ตอนที่ 11 ต้นกล้า
“มีห้องพักหลายห้องอยู่ภายในค่ะ พวกเราแต่ละคนจะมีห้องพักเป็นของตนเองค่ะ”
“อื~ม”
พวกเราเดินจูงมือกันมาถึงหน้าประตูห้องที่อยู่อีกด้านของบันไดจากห้องครัว เบลล์ซังคว้าลูกบิดประตูโลหะแล้วดันเข้าไป ขณะพูดไปด้วย
“ห้องของดิฉันอยู่ที่ทางด้านขวาในสุดค่ะ”
ในขณะที่ฟังข้อมูลอย่างต่อเนื่อง ฉันก็พยายามมองเข้าไปในประตู
แต่จากข้างหลัง ฉันมองไม่เห็นข้างในเพราะถูกบังด้วยประตูที่ยังเปิดแง้ม ๆ และหลังของเบลล์ซัง ฉันพยายามยื่นหน้าผ่านประตูและเบลล์ซัง เบลล์ซังที่สังเกตเห็นท่าทางของฉันก็ก้าวหลบออกมายืนเคียงข้างฉัน
จากนั้นภาพทั้งหมดก็ปรากฏสู่สายตาของฉัน ภายในเป็นทางเดินที่สว่างด้วยแสงไฟธรรมดา และมีประตูอยู่บนกำแพงซ้ายขวาด้านละสามบาน รวมทั้งหมดหกห้อง
แน่นอนว่าฉันเคยเห็นเมดคนอื่นนอกจากเบลล์ซัง เช่น สาวเมดที่ฉันเรียกว่าสาวผมแดงอย่างตามใจชอบ แต่ดูเหมือนจะมีคนอยู่น้อยกว่าที่คิด บางทีฉันอาจจะเคยเห็นครบทุกคนแล้วก็ได้
แต่ที่แน่ ๆ แม้ที่นี่จะเป็นอาคารขนาดใหญ่ แต่ก็ไม่ใหญ่พอที่จะต้องให้มีคนคอยดูแลหลายสิบคน ฉันสงสัยจังว่าจำนวนข้ารับใช้ที่อยู่ในบ้านขุนนางคนอื่นจะมีอยู่เท่าไรกันน่ะ
“หก?”
“ใช่ค่ะ ตอนนี้เมดที่อาศัยอยู่ในคฤหาสน์แห่งนี้รวมดิฉันด้วย ก็มีอยู่หกคนค่ะ”
“งั้นเหรอ”
เบลล์ซังบอกจำนวนพร้อมกับปิดประตู ในตอนนี้คำศัพท์ที่สามารถพูดได้กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว แต่เบลล์ซังบอกว่าห้องที่อยู่ในสุดสินะ ฉันลองมองดู
ฉันหวังว่าที่หน้าประตูจะมีบางอย่างเช่นแผ่นป้ายชื่อติดอยู่ แต่ประตูไหนก็ไม่มีเลย ม๊า ก็อาจเป็นเพราะคนรับใช้อาจจะมีการเปลี่ยนตัวได้ตลอดเวลาละนะ
“ตรงนั้นคือห้องของเบลล์?”
“ค่ะ อันที่จริงก็ไม่มีสิ่งใดให้ดูหรอกนะคะ”
ฉันกับเบลล์ซังเดินไปด้วยคุยไปด้วย จนเมื่อมาถึงหน้าประตู เบลล์ซังก็ฝืนยิ้มหัวเราะแห้ง ๆ มองตรงไปที่ประตูก่อนจะพยายามเปิดช้า ๆ
สงสัยว่าฉันคงจะทำตัวหยาบคายไปนิดหน่อย เลยขอโทษเธอด้วยสายตา และในขณะเดียวกันเบลล์ซังก็เปิดประตูจนสุด
“เชิญค่ะ มีแค่เตียงกับแจกันดอกไม้เท่านั้นเองล่ะค่ะ”
ฉันปล่อยมือจากเบลล์ซังที่อยู่ข้าง ๆ ก่อนเดินเข้าห้องไป
ห้องนี้มีขนาดเล็กกว่าห้องของฉันหนึ่งหรือสองเท่า แต่ถ้าพูดตามตรงก็คือ ห้องของฉันมันใหญ่เกินไปสำหรับการอยู่แค่คนเดียว
มีเตียงเรียบง่ายอยู่ทางด้านซ้ายของห้อง ชั้นวางเล็ก ๆ ทางด้านขวา และมีแจกันวางบนนั้น ภายในชั้นวางมีเสื้อผ้า และสิ่งของจำเป็นสำหรับชีวิตประจำวัน ถัดจากนั้นก็ของน่าอายที่ฉันเริ่มจะชินแล้ว อย่างโถฉี่……โถฉี่?
