ตอนที่ 5 เวทมนตร์หลับฝันดี
“อะไรกันคะ อริซซามะ ดิ ดิฉัน………… !”
“ม๊ายเป็นร๊ายหรอก”
ไม่กี่วันหลังจากคืนวันเกิดที่ฉันได้คุยกับคาลเมียร์ ข้าวของเครื่องใช้ของเบลล์ซังก็ถูกนำมาจัดเรียงในห้องของฉันเรื่อยๆ ฉันรู้สึกว่าชีวิตใหม่ที่แตกต่างจากเดิมเล็กน้อยกำลังจะเริ่มขึ้นอีกครั้งแล้ว
อืมอืม ฉันดึงมือและพยักหน้าให้เบลล์ซังอย่างลึกซึ้ง พยายามเบี่ยงเบนความคิดของเธอก่อนที่ความลังเลจะดึงสติของเธอให้กลับมา
“เรื่องนี้น่ะ ไม่ได้นะคะ เรื่องนี้ยังไงก็ไม่เหมาะสมหรอกนะคะ……”
“ดีสิ”
…..ใช่แล้ว ฉันกำลังต่อสู้อย่างเต็มกำลังเพื่อให้เบลล์ซังขึ้นมานอนบนเตียงแทนที่จะนอนพื้น
โชคไม่ดีที่ฉันไม่ได้ไร้ยางอายพอที่จะให้เบลล์ซังนอนบนพื้นแล้วนอนบนเตียงคนเดียว เตียงในห้องนี้ใหญ่พอที่จะให้ผู้ใหญ่สองคนนอนได้พร้อมกัน ฉันต้องการให้เบลล์ซังนอนบนเตียงและฉันนอนบนพื้น
แต่แน่นอนมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ด้วยสถานะของฉันที่อยู่สูงกว่า ดังนั้นจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากขอร้องแบบเด็กๆให้มานอนด้วยกัน โดยการใช้ข้ออ้างที่ว่ายังรู้สึกสูญเสียบางสิ่งที่สำคัญไปอยู่
มันได้ผล ฉันสามารถพาเธอมานั่งที่ขอบเตียงได้ แต่ก็ไม่มีอะไรก้าวหน้าไปมากกว่านั้น
“ทำไม……..?”
“เริ่องนั้นแน่นอนอยู่แล้วว่าเพราะดิฉันเป็นเพียงข้ารับใช้……”
แม้ว่าฉันจะเข้าใจดีว่ามันเป็นเรื่องของสถานะทางสังคม แต่มันเป็นเรื่องน่าเศร้าหากถูกปฏิเสธอย่างหัวชนฝาแบบนี้ โดยเฉพาะถ้าอีกฝ่ายเป็นเบลล์ซัง
“อู…………”
“อะ อริซซามะ!? ได้โปรดอย่าทำหน้าหดหู่เช่นนั้นเลยนะคะ…..อู”
พวกเราทั้งสองคนกำลังพูดด้วยใบหน้ากระวนกระวายใจ มันต้องเป็นท่าทาง้ที่เห็นแล้วดูตลกแน่ๆ
ยังไงก็ตามตอนนี้สำหรับไม่ใช่เวลามาหัวเราะ เพราะถ้ามาหยุดตอนนี้ เบลล์ซังก็จะต้องนอนบนพื้นตลอดไป ถ้าเกิดเป็นแบบนั้น ฉันคิดว่าตัวเองคงนอนไม่หลับแน่ๆ
ตอนนี้ เพื่อการนอนหลับอย่างสงบสุขสบายใจ ฉันไม่สามารถประนีประนอมได้
“เบลล์”
“อริซซามะ……แต่ว่า”
ในที่สุดฉันก็ตัดสินใจที่จะไพ่ตายใบสุดท้าย
ฉันเงยหน้าขึ้นมองเบลล์ซังอย่างรวดเร็วด้วยดวงตาที่เปียกชื้น
“กุ…… !?”
