ตอนที่ 10 เตาเวทมนตร์
“หนัก?”
“ไม่เลยค่ะ อริซซามะ ค่อนข้างเบามากๆเลยค่ะ”
เสียงเบลล์ซังดังมาจากเหนือหัวพร้อมลมหายใจอุ่นรดลงมา ใบหน้าชวนมองดูสมบูรณ์แบบจากทุกทิศมุมมอง แต่แสงที่ส่องประกายมันต้องเป็นแสงจากโคมระย้าแน่นอน
บันไดที่ทอดไปสู่ชั้นหนึ่งค่อนข้างกว้างเหมือนกับโถงด้านหน้า มันค่อนข้างน่ากลัว เพราะไม่มีอะไรอยู่ใกล้ๆเลยนอกจากราวจับที่อยู่ห่างออกไปซึ่งดูจะไร้ประโยชน์ หรือไม่ก็บางทีฉันคงแค่กำลังกังวลเกี่ยวกับพละกำลังของตัวเองที่ดูน่าสังเวช ท้ายที่สุดเบลล์ซังก็อุ้มฉันลงบันได
ฉันถูกอุ้มท่าเจ้าหญิงอย่างมั่นคงตรงให้ความรู้สึกตรงข้ามกับแขนที่ดูเล็กและบอบบางของเบลล์ซัง กำลังหวังว่าฉันจะพูดอะไรงั้นเหรอ จะมีอะไรได้นอกจากจะบอกว่าเป็นนี่คือความอับอายที่เกินจะพรรณนา
อย่างไรก็ตามการอุ้มเด็กคนหนึ่งลงบันไดก็ดูจะเป็นภาระที่หนักมากๆ แม้เบลล์ซังจะซ่อนสีหน้าไว้ใต้ใบหน้าสวยนิ่งๆ แต่ลมหายใจของเธอก็ค่อนข้างแรงหอบถี่
“โย๊ยโช๊ะ …..ค๊า ถึงแล้วค่ะอริซซามะ”
“ก๊า”
เบลล์ซังค่อยๆลดระดับมือที่อุ้มเท้าลงช้าๆก่อนจะวางเท้าทั้งสองข้างของฉันลงบนพื้นอย่างนิ่มนวล พอฉันลงมาได้ครึ่งตัว เบลล์ซังก็อยู่ในท่าที่ยากจะประคองตัว ดังนั้นฉันจึงรีบลุกขึ้นยืนทันที
ฟู ฉันปรับลมหายใจ แล้วมองขึ้นไปบนเพดานเหนือหัวเบลล์ซัง
“สูง”
“….อะ หมายถึงเพดานเหรอคะ? นั้นสินะคะ เพราะเพดานเหนือห้องโถงแห่งนี้เป็นเพดานแบบเปิดโล่งไปจนถึงชั้นสองนะคะ”
“เปิด….?”
“ค่ะ บางส่วนของพื้นที่ชั้นบนไม่มีพื้นค่ะ ดังนั้นเพดานของชั้นบนและชั้นล่างจึงเป็นเพดานเดียวกันค่ะ”
เข้าใจล่ะ ห้องเพดานสูงนี่เอง ถ้าฉันถามเบลล์ซังในสิ่งที่ไม่รู้จัก เธอจะบอกความหมายพร้อมกับวิธีการออกเสียง มีประโยชน์มากเลย ฉันต้องจำกลวิธีนี้ไปใช้บ่อยๆแล้ว
“ห้องเพ ดานสูง”
“ห้องเพดานสูง”
“ห้องเพดาน สูง”
“ค่ะ เก่งมากเลยค่ะ”
“ขอบกุณ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฟุๆๆ”
การออกเสียงดูเหมือนจะผ่านแล้ว แต่มันก็ยากที่จะเรียนรู้เพิ่มเติมจริงๆ เพราะตระกะที่ติดมาจากโลกเก่าของฉันมันเชื่อมโยงกับภาษาญี่ปุ่นซึ่งเป็นภาษาแม่ของฉัน คำๆนี้สามารถออกเสียงได้ว่า”พัดผ่าน”ในภาษาญี่ปุ่น
“…… สวย”
ถึงอย่างนั้น มันก็แตกต่างกันอย่างมากกับเพดานที่มองขึ้นไปจากห้องที่หนาวเหน็บที่มีเพียงเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเท่านั้น
มันเป็นลักษณะของเวทมนตร์รึเปล่านะ แสงสีเหลืองเหมือนแสงอาทิตย์สาดส่องจากเพดานไม้อ่อนๆ แต่แม้แบบนั้นดวงตาสีทองของฉันก็ยังต้องยอมแพ้อยู่ดี
เบลล์ซังยืนอยู่เงียบๆเฝ้ามองฉันส่งเสียงอุทานชื่นชมสิ่งต่างๆจนแน่ใจว่าฉันพอใจในระดับหนึ่งแล้ว
เธอส่งเสียงกระตุ้นดึงสติฉันให้กลับมา
“สนใจงั้นรึคะ?”