“โถ….”
“คะ?”
“ห้องน้ำ ล่ะ….?”
“ห้อ….? มันคืออะไรเหรอคะ”
“…..อุอื~ม”
ไม่สิ นั้นสินะ ดูเหมือนว่าที่โลกนี้ห้องน้ำยังไม่ได้รับการพัฒนาเลย เพราะฉันเคยอาศัยอยู่ในประเทศที่มีเทคโนโลยีชั้นสูงสำหรับห้องน้ำ จึงคิดว่าห้องน้ำเป็นของธรรมดาๆที่จะต้องมีอยู่ทุกที่
จะว่าไปมันก็ทำให้การที่ฉันได้รับการยกย่องมากๆจนเหมือนกับเป็นการยกย่องเกินจริงก็ดูสมเหตุสมผลขึ้นมาเลย เพราะในวัฒนธรรมของโลกนี้ เรื่องที่ฉันทำก็ถือว่าเป็นเรื่องที่มีแต่เด็กที่โตแล้วถึงจะทำได้ดี
แต่….ไม่ๆ อย่าคิดมากจะดีกว่า นั่นเป็นเรื่องปกติต่างหาก
ฉันเมินความรู้สึกอึดอัดรุนแรง และความรู้สึกผิดศีลธรรมแปลก ๆ หลังรู้ว่าเบลล์ซังก็ใช้โถฉี่เหมือนกัน ฉันเลยรีบหันสายตาหนีไปสนใจที่เตียง แล้วจากนั้นสายตาของฉันก็หยุดลงด้วยเหตุผลบางอย่าง
ที่เห็นเป็นเตียงไม้ที่ดูไม่มีอะไรแปลก แต่ผ้าห่มที่ถูกพับอย่างเรียบร้อยและผ้าปูที่นอนที่กำลังคลุมเตียงอยู่ดึงดูดสายตาของฉันไว้
เฟอร์นิเจอร์ในห้องส่วนใหญ่จะเป็นสีของวัสดุตามธรรมชาติที่ไม่มีการตกแต่ง แต่มีเพียงผ้าปูที่นอนเท่านั้นที่มีสีชมพูอ่อนๆ
ฉันรู้สึกได้ถึงความไม่สมดุลอย่างฉับพลัน ฉันเลยมองกลับไปที่เบลล์ซัง
“สีชมพู?”
“…..เอ๊ะ อะ ….ชะ ใช่ค่ะ”
“หืม?”
ด้วยเหตุผลบางอย่างฉันก็รู้สึกว่าได้ทำสิ่งไม่ดีลงไป เพราะงั้นก็เลยเอียงคอคิดตัดสินใจว่าจะยอมแพ้ไม่เอาคำตอบดี หรือจะเอาดี แต่แล้วเบลล์ซังก็ตอบกลับมาอย่างอายๆ
“….ระ รู้สึกอายจังค่ะ คือว่า ดิฉันรู้สึกว่าถ้าได้ใช้สีเดียวกันกับอริซซามะก็คงดี….. ก็เลยยใช้เงินเดือนไปซื้อมานะคะ”
“เอ๊ะ”
คราวนี้ฉันกลับได้คำตอบที่ไม่คาดคิดกลับมา
สรุปง่ายๆคือ เธอจะบอกว่าเธอเปลี่ยนทั้งฟูกทั้งของใช้เพราะพยายามที่จะเข้าคู่กับฉันอย่างงั้นเหรอ?
จากที่เห็นมันมีสีสันสวยมาก ผ้าปูที่นอนพวกนี้ต้องราคาไม่ใช่ถูก ๆ แน่นอน แถมใช้เงินเดือนซื้อมาด้วย?
