ตอนที่ 2 แมวสีทอง
“อริซซามะ วันนี้อยากอ่านเรื่องอะไรดีคะ?”
“อื~ม”
หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ คุณพ่อก็กลับไปทำงาน ส่วนฉันอยู่ในสถานะที่ถูกพิจารณาแล้วว่าต้องนอนอยู่บนเตียงเพียงอย่างเดียว ทำไม่ได้แม้แต่จะอ่านหนังสือภาพด้วยตัวเอง โดยเบลล์ซังดูเหมือนจะเป็นคนอ่านให้ฟังแทน
และเธอกำลังถามฉันว่าสนใจอะไรมากที่สุดในตอนนี้
แน่นอนว่าฉันสนใจเรื่องวัฒนธรรมของประเทศมากที่สุด นอกจากนี้ก็ยังอยากที่จะฟังนิทานหรือไม่ก็เทพนิยายสนุกที่สนุกๆฟังง่ายๆ
แต่ว่า นั้นสินะ ท้ายที่สุดยังไงก็ต้องสิ่งที่น่าสนใจอันดับหนึ่ง สิ่งที่ฉันอยากเรียนรู้มากที่สุด
“เรื่อง เวทมนตร์ ……มีไหม?”
“เรื่องเวทมนตร์เหรอคะ ค่ะ มีแน่นอนอยู่แล้ว เล่มไหนดีคะ?”
เบลล์ซังดึงหนังสือบางเล่มออกมาจากกองหนังสือภาพที่ซ้อนกันอยู่มาวางเรียงไว้บนเตียงเพื่อให้มองเห็นได้ง่ายๆ
หนังสือสามเล่มมีชื่อว่า 『เวทมนตร์ของแมรี่』『ท่านลุงของยูกิ』『แมวสีทอง』ตามลำดับ
ฉันไม่รู้เนื้อหาของหนังสือเหล่านี้ แต่ฉันกลับรู้สึกสนใจ『แมวสีทอง』ที่มีแรงดึงดูดบางอย่างจากดวงตาสีทองที่เข้ามาโอบกอดฉันไว้
“เล่มนี้”
“แมวสีทองสินะคะ ได้เลยค่ะ”
ในขณะที่รอเบลล์ซังเก็บหนังภาพเล่มที่เหลือ ฉันก็จ้องมองไปที่〝แมว〟บนปก
ในแง่ของรูปร่างแล้วมันก็ดูเหมือน〝แมว〟จากชาติก่อนของฉัน เมื่อพิจารณาดูแล้วสิ่งมีชีวิตที่สามารถมีชีวิตรอดมาได้อย่างยาวนาน ไม่ว่าจะในโลกไหนก็อาจจะไม่มีความแตกต่างกันก็ได้
แต่ยังไงก็ตาม มันต้องมีความแตกต่างระหว่างโลกที่มีพลังเวทมนตร์และโลกที่ไม่มีพลังเวทมนตร์อย่างแน่นอน บางทีอาจจะมีสิ่งมีชีวิตบางอย่างที่สามารถใช้มันได้
นี่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเวทมนตร์ ดังนั้นหนังสือภาพเล่มนี้ก็ต้องเป็นผลงานที่แสดงถึงแมวที่ใช้มันได้สินะ
ฉันขยับไปนั่งข้างๆเบลล์ซังที่เตรียมพร้อมจะอ่านด้วยความคิดเช่นนั้น
“จะเริ่มเลยไหมคะ?”