“อืม”
“โล่งอกไปที ….นั้นสินะคะ แสงของเวทมนตร์แสงจะกล่าวเช่นไรดี คงเป็นอ่อนโยนล่ะมั้งคะ ดิฉันเองก็ชอบเหมือนกันค่ะ”
“งั้นเหรอ”
“ค่ะ”
ฉันสงสัยว่าจริงๆว่ากลไกของสิ่งที่ดูเหมือนแสงพวกนั้นที่ถูกเรียกว่าเวทมนตร์แสงมันทำงานยังไงกันแน่ แต่ฉันก็รู้สึกว่าถ้าฉันถามคำถามแบบนั้นไปคงทำให้เบลล์ซังมีปัญหาปวดหัวแน่ๆ ฉันเลยกลืนมันลงคอไป
จากนั้นฉันก็เดินดูรอบๆห้องโถงมาได้ครึ่งทางโดยมีบันไดเป็นฉากหลัง
พื้นที่กว้างสมชื่อห้องโถง มีโต๊ะยาวตั้งอยู่กลางโถงด้านหน้า มันน่าจะถูกใช้เวลามีแขกมาแน่ๆ นอกจากนี้ยังมีประตูข้างหน้าที่บางทีคงเป็นทางเข้าของคฤหาสน์
“โต๊ะใหญ่”
“ค่ะ แต่ว่าก็ไม่ค่อยได้ใช้งานเท่าไรน่ะค่ะ”
“ทำไม?”
“โดยปกติแล้ว ที่นี่จะใช้ต้อนรับลาบริกซ์ซามะที่ช่วงนี้ไม่ค่อยได้มานะคะ”
“ลาบริก…..?”
“ค่ะ สหายของฮัททีเรียซามะค่ะ”
“ลาบริกซ์”
“เป็นอัศวินชั้นชนสูงที่น่ายกย่องค่ะ”
“อื~ม”
ฟังดูเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ ฉันจินตนาการภาพชายชราที่มีเคราตัดแต่งอย่างดีอยู่บนใบหน้า เขาน่าจะไม่ใช่คนเลว เพราะเป็นเพื่อนกับคุณพ่อ เรียกว่าเพื่อนคิดน่าจะถูก บางที
“ทั้งสองท่านรู้จักกันมาตั้งแต่สมัยที่ฮัททีเรียซามะยังเป็นอัศวินอยู่ค่ะ”
“งั้นเหรอ”
ไม่ถึงกับเรียกว่าเป็น…..ความจริงที่น่าประหลาดใจ แต่ฉันก็แปลกใจเล็กๆที่คุณพ่อที่ดูใจดีจะเคยเป็นอัศวินมาก่อน
พูดถึงเรื่องนี้แล้ว ฉันก็นึกได้ว่าพึ่งได้ยินเบลล์ซังเล่าว่าคุณพ่อไม่ใช่ขุนนางมาตั้งแต่แรกเมื่อไม่นานมานี้เอง และถ้าเคยเป็นอัศวินมาก่อน ต้องทำเรื่องใหญ่อะไรบ้างในระหว่างการเป็นอัศวินถึงจะมาเป็นขุนนางได้
“ลาบริกซ์ซามะพึ่งมาเยี่ยมเมื่อเร็วๆนี้เองค่ะ และอันที่จริงอริซซามะก็เคยเจอกันหลายครั้งแล้วนะคะ?”
“เอ๊ะ”
ถ้าฉันเคยเจอจริงก็ต้องจำได้สิ แต่ฉันรู้จักแค่เบลล์ซังกับเหล่าเมด และเร็วๆนี้ก็มีแต่ท่านพ่อเท่านั้น
ฉันจินตนาการว่าเขาเป็นผู้ชาย เพราะได้ยินว่าเป็นอัศวินที่ยิ่งใหญ่ แต่หรือบางทีเขาจะเป็นผู้หญิงที่ฉันคิดไปเองว่าเป็นหนึ่งในเมด?