“งะ….งั้นเหรอ”
ฉันไม่อาจจะหาคำพูดมาตอบกลับได้ เลยได้แต่อ้ำอึ้งหลบตา
อ้าา ว่าแล้วเชี่ยวน่าจะเอาตุ๊กตาสัตว์ติดตัวมาด้วย
“มะ ไม่พอใจสินะคะ……?”
“อ…อู แค่ ประหลาดใจ เท่านั้นเอง”
ฉันรีบตอบปฏิเสธกลับเบลล์ซังที่ถามออกมาอย่างหวาดกลัวเล็กน้อย
ฉันเงยหน้ามองเบลล์ซังที่ก้มหน้าลงมา แต่พอช้อนตาขึ้นไปเห็นหน้าแดงๆของเธอ มันก็ช่วยไม่ได้ละนะเลยลองถามอาการดู
“ม๊ายเป็นร๊ายใช่ไหม?”
“ค่ะ คะ”
ฉันมองเบลล์ซังที่ผ่อนคลายอาการเกร็งไหลลงด้วยความโล่งอก มันก็ทำให้ฉันหายใจได้โล่งอกด้วยเหมือนกัน
หวังว่าเบลล์ซังจะยกโทษให้ฉันที่ทำให้เธอเข้าใจผิด
แต่ยังไงก็ตาม มันก็เป็นความจริงที่ทำให้ฉันประหลาดใจสุดๆ
ฉันรู้ว่าเบลล์ซังมอบความรักให้กับฉันมากมายจริงๆ แต่ก็ไม่คิดว่าเธอจะรักฉันได้อย่างสุดซึ้งไม่เหมือนความรู้สึกแบบพี่น้องขนาดนี้
ฉันคิดว่าได้มอบความรักอันยิ่งใหญ่ให้เบลล์ซังแล้ว แต่กลับไม่ได้ครึ่งของเธอเลย
แต่เห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่แค่นั้น
ทันใดนั้นฉันก็รู้สึกเขินอายอย่างรุนแรง แต่หัวใจของฉันกลับเต็มไปด้วยความสุขที่คืบคลานเข้ามาจนเปี่ยมล้น
ฉันมองไปที่แก้มแดงๆของเบลล์ซังอย่างร้อนแรง พร้อมกับหายใจหอบถี่ตามจังหวะการเต้นระรัวของหัวใจ
“อะ อริซซามะ….? ไม่เป็นไรอะไรใช่ไหมคะ?”
“มะ ม๊ายเป็นร๊าย….”
คราวนี้กลับกลายเป็นเบลล์ซังที่ต้องมาเป็นห่วงฉัน ถึงเปลี่ยนตำแหน่งกัน แต่ระดับความรู้สึกของกันและกันไม่มีเปลี่ยนแปลง และมันก็เพิ่มความร้อนในร่างกายขึ้นเรื่อยๆ
ทำให้ฉันรีบหันเหปลายทางสายตาของฉันอีกครั้ง แนวสายตาตอนนี้มุ่งไปยังแจกันบนหิ้ง
มันมีดอกไม้สีขาวสว่างแบบเดียวกับที่ฉันเห็นในห้องของคุณแม่
ฉันพยายามมองมันเพื่อทำให้ร่างกายสงบลง แต่มันก็เหมือนราดน้ำใส่หินร้อนไม่ช่วยอะไรเลย
ยังไงก็ตามฉันก็ยังไม่สามารถควบคุมร่างกายตัวเองได้อยู่ดี
“ฟู่~ ฟู้ว~…..”
ทั้งพรั่งพรูทั้งเต้นสนั่น ฉันกังวลว่าเสียงหัวใจของตัวเองจะส่งไปถึงเบลล์ซัง และถึงแม้จะดูไม่สมเหตุสมผล แต่ฉันก็เอามือกุมซ่อนหน้าอกเอาไว้
“อริซซามะ…..? หากท่านรู้สึกไม่ดีจะออกจากห้อง……”
“บะ เบลล์…..”
เบลล์ซังย่อตัวลงมาประสานสายตาใกล้ๆจนหน้าอยู่ใกล้กันพอที่จะสัมผัสลมหายใจกันได้ ฉันไม่รู้ว่าความร้อนรุ่มที่เพิ่มขึ้นเกิดมาจากอะไร ตาฉันหมุนวนไปหมด
“หมุนหมุน…..”