เบลล์ซังเบิกตากว้างและคร่ำครวญออกมา นี่แหละได้ล่ะ โจมตีแบบนี่ต่อเนื่อง…… !
ฉันแสดงสีหน้าแบบเดิมต่อไป ทั้งความภาคภูมิใจเล็ก ๆ ที่หลงเหลืออยู่ไปแล้วจับมือของเธอพร้อมเสียงอ้อนเหมือนลูกแมวตัวน้อย โจมตีด้วยท่าทางที่ใครเห็นก็อดใจไม่ได้จากข้างล่าง
ใช้ประโยชน์จากการที่ยังมีร่างกายแบบเด็กให้ดีที่สุด ใช้ท่าทางที่ร้ายที่สุดเพื่อเรียกร้องความอ่อนโยนของเบลล์ซัง
ใช่แล้ว ดาบในตำนานของเหล่าคนอ่อนแอที่ใช้กันทุกโลก ――――〝การร้องไห้〟 ไงล่ะ
ฉันเผลอเหยียบดึงชายกระโปรงจนเกิดเสียงผ้าไหล สายคล้องไหล่ของชุดเดรสวันพีชบางๆเลื่อนหลุดลงมาจนเปิดเผยอวดโฉมไหล่ขวาขาวๆ
แต่ว่าตอนนี้ฉันไม่สามารถเปลี่ยนท่าทางของตัวเองได้ ในขณะที่อากาศเย็นๆสัมผัสเข้ากับไหล่ขาว ฉันก็ยังคงร้องไห้ต่อไป
“ขอร้อง…..”
“――――っ!?”
…..มีการตัดสินใจแล้ว
ฉันมั่นใจจากที่เป็นท่าทางของเบลล์ซังแข็งขึ้น
“อะ……….อริซ……..ซะ………….”
ยังไงก็ตามสัญชาตญาณของฉันกลับบอกตรงกันข้าม จู่ๆเบลล์ซังก็ยืนขึ้นด้วยเหตุผลบางอย่าง
“อะเอ๊ะ”
…..ฉันคิดว่ามันได้ผลแท้ๆ แต่แบบนี้ล้มเหลวรึเปล่านะ?
ทันใดนั้นเบลล์ซังก็สูดหายใจลึกๆ หันหน้าเข้าหากำแพงก่อนโน้มตัวมาข้างหลัง……..
“เบลล์……..?”
แล้วเอาหน้าผากกระแทกกำแพงอย่างขะมักเขม้น
“เบลล์!?”
“ดิฉันคือเมด ดิฉันคือเมด ดิฉันคื…….”
แผ่นหลังของเบลล์ซังที่เอาหน้าผากกระแทกกำแพงอย่างไม่เป็นจังหวะพร้อมบ่นพึมพำบางอย่างดูค่อนข้างน่าขนลุก จนทำให้ฉันสับสนพูดอะไรไม่ออกเลยแม้แต่น้อย
แต่ยังไงก็ตามฉันต้องรีบหยุดเบลล์ซังก่อนที่หน้าผากของเธอจะเกิดแผล
“ยะ หยุดน้าาาาาา!”
“…….ฮะ!?”
ด้วยเสียงตะโกนของฉัน เบลล์ซังก็หยุดเคลื่อนไหว หลังจากนั้นก็เอามือลูบหน้าผากอย่างเจ็บๆ เห็นได้ชัดว่าฉันสามารถดึงเธอกลับมาหาฉันได้แล้ว
“เอ๊ะโตะ ม๊ายเป็นร๊าย ใช่ไหม……..?”
“…..ตะ ต้องขออภัยเป็นอย่างสูงด้วยค่ะ อริซซามะ ดิฉันสูญเสียการควบคุมตนเองเล็กน้อยค่ะ”
“เล็กน้อย?”
ตรงไหนกันที่เรียกว่าเล็กน้อย แม้จะยังเป็นกังวล แต่ในตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าจะหยุดพฤติกรรมแปลกๆของเบลล์ซังได้แล้ว
ฉันหายใจอย่างโล่งอกก่อนเอนหลังลงนอน
“เจ็บ…..”