“เป็นผู้หญิง?”
“ไม่ค่ะ ลาบริกซ์ซามะเป็นผู้ชายค่ะ”
“อื~ม…”
“ฟุๆๆ ต้องขออภัยด้วยนะคะ ดูเหมือนว่าดิฉันคงจะบอกรายละเอียดน้อยเกินไป ในการพบกัน ต้องบอกว่าเป็นการเข้ามาอุ้มอริซซามะหลายครั้งขณะที่ยังหลับอยู่ค่ะ”
“โลลิค่อน?”
“ค่ะ?”
“มะ ม๊ายมีอะร๊าย”
ไม่ แน่นอนว่าฉันล้อเล่น แต่ฉันก็บอกเบลล์ซังไม่ได้อยู่ดีเพราะยังไงก็คงจะไม่เข้าใจ แต่ยังไงก็ตามถ้าเป็นจริงตามคำที่ฉันเผลอพูดออกมา ฉันคงต้องรีบคิดอะไรหลายๆอย่างแล้ว ทำยังไงถึงจะบอกคุณพ่อได้ถึงความอันตรายจากงานอดิเรกชอบอุ้มลูกสาวโลลิตอนนอนหลับของเพื่อนคุณพ่อได้กันน่ะ
“มีอะไรรึเปล่าคะ?”
“ม๊ายมี”
ฉันขอให้เป็นความเข้าใจผิดบ้าๆ….และอยากให้เป็นแค่เรื่องตลกจริงๆ จากนั้นฉันก็เดินเตาะแตะที่โต๊ะยาวกลางห้องโถง
“เตาะแตะ เตาะแตะ”
เมื่อมาถึงด้านข้างฉันก็เอื้อมมือออกไป พยายามที่จะสัมผัสพื้นผิวดู
ประเมินจากสายตาแล้ว มันเป็นโต๊ะที่พื้นผิวสวยงามที่ไม่อยากเชื่อว่าทำมาจากไม้หยาบๆ และคาดเดาได้เลยว่าสิ่งนี้ต้องมีราคาแพงเอามากๆแน่นอน
“ลูบ ลูบ”
มันให้ความรู้สึกดีทุกครั้งที่สัมผัส ฉันขยับมือราวกับว่ากำลังลูบไล้อยู่
จากนั้นฉันก็พยายามจะนั่งเก้าอี้ที่ตัวสูงเกินไปเล็กน้อยสำหรับฉัน หลังจากนั่งได้แล้วฉันก็นั่งแกว่งเท้าไปมา
“หุๆๆ”
เมื่อได้ทำแบบนี้ ฉันก็รู้สึกว่าได้กลายเป็นคนใหญ่คนโต รู้สึกดีจัง
ช่างเป็นความคิดบ้าๆออกนอกหน้าอะไรแบบนี้สำหรับคนที่ไม่มีหน้าอกแบบฉัน หลังจากนั้นไม่นานเบลล์ซังที่ยืนอยู่ข้างๆก็เข้ามาลูบหัวฉันเบาๆ
“กำลังประชุมเรื่องอะไรอยู่รึคะ? อริซซามะ”
“เกี่ยวกับรสชาติของแมเรียน”
“วาระการประชุมผลิตภัณฑ์พิเศษสินะคะ อริซซามะจะต้องเติบโตขึ้นเป็นเจ้าหญิงที่น่ารักแน่นอนค่ะ”
“เบลล์ก็น่ารัก”
“อ้า อริซซามะ….”