บางสิ่งเอ่อล้นออกมาจากก้นบึ่งของอกฉัน ฉันรู้สึกได้เลยว่ามันไหวเวียนไปทั่วร่างกาย
หมุนหมุน ทัศนวิสัยหมุนไปหมด ฉันรับรู้ได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่ไม่รู้จัก
ฉันรู้สึกเหมือนกำลังสูญเสียเรียวแรงในครั้งเดียว และรู้สึกเหมือนจะยืนไม่ไหว
“ไม่มีแรง……”
“อริซซามะ อริซซามะ…….. !?”
เบลล์ซังร้อนใจขึ้นทันทีที่เห็นฉันทรุดลง เธอรีบเรียกชื่อฉันซ้ำแล้วซ้ำอีกเพื่อเรียกสติของฉันขณะลูบหลังฉันไปด้วย
ฉันรู้สึกได้ถึงสัญญาณบางอย่างนอกห้อง ในเวลาเดียวกันกับที่รับรู้ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
“หัวหน้าเมด? ขออภัยด้วยค่ะ ไม่ทราบว่าเกิดอะ ――― อริซซามะ!?”
“คาลเมียร์! เธอรีบไปเรียกฮัททีเรียซามะมาเร็วเข้า! ดิฉันจะรีบพาอริซซามะกลับไปที่ห้องก่อน!”
“คะ ค่ะ!”
มือของเบลล์ซังสอดเข้ามาใต้คอและหลังเข่า ร่างกายของฉันลอยขึ้นพร้อมสติที่เริ่มเบาบางลง
สิ่งสุดท้ายที่เห็นก่อนสติของฉันจะขาดหายไปคือ ผมสีแดงที่แกว่งไหวอยู่หลังประตูที่เปิดอยู่
“….ช่วยบอกรายละเอียดให้ข้าฟังทีว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร”
“คือว่า….ดิฉันกำลังพาอริซซามะสำรวจภายในคฤหาสน์ แต่ในทันใด…”
ดิฉันตอบคำถามฮัททีเรียซามะที่จับตามองอริซซามะที่นอนอยู่บนเตียงแบบไม่วางตา
ดิฉันไม่สามารถให้คำตอบที่น่าพอใจได้ สิ่งที่พวกเรามีเหมือนกันๆคือการแสดงออกที่สับสน
มองไปที่คาลเมียร์ เมดสาวผมแดงที่ยืนรออยู่ด้านหลังเพื่อรอให้ความช่วยเหลือ แต่ถึงอย่างงั้นเธอก็กำลังตัวสั่นด้วยความตื่นตระหนกซึ่งเป็นธรรมดาอยู่แล้วเมื่ออยู่ต่อหน้าเรื่องที่ไม่เข้าใจเช่นนี้
――― หลายนาทีก่อน ตอนที่ดิฉันพาอริซซามะกลับมาถึงที่ห้องแล้ววางเธอลงบนเตียง คาลเมียร์ก็พาฮัททีเรียซามะมาถึงที่ห้อง และเมื่อดิฉันมองไปเธอสลับกับอริซซามะที่กำลังนอนหมดสติอยู่ ก็มีบางสิ่งที่แล่นเข้ามาในใจ ด้วยเหตุผลบางอย่างที่ว่าดิฉันจึงยกปลายเส้นผมของอริซซามะขึ้นมาดู หลังจากคิดไปซักพัก ดิฉันก็ยิ้มออกมาอย่างฉับพลันด้วยความยินดีและกล่าวออกมา
ฮัททีเรียซามะมองมาที่ดิฉันอย่างสับสนเพราะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น คำพูดออกมาจากปากของดิฉันอย่างรีบเร่ง ดูเหมือนพลังเวทมนตร์ของอริซซามะจะตื่นขึ้นมาแล้ว