“อืม”
“เช่นนั้น………”
เปิดหน้าแรก เพราะหนังสือภาพเล่มนี้ไม่ใช่กระดาษคุณภาพสูง จึงทำให้มีสีสันไม่มากนัก ความแตกต่างของสีที่เห็นได้ชัดที่สุดคือความเข้มของหมึก ซึ่งก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้
หน้าแรกเป็นรูปของแมวที่กำลังแหงนหน้ามองไปที่ดวงจันทร์ภายใต้ท้องฟ้ายามราตรี ดวงตาไม่มีสีอะไรระบายไว้จนดูราวกับเป็นสีขาวบริสุทธิ์ ที่เป็นแบบนั้นอาจจะเพราะสีทองของโลกนี้ ทำจากทองจริงๆ
“……ณ ริมทะเลสาบยามราตรีหลังอาทิตย์อัสดง มีแมวตัวหนึ่งกำลังเฝ้ามองจันทรา”
“สวย”
ฉันรู้สึกถึงความงดงามของการผสานกันระหว่างประโยคและรูปภาพจนเผลอพูดออกไปด้วยไม่รู้ตัว
จากนั้นเบลล์ซังที่มองฉันอยู่ก็ยิ้มและอ่านต่อ
“คุณแมวมองไปยังดวงจันทร์ระหว่างที่พูดด้วยความเศร้าสร้อย เหตุใดดวงตาของข้าจึงเป็นสีขาวบริสุทธิ์กัน? …..ดวงตาของคุณแมวเป็นสีขาวตั้งแต่กำเนิด เพราะเหตุนั้นเขาจึงถูกเพื่อนๆเกลียด”
ดูเหมือนฉันจะเดาผิดไป ดวงตาของคุณแมวไม่ใช่สีทอง แต่เป็นสีขาวบริสุทธิ์มาแต่แรก
พอคิดๆตามแล้วก็แปลกนิดหน่อยจริงๆ ไม่แปลกที่จะถูกเพื่อนๆตัดออกจากกลุ่ม
“แต่จันทราก็มิได้ตอบสิ่งใดกลับมาเลย คุณแมวได้แต่ทอดถอนใจ แล้วหันหลังกลับไปที่ป่า”
พลิกเปิดไปยังหน้าถัดไป คราวนี้เป็นภาพคุณแมวที่หันหลังให้กับดวงจันทร์ แต่ก่อนที่มันจะจากไปก็มีบางสิ่งบางอย่างตกลงมาจนมันต้องมองย้อนกลับไป
“แต่แล้วทันใดนั้น ก็มีเสียง แคร๊ง แคร๊ง แปลกๆ เหมือนมีบางสิ่งตกลงสู่สถานที่ที่คุณแมวเคยอยู่เมื่อสักครู่ คุณแมวมองกลับไปแล้วคิดอย่างสงสัยอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่จะตัดสินใจเข้าไปดูใกล้ๆ”
หน้าเปลี่ยนอีกครั้ง คุณแมวเข้าไปดูบางสิ่งบางอย่างที่ดูเหมือนจะเปล่งประกายใกล้ๆ
“มันเป็นหินที่ดูลึกลับ เป็นหินสีขาวบริสุทธิ์เหมือนกับดวงตาของคุณแมวเอง แม้ว่าจะเป็นยามราตรี แต่รอบๆหินกลับส่องประกายสดใส”
“คิระคิระ”
“ค่ะ คิระคิระ …….คุณแมวคิดว่าสิ่งนี้จะต้องเป็นของขวัญจากจันทราอย่างแน่นอน”
ยังไงก็ตามฉันก็พอจะคาดเดาเรื่องราวต่อไปได้แล้ว แต่ฉันก็พยายามไม่คิด
เพราะฉันอยากตามรอยหัวใจของคุณแมวไปด้วยดวงตาที่ใสซื่อบริสุทธิ์และสนุกไปกับมัน
“คุณแมวขอบคุณจันทรา และนำหินลึกลับกลับเข้าไปในป่าด้วยกัน”
ภาพถัดไปคือ ฉากที่บินข้ามผ่านเวลามาในช่วงที่คุณแมวปรากฏตัวออกมาโดยมีเหล่าเพื่อนๆห้อมล้อมอยู่แบบเว้นระยะห่าง ส่วนหินก้อนนั้นก็ยังได้รับการดูแลรักษาอย่างดี