“เบลล์…”
มีจิตวิญญาณสูง เมื่อกี้ในขณะที่ฉันเล่นเรื่องตลกเป็นฉากๆซ้ำๆอยู่คนเดียว และเมื่อฉันอยากเล่นให้มากขึ้นเบลล์ซังก็ตอบสนองอย่างยืดหยุ่นและเต็มไปด้วยอารมณ์ขัน
แน่นอนว่าเบลล์ซังมีพลังที่จะให้เลิกได้
ฉันแค่ลองพูดออกไปแค่นั้น
ยังไงก็ตามฉันก็รู้สึกได้ถึงพลังแปลกๆที่ดูเหมือนจะทำให้เป็นนิสัยทางเพศเปลี่ยนไป แม้ว่าฉันจะคิดมานานแล้ว แต่ก็ดูเหมือนว่าร่างกายจะถูกกระตุ้นโดยจิตใจโดยไม่รู้ตัว เป็นเพราะได้รู้สึกใกล้ชิดผู้หญิงเป็นครั้งแรกงั้นเหรอ หรือว่านี่คือความรักที่ลึกซึ้งกัน
ใช่แล้ว เป็นความรักแน่นอน สำหรับฉันแล้ว เบลล์ซังได้หยั่งรากลึกเข้ามาในอัตตาของฉัน เธอคอยดูแลฉันมาตลอด ฉันต้องขอโทษคุณพ่อด้วย แต่เบลล์ซังเป็นคนที่ฉันเชื่อใจและชอบมากกว่าใครๆ เป็นคนสำคัญที่สุดของฉัน
แต่ความรู้สึกนี้คือ ความรักในแบบที่มีให้กับคนในครอบครัวที่ฉันไม่เคยรู้สึกมาก่อนรึเปล่าน่ะ?
ถ้าแบบนั้นแล้วเบลล์ซังจะอยู่ในตำแหน่งไหนของครอบครัวกันน่ะ
แม่ ฉันไม่รู้สึกแบบนั้น ไม่สิ แม้ว่าในตอนนี้ฉันจะได้รับการดูแลอย่างเต็มที่จากเบลล์ซัง แต่จิตวิญญาณที่เป็นผู้ใหญ่ของฉันกลับกำลังรู้สึกเหมือนว่าฉันกำลังมองหาสิ่งอื่นที่เท่าเทียมกันมากกว่า
อย่างเช่น―――
“เบลล์เน่ซามะ?”
“――― แค่กๆ!? อะ อริซซามะ ถึงจะแค่เล็กน้อย แต่นั้นอาจนำไปสู่การเข้าใจผิดๆต่อฮัททีเรียซามะกับเหล่าเมดคนอื่นๆได้นะคะ…..”
หลังจากพูดแล้ว ฉันก็รู้สึกว่ามันยังแตกต่างอยู่ดี ถึงเป็นพี่สาว แน่นอนว่าเป็นตำแหน่งที่เท่าเทียมกันมากกว่าแม่ แต่ฉันก็รู้สึกอึดอัดเล็กน้อยที่จะเรียกเบลล์ซังแบบนั้น
“เบลล์โอเน่จัง”
“――― อุ๊บ….!? ดะ ดิฉันมีความสุขมากเลยค่ะ แต่ แต่ว่า…… ! “
ฉันลองพยายามเปลี่ยนวิธีเรียกดู แต่ก็ยังไม่สามารถขจัดความรู้สึกอึดอัดออกไปได้
บางครั้งฉันก็จำไว้ว่าท่าทางและพฤติกรรมของเบลล์ซังดูตื่นเต้นมากๆ ฉันคิดว่าคงไม่มีสิ่งอื่นนอกจากที่เรียกว่าความรัก แต่ก็ยังมีบางสิ่งที่แตกต่าง
อื~ม ฉันไม่เข้าใจสิ่งที่อยู่ในใจของตัวเองเท่าไร ม๊า มันก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่ต้องมาคิดให้ลึกซึ้งซะหน่อย ชอบก็คือชอบ ไม่ต้องสนว่าเส้นเวกเตอร์จะโค้งไปทางไหน
“อืมๆๆ”
“ไม่น๊า แต่ว่า ยังไงก็เถอะ….”
ฉันพยักหน้าอย่างพึ่งพอใจหลังจากที่สามารถจัดระเบียบหนึ่งในความคิดของตัวเองได้ด้วยตัวเอง
เมื่อฉันดึงสติกลับมาจากการคิดสั้นๆ ก็เห็นเบลล์ซังกระวนกระวายเปลี่ยนสีหน้าไปมาด้วยเหตุผลบางอย่าง
เกิดอะไรขึ้นน่ะ
“เบลล์?”
“ค่ะ คะ!? “
“เป็นอะไรรึเปล่า”
“มะ ไม่มีอะไรค่ะ…..”