ดิฉันรีบอธิบาย ยามที่พลังเวทมนตร์แสดงออกมา มันจะล้นทะลักออกมาเหมือนน้ำที่ดันล้นถังน้ำจนฝาถังระเบิดออกมา มันจะถ่ายเทเติมเต็มทั้งร่างกายในทันที และมันต้องใช้เวลาพอสมควรในการปรับปริมาณและพลัง ดังนั้นจึงดูเหมือนว่าผลกระทบจะปรากฏขึ้นที่ส่วนลึกของร่างกาย
เหนือสิ่งอื่นใดหากได้มองเส้นผมจะเข้าใจได้ง่ายกว่า เพราะหากมองอย่างใกล้ชิดจะเห็นว่าปลายเส้นผมกำลังสั่นอยู่ราวกับว่ามีชีวิต
นี่เป็นหนทางแรกในการยืนยันถึงปฏิกิริยาแรกเริ่มที่เด่นชัดของพลังเวทมนตร์ซึ่งทุกคนสามารถสังเกตเห็นได้ แต่ดิฉันที่กำลังร้อนร้นที่เห็นอริซซามะหมดสติไปจึงไม่สังเกตเห็นตั้งแต่แรก และนอกจากนี้ ตั้งแต่ต้นแล้วทั้งดิฉันทั้งฮัททีเรียซามะต่างก็เป็นผู้ที่ไร้พลังเวทมนตร์แต่กำเนิด ทำให้ถึงจะมีความรู้แต่ก็ไม่สามารถเข้าใจได้ตั้งแต่แรก จึงทำให้ดิฉันลืมไปหมดแล้วว่าการตื่นของพลังเวทมนตร์จะมาพร้อมอาการคล้ายเป็นไข้
“พลังเวทมนตร์ที่แสดงออกมาคงสืบทอดทางสายเลือดมาจากอลิเซีย มันช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดีจริงๆ แต่….”
ฮัททีเรียซามะกอดอกพึมพำออกมาด้วยความกังวล
ใช่แล้ว ปัญหาคือ จุดเริ่มต้นของการแสดงพลังคืออะไร อารมณ์หรือแรงกระตุ้นอะไรที่รุนแรงจนส่งผลกระตุ้น ดิฉันไม่รู้เลย
“รู้รึไม่ว่าอะไรคือลางบอกเหตุ?”
ลองคิดถึงการแสดงออกของอริซซามะ พวกเราเดินจับมือกันไว้ ด้วยที่ดิฉันเดินตามหลังหนึ่งก้าวและพูดคุยกันตลอดทาง แต่ ดิฉันก็ไม่พบสิ่งผิดปกติที่แสดงออกเป็นพิเศษ
“เรื่องที่แปลกๆ อะไรสักอย่าง……. ――― อะไร สักอย่าง?”
――― ไม่ใช่ ลองคิดดูดีๆแล้ว ทันทีก่อนที่จะล้มลง ในตอนที่ลมหายใจเริ่มติดขัด ในขณะที่กดหน้าอกน้ำตาไหลเพื่ออดทนต่อบางสิ่ง….
“ไอริส … “
“ไอริส?”
ใช่แล้ว มาเรียนา ไอริส ดอกไม้สีขาวบริสุทธ์ที่อลิเซียซามะเคยมอบให้ดิฉัน
ดอกไม้ที่ใส่ไว้ในแจกัน ที่ถูกมองเป็นพิเศษ
“ไม่สิ ถ้าจะกล่าวให้ถูกคือก่อนที่อริซซามะจะสลบไปในห้องของดิฉัน อริซซามะได้มองดอกไอริสที่อลิเซียซามะมอบให้ดิฉัน แล้วทำสีหน้าเศร้าออกมาค่ะ”
“….ของอลิเซีย”
“ค่ะ และก่อนหน้านั้น ในยามที่เข้าไปในห้องของอลิเซียซามะ ในขณะที่มองดอกไอริสในห้อง อริซซามะก็ทำสีหน้าโศกเศร้าแบบเดียวกัน เหมือยกับกำลังคำนึงหาใครบ้างคนค่ะ”
“….เข้าใจล่ะ”
ใช่แล้ว ท่านแม่ ดิฉันได้ยินเสียงกระซิบเบาๆเช่นนั้น
เธอหลับตาระลึกถึงกลิ่นของท่านแม่ที่ไม่รู้จัก
“นั่นหมายถึง”
เพื่อยืนยันความคิดที่คาดเดาอยู่ในใจ ดิฉันจึงมองไปที่คาลเมียร์
“คาลเมียร์ อาการของอริซซามะ ไม่ผิดไปจากที่คาดใช่ไหม?”