“มะ ไม่เป็นอะไรใช่ไหมค่ะ!?”
ฉันรู้สึกเจ็บแปล๊บๆที่ไหล่เหมือนโดนไฟช็อตจนร่างแข็งทื่อ
ใช่แล้ว ฉันนึกถึงผ้าพันแผลที่พันไว้รอบหลังของฉัน มองข้ามไหล่ไปดูว่าแผลเปิดขึ้นมารึเปล่า ดูเหมือนจะไม่มีเลือด
“ฟู่……”
“อ้า โม๊ว ดิฉันต้องขออภัยจริงๆค่ะ……..ที่ทำให้อริซซามะต้องเครียดแบบนี้”
คราวนี้เป็นความผิดของฉันเอง ฉันส่ายหัวแล้วบอกเบลล์ซังว่าไม่เป็นไร ก่อนจับหน้าเธอไว้ ฉันอยากให้เธอมองตรงเข้ามาที่ดวงตาของฉัน
ทุกที่หลังจากนี้เบลล์ซังมักจะพยายามถอยออกไป ยังไงก็ตามครั้งนี้เธอกลับจับมือของฉันไว้แล้วเอนตัวขยับลึกเข้ามาในเตียงมากกว่าเดิม
“ฉันอยากอยู่กับเบลล์ ไม่ได้เหรอ?”
“…..ไม่ค่ะ ถ้าอริซซามะต้องการมากขนาดนี้ ย่อมได้แน่นอนค่ะ”
“ต้องขอโทษด้วยนะคะ เพราะว่าดิฉันเป็นเพียงแค่ข้ารับใช้ การให้นอนเตียงเดียวกันกับอริซซามะ กับผู้ที่เป็นเจ้านาย เป็นเรื่องที่หยาบคายมากเกินไปค่ะ”
“…..ด้วยกันไม่ได้เหรอ?”
ฉันเริ่มกระสับกระส่าย หากเบลล์ซังไม่มีความสุขและนอนไม่หลับละก็มันก็ไม่มีความหมายนะสิ เพราะเหตุผลหลักคือ ฉันแค่ต้องการให้เบลล์ซังได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ แม้ว่าอีกครึ่งจะเป็นการเอาแต่ใจของฉันเองก็ตาม จุดประสงค์ของฉันคือมีเพียงแค่ได้ผ่อนคลายไปด้วยกัน และเพลิดเพลินไปกับการนอนหลับ
“ที่จริงแล้ว หากมีการอนุญาตให้นอนร่วมกับอริซซามะได้นั้น ถือเป็นความสุขเหนือสิ่งอื่นใดแล้วค่ะ”
ยืนยันชัดเจนแบบนั้น แน่นอนในคำพูดอาจรวมถึงความใส่ใจที่มีต่อฉัน แต่ก็ดูไม่ใช่การฝืนพูดออกมา ถ้าหากว่าเธอพูดออกเหมือนกำลังถูกบังคับ ความหวาดกลัวของฉันคงได้พุ่งขึ้นถึงระดับโลกของฉันได้มาถึงจุดจบแล้ว
ใบหน้าของฉันแสดงออกถึงความวิตกกังวลพวกนี้ไหมนะ เบลล์ซังถอดรองเท้าสำหรับใช้ในห้องถอดออก ในที่สุดเธอก็ยอมยกเท้าขึ้นบนเตียง
เธอนั่งลงที่ข้างๆฉัน แล้วลูบหวีผมของฉันด้วยนิ้ว
“เรื่องจริง ……ดิฉันขอกอดได้ไหมค่ะ”
“เอ๊ะ”
ไม่ได้เหรอคะ? เธอเอียงคอถามเสียงเศร้าจนฉันปฏิเสธไม่ได้เลย แต่ฉันก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะปฏิเสธตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
มันแค่เป็นเรื่องน่าอายนิดหน่อยที่จะตอบอย่างซื่อตรงทันที ฉันซ่อนปากของตัวเองอย่างรวดเร็วไว้หลังคู่หูอย่างแน่นหนา แล้วตอบกลับด้วยสายตา
“ฟุๆๆ ขอบพระคุณมากค่ะ ถ้าเช่นนั้น…..”