“จากนั้นคุณแมวก็เอาแต่ดูแลหินลึกลับตลอดเวลาเป็นเวลาหลายวัน หลายสัปดาห์ แต่การทำเช่นนั้นทำให้เขาถูกทิ้งเอาไว้ให้อยู่ตามลำพังตลอดกาล แม้กระนั้นคุณแมวก็ยังคงเชื่อในจันทรา”
คุณแมวตัวนั้นใช้ตาสีขาวบริสุทธิ์เฝ้ามองสหายของมันล้มหายตายจากไปด้วยอายุขัย หรือ จากการบาดเจ็บทีละตัว ทีละตัว
……ตลอดกาล มันไม่เคยออกห่างจาก〝จุดนั้น〟เลย
หน้าหนังสือถัดไปถูกเปิดออก
“คุณแมวเฝ้ารอมานานหลายเดือน หลายปี ในขณะที่เพื่อนๆกำลังค่อยๆหายไปทีละตัว แสงจากหินลึกลับก็เริ่มสว่างน้อยลงตามไปด้วย คุณแมวสังเกตเห็น ……ยามที่แสงนี้มอดดับลง มันก็คงถึงเวลาของข้า”
“……คุณแมว”
คุณแมวหดหู่อย่างสิ้นเชิง มันมุ่งหน้าไปยังทะเลสาบในยามราตรีอีกครั้ง แผ่นหลังของมันดูเหงามากๆ ความเศร้าถูกถ่ายทอดจากเสียงของเบลล์ซัง ทำให้ฉันรู้สึกเศร้าไปด้วย
“คุณแมวพูดอย่างเศร้าสร้อยไปยังจันทรา เหตุใดดวงตาของข้าจึงเป็นสีขาวบริสุทธิ์กัน? ทันใดนั้น หินส่องประกายลึกลับที่วางอยู่ที่เท้าก็ส่งเสียงแปลกประหลาด ก่อนที่จะแตกออก ไม่มีแสงใดส่องประกายออกมาอีกแล้ว ในท้ายที่สุดก็ถึงเวลาของข้าที่จะจากไป คุณแมวนอนพร้อมทั้งน้ำตาที่ไหลริน”
ช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้าไปแล้ว มันจะจบแบบนี้งั้นเหรอ
ฉันรู้สึกตัวว่าดวงตาของตัวเองเปียกชื้น เบลล์ซังที่สังเกตเห็นก็ลูบหัวปลอบฉัน
“ทันใดนั้น ก็มีเสียงแหลมเล็กดังก้องเข้ามาในหูของคุณแมว …..เย้ ในที่สุดผมก็เจอจนได้”
คุณแมวลืมตาขึ้นด้วยเสียงนั้น มันเห็นแมวอีกตัวอยู่ข้างๆตัวเอง ก่อนที่แมวทั้งสองตัวจะเริ่มคุยกัน
“ผมกำลังมองหาเพื่อนอยู่ คุณแมวที่มาใหม่พูดเช่นนั้น คุณแมวรีบเช็ดน้ำตาอย่างตื่นตระหนก ก่อนจะตอบกลับ …..แต่ว่า ดวงตาของเจ้าเป็นสีทองคำสวยงาม แต่ดวงตาของข้าเป็นสีขาวบริสุทธิ์ รู้สึกน่ารังเกียจใช่ไหมล่ะ?”
“ไม่มีทาง”
ฉันรีบปฏิเสธคำพูดนั้นของคุณแมวโดยไม่รู้ตัว มันช่วยไม่ได้ก็ฉันอินกับเรื่องมากๆ
เบลล์ซังคลี่ยิ้มก่อนจะเปิดหน้าถัดไป
“คุณแมวที่มีตาสีทองกล่าวว่า ผมเองก็เป็นสีขาวบริสุทธิ์เหมือนกัน ……คุณแมวประหลาดใจมาก จนเกือบที่จะตะโกนว่า โกหก แต่ทันใดนั้น คุณแมวสีทองก็กล่าวว่า ――――ลองไปดูที่ทะเลสิ”
ตึกตัก ตึกตัก หัวใจของฉันเต้นเหมือนถูกทุบ เพราะภาพต่อมาที่ปรากฏแก่สายตาของฉัน คือ ดวงตาสีทอง〝สี่ดวง〟ที่เรียงกัน
“ข้าควรที่จะมีดวงตาสีขาวบริสุทธิ์สิ และคุณแมวก็ได้สังเกตเห็น แม้หินลึกลับจะแตกไปแล้ว แต่เขาก็ยังสามารถมองเห็นผิวทะเลสาบในยามราตรีได้อย่างชัดเจน เพราะรอบตัวของเขาและคุณแม่สีทองกำลังเรืองแสงอยู่ คุณแม่สีทองก็กล่าวว่า ……สังเกตเห็นแล้วสินะ?”
