีกนัยหนึ่ง
“ยินดีด้วยนะคะอริซซามะ ได้เพื่อนใหม่แล้วนะคะ?”
“สมเป็นฮิเมะเลยค่ะ เพื่อนคนแรกคือเจ้าหญิง!”
โม๊ นี่เรื่องอะไรกัน เห็นได้ชัดว่าฉันได้รับการยอมรับจากเจ้าหญิง――――รูนไฮม์ซังจนมีตัวตนอยู่ในระดับที่ได้รับ”ไว้เจอกันใหม่”ในช่วงเวลาที่แยกกัน
“เพื่อน……….”
ในคืนนั้น ฉันแน่ใจว่าไม่จำเป็นที่จะต้องบอกเลยว่าเนื้อหาของหนังสือเรียนที่จำเป็นสำหรับชั้นเรียนที่จะเริ่มในวันพรุ่งนี้นั้น ไม่ได้เข้ามาในความคิดของฉันเลย
MANGA DISCUSSION