“ค่ะ เป็นการตื่นขึ้นครั้งแรกของพลังเวทมนตร์อย่างแน่นอน…..และจากการที่ถูกกระตุ้นตื่นจะทำให้มีไข้ชั่วคราวและหมดสติค่ะ และเพราะเป็นการรับรู้ในทีเดียวด้วยที่ไม่เคยรู้สึกได้ถึงเศษเสี้ยวของพลังเวทมนตร์มาก่อน จึงทำให้เป็นภาระที่ใหญ่หลวงต่อร่างกายของเด็ก ถึงแม้ว่ามันอาจจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล แต่ก็มีลักษณะที่หมดสติเช่นเดียวกับอริซซามะอยู่ค่ะ”
ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือการตื่นขึ้นของพลังเวทมนต์
ถ้าเป็นเช่นนั้น อารมณ์ที่รุนแรงจนไปกระตุ้นคืออะไร
ดิฉันประสานสายตากับฮัททีเรียซามะที่น่าจะกำลังคิดแบบเดียวกัน ก่อนที่จะพยักหน้าตอบ
“――― อยากเจออลิเซียซามะ อยากเจอแม่ อยากจะพบกันสักครั้ง….มันเป็นความรู้สึกที่ร้อนรุ่ม แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็เป็นความรู้สึกที่บริสุทธิ์และแข็งแกร่ง”
นั่นคือความเป็นจริงที่จริงแท้แน่นอน
แต่แม้จะปรารถนามากเพียงใด ก็ไม่อาจที่จะเป็นจริงได้
และแน่นอนว่าอริซซามะฉลาดมากพอที่จะเข้าใจได้เอง
ดังนั้นความรู้สึกที่อยากจะพบดูเหมือนจะล้นทะลักออกมา แต่เพราะไม่อยากสร้างปัญหาให้ใครจึงเก็บความรู้สึกทั้งหมดเอาไว้ภายในใจอย่างสิ้นหวังแม้จะต้องหลั่งน้ำตาอย่างเดียวดาย
“อ้า อริซซามะ…..”
คาลเมียร์ที่เข้าใจช้ากว่าเล็กน้อย ก็เงียบลงไป เธอตาตกทำสีหน้าโศกเศร้า
ความเงียบแพร่กระจายไปทั่วห้อง ความคิดทั้งหมดมุ่งไปที่อริซซามะที่นอนหมดสติอย่างทรมาน
“นั้นสินะ คงอยากเจอมากสินะอริซ……”
ในที่สุดฮัททีเรียซามะก็ทนไม่ไหว ท่านเข้าไปลูบผมสีเงินของอริซซามะทั้งน้ำตา
“ขอโทษ ขอโทษ….”
ไม่มีใครเป็นคนผิด แต่ถึงกระนั้นฮัททีเรียซามะก็ยังขอโทษจนน้ำตาอุ่นๆหยดลงบนแก้มของอริซซามะ
แม้จะเป็นเรื่องที่น่าเศร้า แต่ก็เป็นภาพอันมีค่า ดิฉันไม่สามารถพูดอะไรได้เลย
และหลังจากนั้นดิฉันเองก็ไม่อาจหนีจากความเศร้าได้ นอกจากนี้ยังมีบางสิ่งที่อบอุ่นไหลลงบนแก้มของดิฉันเช่นกัน
คาลเมียร์ที่ด้านหลังเองก็เช่นกัน ดิฉันรับรู้ได้จากเสียงว่าเธอเช็ดน้ำตาหลายต่อหลายครั้งทั้งยังพยายามกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้
ดิฉันอยากอยู่ให้ใกล้อริซซามะให้มากขึ้นแม้เพียงสักนิด ดิฉันจึงนอนลงข้างๆถัดจากที่ฮัททีเรียซามะอยู่
“อริซซามะ…..”