“………อ้า”
อ้อมกอดอันอ่อนโยนนุ่มนิ่มเต็มไปด้วยกลิ่นหอมน่าหลงใหล ช่างอบอุ่นจนฉันแทบละลาย มันรู้สึกดีเคลิบเคลิ้มจนฉันเผลอครางออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ
ชั่วพริบตาร่างกายที่แข็งทื่อก็รู้สึกเหมือนถูกปลดปล่อยออกจากความเครียดทั้งปวง ฉันปล่อยตัวให้โอบกอดของเบลล์ซัง โดยไม่มีคำพูด มือของพวกเราทั้งสองได้สอดประสานกันอย่างลุ่มลึก
“เบลล์……..”
“คะ อริซซามะ?”
ฉันเงยใบหน้าขึ้นเล็กน้อยจนรู้สึกว่าบริเวณท้ายทอยจมลงไปในหน้าอกของเธอ ก่อนจะประสานสายตากัน
รอยยิ้มอันอ่อนโยนที่ตอบกลับทำให้ฉันรู้สึกอบอุ่นขึ้นทันที
เบลล์ซังที่ยึดครองความรู้สึกส่วนใหญ่ของฉันเอาไว้ ได้ยกโทษให้กับความเอาแต่ใจจนเกือบจะเป็นการเห็นแก้ตัวของฉันที่ฝืนยิ้มอยู่ ถ้าฉันแนะนำเส้นทางให้คาลเมียร์ได้ ตอนนี้ ฉันก็ควรพูดอย่างซื่อตรง
และเพื่อเอ๊ะเนี๊ยว
เมื่อเข้าใจในตัวเองแล้วฉันก็ตอบรับความรู้สึกอย่างเต็มที่เป็นรอยยิ้มผ่อนคลายอย่างเป็นธรรมชาติ
“รักเบลล์ที่สูดเลย อยากอยู่ด้วยตลอดไป ตลอดไป”
“――――….โกะโฮะ ดิฉันเองก็รักอริซซามะมากที่สุดเลยค่ะ!”
“เจ็บ!?”
“อ้า!? ขออภัยด้วยค่ะ!”
เบลล์ซังตอบรับอย่างเร้าร้อนจนเผลอออกแรงแขนกอดรัดฉันมากเกินไป แผลที่ถูกผ้าพันเอาไว้เริ่มมีอาการปวดกลับมาอีกครั้ง
มันมีการแสดงออกทางสีหน้าที่ละเอียดอ่อนเล็กน้อยกว่านั้น แต่ฉันชอบการถูกกอดมากๆและเบลล์ซังก็กอดฉันด้วยความรู้สึกดีๆเช่นกัน เพราะแบบนั้นฉันเลยพูดมากกว่านี้ไม่ได้ เนื่องอื่นใดฉันก็เป็นคนขอให้เธอมานอนด้วยกัน
“อาฟู๊…….นอนด้วยกันใช่ไหม?”
“ค่ะ อริซซามะ อยากนอนหนุนตักดิฉันไหมคะ?”
“อืม”
ฉันเลื่อนตัวลงแล้วนอนหนุนลงไปที่ตักของเบลล์ซัง เธอขยับฟูกมารองไว้ที่ไหล่ของฉัน ก่อนที่พวกเราจะประสานสายตากัน พวกเราไม่พูดกันแม้แต่คำเดียว เอาแต่จ้องมองกันและกัน
หลังทิ้งทุกอย่างไว้ในความเงียบได้ชั่วครู่หนึ่ง เบลล์ซังก็เริ่มพูดทำลายความเงียบ
“คือเรื่องเกี่ยวกับเวทมนตร์ของอริซซามะ…..”
“เวทมนตร์ของฉัน?”