ทันใดนั้นคุณแมวก็เงยหน้าขึ้นมองดวงจันทร์ และนี่เป็นครั้งแรกที่คุณแมวได้เฝ้ามองดวงจันทร์โดยมีใครสักคนอยู่เคียงข้างกัน
“สิ่งที่กำลังส่องประกายหาใช่หินลึกลับ แต่เป็นตัวข้าเอง คุณแมวเงยหน้าขึ้นมองจันทราอย่างเงียบๆ ในที่สุดคุณแมวก็เข้าใจ ท่านจันทราได้บอกข้าไว้แล้ว คุณแมวทั้งสองคิดอยู่เคียงข้างกัน …..ข้า/ผมไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว”
พลิกไปยังหน้าสุดท้าย ดวงจันทร์ห้าดวงส่งรอยยิ้มอยู่บนผิวน้ำทะเลสาบ
“คุณแมวทั้งสองเงยหน้ามองจันทรา พร้อมพูดพร้อมกันอย่างมีความสุขว่า……”
“――――ขอบกุณ……..”
………แย่แล้ว
ฉันเผลอพูดคำพูดที่ปรากฏขึ้นในใจฉันอย่างเป็นธรรมชาติออกไปโดยไม่รู้ตัว
ฉันพึ่งตระหนักได้ว่าตัวเองถูกดึงดูดเข้าสู่เรื่องราวอย่างสมบูรณ์แบบ ฉันรีบซ่อนหน้าหลังคู่หูเพื่อซ่อนความรู้สึกอาย
จากนั้นเบลล์ซังก็ลูบหัวฉันอีกครั้ง ก่อนเล่าต่อไป
“คุณแมวสีทองทั้งสองเฝ้ามองจันทราต่ออีกชั่วครู่ ก่อนที่จะพากันกลับเข้าป่าไปในที่สุด”
และหนังสือก็ปิดลง ภาพที่ปกหลังคือ ดวงจันทร์กลมโตที่ส่องแสงสดใส
“――――แต่ว่าจันทราก็ไม่ได้ตอบสิ่งใด”
ฉันกับเบลล์ซังเพลิดเพลินกับความซาบซึ้งอันเงียบสงบที่ห่อหุ้มพวกเราอยู่อย่างอ่อนโยน
“…..แปะๆ”
แล้วฉันก็ปรบมือดังที่สุดเท่าที่จะไม่กระทบกับบาดแผล
ขอบคุณมาก เบลล์ซังเก็บหนังสือเข้าชั้นวางก่อนจะเอียงคอมองฉัน
ฉันเพลิดเพลินกับเรื่องราวอย่างสมบูรณ์แบบ แต่ว่า ฉันขอเรื่องที่เกี่ยวกับเวทมนตร์ไปไม่ใช่เหรอ
ฉันเดาว่าหินเรืองแสงลึกลับนั้นเป็น〝หินเวทมนตร์〟 แต่ก็ไม่เห็นจะมีเวทมนตร์ออกมาตรงไหนเลย
“……ค่ะ อริซซามะ เรื่องนี้ความจริงแล้วเป็นหนังสือภาพที่อธิบายถึงการกำเนิดของเวทมนตร์ค่ะ”
“ฮะเฮ๊ะ”
เบลล์ซังใช้เทเลพาธีอ่านใจฉันแล้วตอบกลับได้อย่างยอดเยี่ยมเช่นเคย
อย่างที่คิดไว้ ดูเหมือนว่าจะมีหลายๆสิ่งซ่อนอยู่เบื้องหลัง
“บอกที”
“ได้เลยค่ะ …..มันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างมืดมนนิดหน่อยนะคะ หากมีคำไหนที่ทำให้อริซซามะรู้สึกขุ่นมัว แล้วทำให้ไม่สบายใจ กรุณาบอกดิฉันได้เลยนะคะ”
“อืม”
เห็นได้ชัดว่าช่วงของการกำเนิดของเวทมนตร์ดูจะมีอดีตที่ค่อนข้างดำมืด
ฉันคิดว่าควรจะฟังอย่างจริงจัง เลยจัดแจงท่าทางของตัวเองใหม่ ถึงจะยังเป็นท่านอนเหมือนเดิมก็เถอะนะ
“ในตอนแรกนั้น ผู้คนไม่ได้มีพลังเวทมนตร์มาก่อน คนในยุคโบราณได้ใช้เครื่องมือหิน อุปกรณ์ที่สร้างจากหิน พวกเขาอาศัยอยู่กับสัตว์ป่าและธรรมชาติ”
หรือก็คือการใช้ชีวิตของคนในยุคหินเก่าแทบจะไม่มีอะไรที่แตกต่างกัน