เบลล์ซังจ้องมาที่ฉัน ก่อนหันไปมองเพดาน จากนั้นก็หลับตาแล้วส่ายหัว
ตามด้วยเสียงฟู่ และสีหน้าก็ดูเหมือนจะสงบลง ฉันไม่รู้ความหมายของการถอนหายใจ จึงทำให้ได้แต่เอนหัว
“เบลล์….?”
“….อะแฮ่ม ขออภัยด้วยค่ะ ดิฉันรู้สึกสับสนเล็กน้อยน่ะค่ะ”
“เป็นอะร๊ายม๊าย?”
“ค่ะ ดูเหมือนดิฉันจะถูกอิจฉามุ่งร้ายจากเมดบางคนนิดหน่อยนะคะ”
“อุ?”
ฉันจะสั่งสอนเธอในภายหลัง แก้มของเบลล์ซังกลายเป็นสีแดงเข้มเล็กน้อยจากความโกรธ และริมฝีปากก็แหลมขึ้น
ปกติเบลล์ซังจะเป็นคนที่น่ารักและสะดุดตาเอามากๆ แต่รอยยิ้มตอนนี้ของเธอ ฉันไม่รู้เลยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น หรือว่าเธอจะเจอข้อผิดพลาดของเมดบางคนกันน่ะ
ครู่หนึ่งก็มีภาพของหญิงสาวผมสีแดงลอยเข้ามาในหัว แต่แบบนั้นคงอคติไปหน่อย ฉันเลยส่ายหัวไล่ความคิดออกไป
ในความเป็นจริงในตอนที่ฉันได้พบกับคุณพ่อ ในช่วงเวลานั้นเมื่อพูดถึงเรื่องการเทศนาของเบลล์ซังแล้ว ภาพพจน์ของเธอก็ถูกสร้างขึ้นมาแล้ว แต่ว่ามันมีความแตกต่างระหว่างการทำผิดพลาดโดยไม่ตั้งใจ กับการทำผิดพลาดอยู่เสมอๆอยู่ ความโกรธที่เกิดขึ้นย่อมต่างกัน
มันอาจเป็นเรื่องหยาบคายที่จะสร้างภาพลักษณ์แบบนั้นให้กับเธอซึ่งทำงานความสะอาดอย่างหนักทุกวัน
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ อริซซามะไม่ต้องกังวลเรื่องดิฉันหรอกนะคะ”
“อึก ก่ะ”
ท้ายที่สุดมันก็ยากที่จะรู้ว่าทำไมเบลล์ซังถึงอารมณ์เสีย แต่มันคงเป็นการยุ่งมากเกิน เพราะงั้นช่างมันเถอะ
“อึก…..”
ฉันเลือกที่จะเงียบให้กับสถานการณ์ที่ดูละเอียดอ่อน แล้วมองล่อกแล่กไปที่ผนังด้านหลังบันไดเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของตัวเอง แล้วฉันก็เห็นที่ด้านซ้ายมีประตูหนึ่งบาน และที่ด้านขวามีประตูสองบานตั้งอยู่ ฉันไม่สังเกตเห็นตั้งแต่แรกเพราะตอนที่ลงมาจากบันไดแล้วมองรอบๆห้องโถงมันอยู่ที่มุมอับพอดี แต่ดูเหมือนจะมีห้องที่อยู่ลึกเข้าไปอีกสินะ
“สนใจประตูตรงนั้นเหรอคะ?”