“ค่ะ”
เวทมนตร์ เวทมนตร์สินะ
….ไม่สิ ต้องเป็นเวทมนตร์อยู่แล้ว การโอนบาดแผลของคนอื่นมาไว้ที่ตัวเองได้ ไม่สามารถเป็นอะไรอื่นนอกจากเวทมนตร์ได้อยู่แล้ว
ยังไงก็ตาม ฉันก็ยังไม่ได้สร้างพิธีกรรมออกมาอย่างเป็นรูปธรรมในแบบที่คาลเมียร์บอกมาเลย บางทีมันอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญที่พลังตื่นขึ้นมาจากความรู้สึกที่แรงกล้าก็ได้ แต่แบบนั้นมันจะดีแล้วเหรอที่จะเรียกมันว่าเหมาว่าเป็นเวทมนตร์ง่ายๆแบบนี้
“……นี่เป็นเพียงความคิดของดิฉันคนเดียว แต่ดิฉันคิดว่าบางทีเวทมนตร์ในตอนนั้นจะไม่ใช่เวทมนตร์ที่แท้จริงของอริซซามะน่ะค่ะ”
“หืม…….?”
“อริซซามะจำได้ใช่ไหมคะ ดิฉันเคยบอกไปว่าการจะใช้เวทมนตร์ใดได้นั้นขึ้นอยู่กับแต่ละคน…..ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติพิเศษจำเพราะ”
“อืม”
เท่าที่ฉันบอกได้ถึงแม้จะมีพลังเวทมนตร์เหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะสามารถใช้เวทมนตร์เดียวกันได้แม้จะใช้พิธีกรรมเดียวกันก็ตาม มันขึ้นอยู่กับคุณสมบัติพิเศษจำเพราะของแต่ละบุคคล
ยังไงก็ตามเนื่องจากความแตกต่างและการเปลี่ยนแปลงได้หลากหลาย จึงแบ่งกลุ่มคุณสมบัติเวทมนตร์ที่คล้ายๆกันในระดับหนึ่งเอาไว้ด้วยกัน เช่น ผู้ที่ใช้เวทย์มนตร์แห่งไฟ ผู้ที่ใช้เวทย์มนตร์เสริมสร้างความแข็งแกร่งทางกายภาพ ประเภทของเวทย์มนตร์จะถูกระบุจากผลลัพธ์และเอฟเฟกต์ที่ปรากฏใกล้เคียงกับค่าใดค่าหนึ่งที่ถูกตั้งเอาไว้แล้ว เป็นการรวมแบบหลอกๆ
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พิธีกรรมสำหรับเวทมนตร์นั้นจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ดังนั้นดูเหมือนว่าจะมีการทดสอบคุณสมบัติพิเศษของเวทมนตร์สำหรับการปรับตัวแปรของพิธีกรรม และคุณสมบัติพิเศษจำเพราะของเวทมนตร์
“ตอนแรกดิฉันคิดว่านั่นเป็นคุณสมบัติเวทมนตร์ของอริซซามะ แต่จะว่ายังไงดี ดิฉันรู้สึกอึดอัดนะคะ”
“อึดอัด”
“ค่ะ ดิฉันรู้สึกราวกับว่าเคยเห็นมาจากที่ไหนมาสักแห่งมาก่อน จริงอยู่ว่าจนถึงตอนนี้จะไม่มีใครที่เคยใช้เวทมนตร์แบบนั้นมาก่อน”
ความรู้สึกอึดอัดนั้น มันอาจเป็นเรื่องที่สังเกตได้ถึงตัวตนที่แท้จริงของเดจาวู เกี่ยวกับเวทมนตร์ของฉัน ก็พูดได้ว่ามันประสบความสำเร็จโดยบังเอิญ เพราะจนถึงตอนนี้ฉันเองก็ยังไม่รู้เลยว่ามันมีคุณสมบัติอะไร
ทันใดนั้นฉันก็ถูกดึงดูดด้วยเสียงของเบลล์ซัง