ถึงอาจจะไม่เหมือนกันทุกอย่างก็เถอะ
“แต่แล้วในวันหนึ่ง ก็มีคนที่มีผิวและผมสีขาวที่ดูแตกต่างจากคนอื่นๆเกิดขึ้นมาในหมู่พวกเขาอย่างกระทันกัน ผู้คนต่างรู้สึกรังเกียจ และเริ่มกลั่นแกล้งรังแกคนๆนั้น………..ทั้งตีด้วยหิน ไม่แบ่งปันอาหารให้ และกดขี่”
“……อืม”
นั้นอาจะเป็นโรคที่เรียกว่าโรคผิวเผือก(Albinism) โดยการที่คนในยุคเช่นนั้นไม่มีความรู้ การที่มีคนที่แตกต่างจากตัวเองเกิดขึ้นมาโดยฉับพลัน ถ้าได้เห็นมันก็คงจะน่าขนลุกจริงๆ
“ในเวลานั้น คนผิวขาวบริสุทธิ์ได้รับบาดเจ็บจากเครื่องมือหิน แต่เครื่องมือหินเหล่านั้นสร้างมาจาก〝หินเวทมนตร์〟 ไม่มีใครรู้ว่าคนผู้นั้นเป็นคนที่มีพลังเวทมนตร์พิเศษอยู่แล้ว หรือว่าเป็นธรรมชาติของเวทมนตร์กัน แต่พลังเวทมนตร์ที่สะสมอยู่ในหินเวทมนตร์นั้นก็ได้ไหลลเข้าสู่ร่างกายของคนผู้นั้นผ่านทางบาดแผล และได้กลายเป็นสมบัติของคนผู้นั้นทันที”
ฉันพอจะเห็นเรื่องราวแล้ว
บางทีหลังจากนั้นมันก็อาจจะได้รับการถ่ายทอดทางพันธุกรรมทีละเล็กทีละน้อย และแพร่กระจายออกไป
เบลล์ซังมองมาที่ฉันอย่างกึ่งประหลาดใจ ก่อนที่จะยิ้มอย่างที่ชอบทำ และทำเสียงอืมอืมกับพยักหน้าเข้าใจเอาเอง ด้วยที่ยังลูบสางผมของฉันอยู่
“……อริซซามะช่างฉลาดจริงๆค่ะ เป็นอย่างที่ท่านคิดเลยค่ะ พลังเวทมนตร์ได้ถูกส่งให้ลูกหลานของบุคคลนั้น จากเด็กคนหนึ่ง สู่เด็กอีกคนหนึ่ง เมื่อพลังแพร่กระจายออกไปมากขึ้นเรื่อยๆ ร่างกายก็ค่อยๆเกิดการเปลี่ยนแปลง พวกเราเริ่มที่จะสร้างพลังเวทมนตร์ได้ด้วยตนเอง พอพูดแล้ว ดิฉันก็คิดว่าคนเหล่านั้นช่างยิ่งใหญ่จริงๆค่ะ”
ถ้าอย่างนั้น ดวงจันทร์และดวงตาสีขาวบริสุทธิ์ในหนังสือภาพ ก็เป็นนัยที่บ่งบอกถึงสีผิวที่ไวต่อแสง และร่างกายผิวขาว
และหินเรืองแสงลึกลับนั้นก็เป็นหินเวทมนตร์ ดวงตาสีทองเหมือนถึงการทีพลังเวทมนตร์ และการพบเพื่อนในตอนสุดท้ายก็อาจบ่งบอกว่า ได้เจอคนแบบเดียวกันที่ช่วยกันสืบต่อสายเลือด และแพร่กระจาย
หลังจากได้ฟังเรื่องจากเบลล์ซัง ก็เข้าใจในที่สุด นี่เป็นเรื่องของเวทมนตร์จริงๆ
“จากนั้นพลังเวทมนตร์ที่อยู่ในระหว่างกระบวนการสืบทอดก็ถูกแบ่งตามความเชี่ยวชาญของแต่ละคน ตัวอย่างเช่น คนที่ชอบล่าสัตว์และต่อสู้มักจะได้รับบาดเจ็บทางร่างกายรุนแรง พวกเขาก็จะสามารถใช้เวทมนตร์เพื่อป้องกันการบาดเจ็บ และความสามารถในการตรวจจับอันตรายที่ใกล้เข้ามา”
นั้นหมายถึงพวกเขาปรับตัวให้เข้ากับวิถีชีวิตของพวกเขาสินะ