“อืม”
ฉันพยายามหาทางออกจากความเงียบในตอนนี้ และดูเหมือนว่าเบลล์ซังจะสังเกตเห็นความตั้งใจของฉันได้เร็วกว่าปกติ เธอนั่งยองๆลงมาเล็กน้อยให้ความสูงของสายตาเท่ากันกับฉัน แล้วมองไปที่ประตูเดียวกันกับฉัน
“ประตูตรงนั้น บานแรกนำไปสู่ที่พักของดิฉันกับเหล่าเมดค่ะ ถัดไปคือห้องครัวและคลังอาหาร และต่อไปคือห้องเก็บของที่เอาไว้เก็บเครื่องมือทำความสะอาดและเฟอร์นิเจอร์ที่ไม่ได้ใช้แล้วค่ะ”
เบลล์ซังชี้ไปที่ประตูแต่ละบานไล่จากซ้ายไปขวาเมื่อมองจากด้านข้างของโต๊ะ เธอถามด้วยความสนใจและเชิญฉันให้เข้าไปดู ไม่มีเหตุผลที่จะต้องปฏิเสธ ดังนั้นฉันจึงพยักหน้าตกลง
“ถ้าเช่นนั้น เรามาเริ่มดูจากห้องครัวกันเลยค่ะ”
“อืม”
ฉันจับมือเบลล์ซังที่ยื่นมารอรับขณะที่ลงจากเก้าอี้ จากนั้นเบลล์ซังก็เดินจูงมือฉันไปที่ประตูทางขวาข้างหน้า พอเข้าไปใกล้ๆแล้วฉันก็รู้สึกเหมือนได้กลิ่นหอมๆลอยมา
“อีกสักครู่ก็จะได้เวลาเตรียมอาหารกลางวันแล้วค่ะ แต่ขณะนี้ยังไม่มีใครอยู่ เนื่องจากภายในมีมีดและอุปกรณ์เวทมนตร์ไฟอยู่ ดังนั้นถ้าหากต้องการที่จะสัมผัสอะไร ได้โปรดถามดิฉันก่อนนะคะ”
“ก่ะ”
แน่นอนว่าฉันไม่อยากแตะของแปลกๆที่อาจจะเผามือตัวเองได้ ดังนั้นฉันจึงพยักหน้าอย่างว่านอนสอนง่าย
จากนั้นประตูก็เปิดออกด้วยมือของเบลล์ซัง กลิ่นของอาหารต่างๆพัดเบาๆเข้ามาที่จมูกของฉัน
ของที่ดูเหมือนอุปกรณ์ทำครัวอยู่ที่ด้านซ้ายของห้องเป็นหลัก
มีโต๊ะขนาดใหญ่อยู่ตรงกลาง มีเครื่องใช้จานชาม และเครื่องครัวหลากหลายประเภทกองพะเนิน
ทางด้านขวามีสิ่งที่ดูเหมือนเตาทำจากหินวางกินเนื้อที่ส่วนใหญ่ไป พื้นรอบๆถูกยกสูงขึ้นขั้นหนึ่ง ดูเหมือนว่ามันจะทำจากหินแทนไม้ และผนังก็เคลือบไว้ด้วยหิน
แน่นอนอยู่แล้วที่จะไม่ปล่อยให้ไฟอยู่ใกล้กับบางสิ่งที่สามารถติดไฟได้ ถัดจากนั้นดูเหมือนจะเป็นรางน้ำที่วางเรียงยาวไปตามด้านข้างของมัน ไฟเป็นภัยคุกคามในทุกยุคทุกสมัย
“ประตูทางด้านหลังห้องเชื่อมต่อกับคลังอาหารค่ะ”
เบลล์ซังชี้ให้ดูประตูใหญ่ข้างหน้า แน่นอนแล้วว่ากลิ่นอาหารต่างๆลอยออกมาจากที่นั้น
ใช้ประตูสองชั้นเพื่อกันไม่ให้กลิ่นไปถึงห้องโถงงั้นสินะ
“เบลล์ นี่ จับได้ไหม?”
“ค่ะ แต่ว่า รอบ ๆ หลุม และ”ชุดพ่นไฟ”…แท่งสีเงิน จะแตะไม่ได้นะคะ”
“อืม”
มีหลายสิ่งที่ฉันสนใจ ทั้งในคลังอาหาร ทั้งมีดทำครัวที่ดูน่าจะหั่นได้ดี แต่ความสนใจของฉันมุ่งไปที่จุดๆหนึ่ง
สิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นเตาที่โดนเบลล์ซังชี้ให้ดู ฉันแน่ใจว่ามันมีเวทมนตร์ไฟ
ฉันสงสัยจริงๆว่าพวกเขาใช้กลไกอะไรในการจุดไฟ
ไม่มี ไม่ว่าจะดูยังไงมันก็เหมือนกับเตาหินธรรมดาๆ ฉันลองสัมผัสพื้นผิวดู แต่ก็เป็นความรู้สึกของหินที่ไม่มีอะไรแปลกประหลาด มีรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีช่องสี่เหลี่ยมจำนวนหนึ่งถูกเจาะเอาไวติดกับพื้น