“…….โอนบาดแผลของผู้อื่นเข้าสู่ตนเอง
ในตอนนั้น บาดแผลถูกย้ายในชั่วพริบตาเดียวไม่ใช่ค่อยๆย้าย บาดแผลของดิฉันปิดตัวลงสนิททันทีที่บาดแผลปรากฏขึ้นที่อริซซามะ ดังนั้นแทนที่จะเรียกว่าโอนย้าย น่าจะบอกว่าบาดแผลถูกขโมยไปโดยพลังเวทมนตร์จะถูกต้องกว่า”
“…..อืม”
แม้จะมีคำยากๆออกมามากมาย แต่เพราะพวกมันเป็นคำที่มีโครงสร้างประกอบด้วยคำศัพท์ที่รู้จักดี เลยยังพอที่จะเข้าใจได้บ้าง
……เข้าไจแล้ว นั้นคือประเด็นที่เบลล์ซังอยากจะพูด
“การดูดซึม ดัดแปลง แล้วสร้าง …..นี่มัน คุณสมบัติรากฐานดังเดิมตามธรรมชาติของ〝พลังเวทมนตร์〟”
“ไม่ใช่เวทมนตร์ แต่เป็นพลังเวทมนตร์เหรอ?”
“ค่ะ อริซซามะ นอกจากนี้ พลังเวทย์มนตร์ยังปรับให้เข้ากับร่างกายมนุษย์ในฐานะพลังชีวิตด้วยค่ะ นั้นคือ อริซซามะได้ใช้คุณสมบัติดังเดิมของพลังเวทมนตร์ที่ซึมซับลงไปในบาดแผลและแทนที่ด้วยพลังเวทมนตร์ทีละเล็กทีละน้อย ก่อนที่จะดูดกลืนกลับไปปรากฏบนร่างกายของตัวเองตำแหน่งเดียวกับที่พลังหมุนวนรอบบาดแผลของดิฉันโดยไม่รู้ตัวค่ะ”
นั่นไม่ใช่เวทมนตร์ แต่เป็นผลมาจากการใช้คุณสมบัติดังเดิมของพลังเวทมนตร์
แน่นอนว่าฉันไม่ใช่นักวิชาการที่ค้นคว้าจนเชี่ยวชาญในเรื่องนี้ ในทางตรงกันข้ามฉันเป็นแค่มือใหม่ที่ไม่เข้าใจแม้แต่พื้นฐานของมือสมัครเล่น ฉันไม่รู้ว่าความคิดของเบลล์ซังนั้นถูกต้องหรือไม่ แต่อย่างน้อยก็ดูเหมือนน่าเชื่อถือกว่าฉัน
มันเป็นทฤษฎีที่ตรงไปตรงมาและสอดคล้องกัน หากใช้คุณสมบัติดังเดิมของพลังเวทมนตร์ได้สำเร็จถูกต้อง ผลลัพธ์ก็ควรจะเป็นเช่นนั้น ยังไงก็ตาม
“…..ทำไม แค่ฉัน?”
ใช่ ถ้าคนที่เพิ่งเริ่มเรียนรู้แบบฉันสามารถใช้การรักษาด้วยพลังเวทมนตร์ได้ ทุกคนก็น่าจะสามารถทำได้เหมือนกัน
ฉันได้ยินจากคาลเมียร์ซังว่า ฉันเรียนรู้ได้เร็วมากเมื่อเปรียบเทียบกับคนที่อยู่ในค่าเฉลี่ยของอายุเท่ากันๆ แต่ยังไงก็ตามฉันยังอยู่ในระหว่างการฝึกฝน กับผู้ใหญ่ที่สามารถใช้เวทมนตร์ได้อย่างเชี่ยวชาญก็ควรมีช่องว่างขนาดใหญ่อยู่
ฉันพึ่งเข้าร่วมได้อย่างราบรื่นและประสบความสำเร็จเพื่อที่จะพบกับความสิ้นหวังที่เรียกว่าความโชคดีโดยบังเอิญ ถ้าเป็นเรื่องของเลเวล ฉันแน่ใจว่าพวกเขาน่าจะคุ้นเคยกับการใช้พลังเวทมนตร์ และสามารถคิดแล้วลงมือทำได้อย่างง่ายดายมากกว่าฉัน
ถ้าอย่างงั้น ทำไมถึงไม่เคยมีก่อนล่ะ
“……อริซซามะ นั่นเพราะว่าอริซซามะ คืออริซซามะยังไงล่ะคะ”
“หืม?”