และจากตรงนั้น มันก็ถูกแบ่งเป็น นักเวทย์ อัศวิน และขุนนางอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้สินะ และคนส่วนใหญ่ที่ไม่มีเวทมนตร์ก็ถูกจัดเป็นชนชั้นต่ำสุดสินะ อะ………แบบนี้ก็ตรงกันข้ามกับการกดขี่ข่มเหงที่เกิดขึ้นตอนแรกเลยนะสิ ช่างเป็นเรื่องที่น่าขันจริงๆ
“……..ดังนั้นการใช้เวทมนตร์ได้จึงเป็นการบ่งบอกสถานะอย่างหนึ่งค่ะ”
…..ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมคุณพ่อถึงเข้าใจผิด
พูดอีกอย่างคือ ผู้ที่มีเวทมนตร์ล้วนมีรากเหง้าเดียวกันสินะ ม๊า เรื่องนั้นทิ้งมันไปก่อนเถอะ
ไม่สิ ไม่น่าจะมีแค่คนแรกในเรื่องเล่านั้นที่มีเวทมนตร์ เพราะในทำนองเดียวกันก็น่าจะมีคนอื่นที่ได้รับอาการบาดเจ็บจากอุปกรณ์หินเวทมนตร์ด้วยเหตุผลบางอย่างด้วยเหมือนกัน
พวกเขาเองก็อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงในขณะที่ผ่านกระบวนการสืบทอดเช่นกัน
“อื~ม……..”
“ไม่ทราบว่าเป็นอะไรไปรึเปล่าคะ อริซซามะ”
“คนที่สามารถใช้เวทมนตร์ได้ ทุกคน ครอบครัว?”
ทันใดนั้นเบลล์ซังก็เงียบลง
ในที่สุดหลังจากเงียบไปสักครู่ เบลล์ซังก็เริ่มพูดอีกครั้ง
“แต่มีเหล่าสายเลือดบริสุทธิ์ส่วนหนึ่งที่ไม่อนุญาตให้คนที่สามารถใช้เวทมนตร์ได้กับประชาชนทั่วไปคบหาใดๆกัน”
“จายเลือดบริจุทธิ์”
“ค่ะ ………อริซซามะที่เป็นมิตรกับดิฉันและประชาชนทั่วไปมากๆจึงต้องระวังตัวเป็นพิเศษค่ะ”
แนวคิดสายเลือดบริสุทธิ์งั้นเหรอ ช่างเป็นเรื่องพื้นๆจริงๆน๊า การเลือกปฏิบัติที่มีพื้นฐานอยู่บนเอกสิทธิ์พิเศษของเวทมนตร์ ระหว่างประชาชนทั่วไป และส่วนที่เหลือของชนชั้นสูงและชนชั้นกลาง น่าเศร้าที่มันไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่จะเกิดความรุนแรงจากแนวคิดนี้
“ทั้งๆที่ ทุกคนเหมือนกัน”
ใช่แล้ว ไม่ว่าจะใช้เวทมนตร์ได้หรือไม่ โดยพื้นฐานแล้วทุกคนก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน
นั้นเป็นแนวคิดของอดีตเพื่อนร่วมงานในชาติก่อนของฉัน เพื่อนทำงานชั่วชีวิตด้วยกัน
“อริซซามะ………”
ทันใดนั้นเบลล์ซังก็มีสีหน้าเศร้าหมองลงเล็กน้อย
เธอเป็นประชาชนทั่วไป ทำให้เธอต้องพบเจอความลำบากหลายๆอย่างแน่ๆ
แต่สำหรับฉัน ไม่ว่าเธอจะเป็นใคร หรือผ่านอะไรมา เบลล์ซังก็คือเบลล์ซัง
ฉันแค่ชอบช่วงเวลาที่ได้ใช้ด้วยกันกับเบลล์ซัง
“ฉัน ไม่ว่าเบลล์จะเป็นยังไง ก็รัก”
“…..ฟุๆๆๆ ดิฉันเองก็รักอริซามะโดยไม่สนว่าจะเป็นขุนนางหรือประชาชนทั่วไปเหมือนกันค่ะ?”
ทันใดนั้นก็มีรอยยิ้มอันสว่างสดใสสะท้อนอยู่ในดวงตาระหว่างพวกเราทั้งสอง
ฉันไม่ต้องการที่จะซ่อนแก้มที่กลายเป็นสีแดงเล็กน้อย
คราวนี้ดูเหมือนจะไม่มีบทให้คู่หูได้ออกโรง
MANGA DISCUSSION