ตอนนี้เธอจะกำลังฝันแบบไหนอยู่กันนะ
เมื่อเห็นใบหน้าที่ดูเจ็บปวด เธอจะกำลังมีความฝันที่แสนเศร้าอยู่รึเปล่า
อ้า พระเจ้า
ได้โปรด ในความฝันของเธอ
อย่างน้อยก็ในความฝันก็ขอให้เป็นโลกที่มีแต่ความสุขไร้ความโศกเศร้าด้วยเถอะ
ได้โปรด ปกป้องมาสเตอร์ตัวน้อยของดิฉันด้วยเถอะ
“อึก ……อืม”
“…..อริซซามะ?”
ทันใดนั้นเสียงของอริซซามะที่ได้สติก็ได้ทำลายความเงียบภายในห้องลง
ราวกับว่าเธอตอบรับเสียงเรียกของฉันด้วยไม่ได้ตั้งใจ ดวงตาของเธอเปิดออกช้าๆก่อนจะกระพริบถี่ๆปรับสายตามองไปรอบๆห้อง เสียงโซปราโนที่อ่อนเยาว์และนุ่มนวลดังก้องกังวาน
“เบลล์…..”
“โล่งอกไปที ฟื้นแล้วเหรอคะ….”
“ท่านพ่อ….? อะ เอ๊ะ ฉัน…….?”
ดูเหมือนความทรงจำก่อนจะหมดสติไปไม่ชัดเจน
ดิฉันรีบสรุปสถานการณ์ ด้วยใช้คำง่าย ๆ ให้เข้าใจ
“อริซซามะ จำได้ไหมคะว่าไปที่ห้องของดิฉัน? ในตอนนั้นที่พวกเรากำลังคุยเรื่องของฟูกกันอยู่ จากนั้นพลังเวทมนตร์ของอริซซามะก็ล้นออกมาจากภายในร่างกาย นั่นเป็นเหตุผลที่อริซซามะหมดสตินะคะ”
“พลังเวทมนตร์”
ดูเหมือนสติของอริซซามะยังไม่ฟื้นตัวดีจึงมีสีหน้าว่างเปล่าพูดทวนคำของดิฉันซ้ำๆ
ดิฉันรีบสลัดความรู้สึก แล้วตอบกลับด้วยรอยยิ้มให้มากที่สุด
เพราะหากตื่นขึ้นมาแล้วเห็นใบหน้าโศกเศร้าของดิฉันหรือของฮัททีเรียซามะ มันจะต้องทำร้ายจิตใจของเธอแน่นอน
ดิฉันจะปล่อยให้มันเกิดขึ้นไม่ได้ จึงต้องตอบกลับด้วยโทนสีที่สดใสที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
และแม้ว่าดวงตาสีดำขุ่นมัวเป็นสัญลักษณ์ของความเศร้าโศกและสิ้นหวัง แต่ดิฉันหวังว่าจะสามารถเปลี่ยนเป็นสีแห่งความสุขได้ทีละเล็กทีละน้อย
“ค่ะ ตอนนี้อริซซามะสามารถใช้เวทมนตร์ได้แล้วนะคะ ขอแสดงความยินดีด้วยค่ะ”
“จริงเหรอ?”
“ค่ะ จริงแน่นอนค่ะ”
“ยินดีด้วยนะอริซ และ…..พ่อ พ่อจะอยู่ข้างเจ้าให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้”
ตอนนี้ ดิฉันขออวยพรให้ท่านเติบโตขึ้นอย่างมีความสุข จะขออยู่เคียงข้างท่านให้แนบชิดมากยิ่งขึ้น
และหวังว่าสักวันหนึ่ง ดิฉันจะได้เห็นรอยยิ้มอันสดใสไร้ความโศกเศร้าใดๆจากท่าน
“ดิฉันเอง ก็จะขออยู่เคียงข้างอริซซามะตลอดไปเช่นเดียวกันค่ะ”
“…..อะ อืม….?”
ความรู้สึกของพวกเราเป็นความรู้สึกเดียวกันอย่างแน่นอน คาลเมียร์ที่รู้สึกประทับใจรีบวิ่งมาที่ข้างเตียง แล้วจับมืออริซซามะมาเขย่า
“มาเล่นด้วยกันมากๆ เยอะๆด้วยกันนะคะ อริซซามะ!”
“……อะ คนที่โดนดุ”
“เอ๊ะ”
….จะว่าไปแล้ว ดูเหมือนอริซซามะจะยังไม่รู้จักชื่อของเธอ
MANGA DISCUSSION