ทันใดนั้นเบลล์ซังก็ทำท่ารู้สึกภาคภูมิใจ แต่กลายเป็นความเศร้าเล็กน้อยเมื่อลูบผมของฉัน
“เพราะไม่มีใครเหมือนอริซซามะที่ยอมสละตนเพื่อพยายามช่วยเหลือและรับบาดแผลไปแทนผู้อื่น”
“เอ๊ะ……”
“…….เหตุผลเพราะมีเพียงราชวงศ์、ขุนนาง、นักเวท、และอัศวินเท่านั้นที่สามารถใช้เวทมนตร์ได้ ในหมู่คนเหล่านั้นก็เพียงอัศวินแนวหน้าเท่านั้นที่ได้รับบาดเจ็บ ผู้คนในตำแหน่งอื่นที่เหลือไม่ค่อยได้รับบาดเจ็บนัก เพราะพวกเขาได้รับการปกป้องคุ้มครองจากผู้ติดตามเสมอ และไม่มีความคิดที่จะกระโดดเข้าสู่อันตรายใดๆ”
“อืม”
นี่เป็นสิ่งที่สามารถเข้าใจได้ บุคคลในชนชั้นเหล่านี้ที่ต้องเสี่ยงต่อการบาดเจ็บคือ เหล่าอัศวิน เท่านั้น พวกเขามักจะทำการต่อสู้ในระยะประชิดเสมอ แต่อัศวินเป็นทหาร หากพวกเขาได้รับบาดเจ็บ พวกเขาย่อมต้องตอบสนองตามตำราคู่มือที่พวกเขาได้ฝึกมา ดังนั้นหากพวกเขาทำตามตำราที่ได้ฝึกมาทันทีย่อมต้องไม่คิดถึงวิธีนี้แน่นอน
การโจมตีพวกเราเมื่อวันก่อน มันเป็นข้อยกเว้นพิเศษ ไม่ว่าจะด้วยเหตุใดก็ตามเมื่อขุนนางออกไปข้างนอกก็ไม่มีทางที่การรักษาความปลอดภัยจะไร้ประโยชน์จนถูกโจมตีได้
“เช่นนั้นแล้วคนอีกกลุ่มที่มีโอกาสได้รับบาดเจ็บมากที่สุดคือ……”
“――――ประชาชนทั่วไป”
“….ค่ะ และเพราะประชาชนทั่วไปไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้ จึงเป็นที่แน่นอนว่าพวกเขาไม่สามารถทำในแบบที่อริซซามะทำได้ในเวลานั้น และเหล่าชนชั้นสูงเหนือประชาชนทั่วไปก็…..”
――――ไม่คิดช่วย
อย่าเสียสละตนเองเพื่อประชาชนทั่วไป
……ฉันสามารถเดาคำพูดที่หายไปของเบลล์ซังได้อย่างง่ายดาย
ในกระแสของการดูถูกประชาชนทั่วไป ฉันสงสัยว่าเหล่าชนชั้นสูงนั้นทำอะไรกันบ้าง
ในหมู่พวกเขามีคนที่มีเมตตาบ้างไหม มีคนที่พร้อมตั้งใจจะเสียสละบ้างไหม
อาจเป็นไปได้สำหรับบางคนเช่นคลอริน่าซัง แต่ยังไงก็ตาม หากได้รับบาดเจ็บแค่เล็กน้อย พวกเขาสามารถหายได้โดยแค่พักผ่อนไม่ต้องทำอะไรเป็นพิเศษ
กล่าวอีกนัยคือ หากอยากรู้ประสิทธิภาพก็ย่อมต้องยอมได้รับบาดเจ็บร้ายแรงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
และนั่นหมายความว่าคุณต้องเตรียมพร้อมที่จะแลกชีวิตของตนเอง
คลอริน่าซังเป็นมนุษย์ และมีเด็กๆกำพร้าจำนวนมากในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่ต้องได้รับการคุ้มครองเพื่อให้มีชีวิตรอดต่อไป
…….หรือ ฉันไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงอารมณ์เสีย หมดหวัง จากผลลัพธ์จบลงด้วยความบังเอิญ
ฉันเข้าใจในท้ายที่สุด
อย่างที่ฉันรู้สึก ถึงแม้ทุกคนจะรู้ว่าทำได้ก็ไม่มีใครเต็มใจที่จะทำเช่นนั้น
“งั้น เหรอ”
ถ้าฉันถูกถามว่าฉันจะเดิมพันชีวิตของตัวเองและช่วยคนแปลกหน้าไหม ฉันจะบอกว่าไม่แน่นอน และนั่นเป็นความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่ มันก็เป็นเรื่องที่น่าเศร้าอยู่ดี
“เหตุผลมันที่เป็นไปได้ ก็เพราะความใจดีของอริซซามะค่ะ”
“อะ อืม……”
เรื่องของความใจดี มันไม่ใช่สิ่งที่ฉันคิดถึงเลย
ฉันแค่ไม่อยากเสียเบลล์ซังไป และกำลังตกอยู่ในความสิ้นหวัง
“…..ฟุๆๆๆ ไม่ต้องถ่อมตัวหรอกนะคะ ไม่ว่าจะคิดอย่างไร อริซซามะก็ได้ช่วยชีวิตดิฉันโดยไม่สนต่อบาดแผลและความเจ็บปวดที่ได้รับ หากนั้นไม่ได้หมายถึงความเมตตา แล้วจะหมายถึงสิ่งใดได้คะ”
ฉันรู้สึกว่าไม่สามารถปฏิเสธเบลล์ซังที่พูดด้วยมั่นใจอย่างเป็นธรรมชาติได้ ในตอนนี้ฉันคงต้องอดทนและยอมรับความรู้สึกเหล่านั้นมา
“ขอบคุณ เบลล์”
“ค่ะ อริซซามะ ดิฉันเองก็ขอขอบพระคุณมากๆเช่นกันค่ะ”
“อืม”
แต่ถ้าแบบนั้นคุณสมบัติพิเศษจำเพราะของฉันคืออะไรล่ะ ท้ายที่สุดความสนใจในเวทย์มนตร์ยังคงแข็งแกร่งกว่าสิ่งใด เมื่อได้มาครอบครองแล้วก็ยิ่งอยากเรียกรู้ให้มากขึ้น
ทันใดนั้นเบลล์ซังก็พูดราวกับรับรู้ความคิดของฉัน
“…..เช่นนั้นเร็วๆนี้ พวกเราไปที่โบสถ์ของคลอริน่าซังกันดีไหมคะ ดิฉันแน่ใจว่าที่โบสถ์ต้องมีเครื่องตรวจสอบเวทมนตร์อยู่อย่างแน่นอนค่ะ”
“จริงเหรอ?”
“ค่ะ เอาไว้อาการดีขึ้นเมื่อไร พวกเราก็ไปด้วยกันนะคะ”
“อืม!”
ฉันส่ายหัวอย่างร่าเริงโดยไม่ปิดบังความตื่นเต้น เบลล์ซังเริ่มลูบหัวฉันอีกครั้ง
จากนั้นพวกเราสองคนก็เข้านอนอย่างเงียบๆมีความสุข และในวันรุ่งขึ้น หลังจากที่ตื่นนอนในตอนเช้า
มือของเบลล์ซังกับฉันก็ยังคงสอดประสานกันตลอดเวลา
MANGA DISCUSSION