น่าจะจุดไฟที่นั้น แล้วมันจะร้อนขึ้นเรื่อย ๆ จากภายในสู่ด้านบน
และหนึ่งในแท่งที่ยื่นออกมาจากตรงนั้น แท่งสีเงินที่ดูเหมือนจะเหลืออยู่ครึ่งแท่งที่ดูเหมือนว่าปลายก้านของมันจะโค้งงอติดอยู่กับโพรงในส่วนลึกของแต่ละหลุมในเตา
ฉันสามารถเข้าใจตามลักษณะภายนอกได้เป็นอย่างดี แต่ในทางกลับกันฉันไม่รู้อะไรมากไปกว่านั้น ดังนั้นการขอคำตอบจากเบลล์ซังเป็นทางที่ไวที่สุดแล้ว
“นี่คือ นั้นสินะคะ มันเป็นเครื่องมือที่มีการติด”หินเวทมนตร์”เอาไว้ที่รูของปลายก้านค่ะ สามารถปล่อยไฟออกมาจากรูที่ฝั่งตรงข้ามได้โดยการพูดว่าไฟจงลุกโชน”
พูดง่ายๆคือ ไฟแช็ค หรือหัวพ่นไฟ ของโลกเก่าสินะ นี่เป็นสิ่งทดแทนที่ฉันสามารถเข้าใจได้ถึงความสะดวกของมันทันทีโดยไม่ต้องลองใช้งานจริง
อย่างไรก็ตามมันก็มีคำถามใหม่เกิดขึ้น
สามารถใช้งานได้ง่ายและสะดวกสบาย ฉันเข้าใจสิ่งนั้นดี
แต่ “หินเวทมนตร์” คืออะไรกันน่ะ
“หินเวทมนตร์…..?”
“ค่ะ หินเวทมนตร์คือ ก้อนพลังเวทมนตร์ที่จำเป็นสำหรับการใช้งานเครื่องมือเวทมนตร์ทั้งหมดค่ะ”
“ทุกอย่าง”
“ค่ะ อย่างไรก็ตามมีสถานที่ไม่กี่แห่งในราชอาณาจักรที่สามารถพบหินเวทมนตร์ได้ ดังนั้นประชาชนทั่วไปจึงไม่สามารถใช้งานได้เว้นแต่จะเป็นบ้านของตระกูลผู้สูงศักดิ์ค่ะ”
“อื~ม”
เข้าใจล่ะ จากคำอธิบายของเบลล์ซังที่พยายามอธิบายด้วยคำง่ายๆให้มากที่สุดจนฉันเข้าใจ ดูเหมือนว่า “หินเวทมนตร์” จะเป็นทรัพยากรที่หายากมากๆ
นั่นหมายความว่าการกระจายมี จำกัด
แน่นอน ของที่หายากและมีประโยชน์แบบนี้ การปล่อยให้กระจายไปในเมือง คงเป็นเรื่องไม่ฉลาดนัก
จากมุมมองของระบบที่เรียกว่า “ราชอาณาจักร” มันเป็นสิ่งที่จำเป็น
แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่น่าขันถ้าคุณคิดเช่นนั้น
เหล่าชนชั้นผู้มีอำนาจในชาติก่อนคาดหวังว่าพวกฉันกำลังร้องเพลงสรรเสริญให้กับโลกเสรีของพวกเขา
แต่ทว่าถ้าเราเปิดฝาที่ปิดเอาไว้ เราจะได้เห็นว่ามันไม่มีอิสระภาพนับตั้งแต่ที่พวกเราได้เกิดขึ้นมาแล้ว
พวกเราถูกจัดการแบ่งสรรตั้งแต่ยังเด็ก จากนั้นก็สร้างรากฐานการเป็นทาสกรรมกรในนามของการศึกษาภาคบังคับ ถ้าผ่านมาได้คุณจะได้งานทำ ซึ่งก็คือการถูกจัดสรรชื่อให้กับแต่ละโคโลนี่ หลังจากนั้นก็ทำงานจนตาย
มันคือการปกครองแบบใกล้กับเผด็จการที่เลวร้ายที่สุดแล้ว
อ๊า อิสระเดียวที่เลือกได้คือ การเลือกทำงานจนตาย หรือ ทำงานจนอดตาย แต่แบบนั้นจะเรียกว่าอิสระได้จริงๆงั้นรึ
……ม๊า เรื่องนั้นช่างมันไปเถอะ ในตอนนี้อาจเป็นเพราะฉันอยู่ในตำแหน่งขุนนางเลยมีความสุขได้ขนาดนี้ แต่เท่าที่เห็นในโลกนี้ ขอบเขตระบบของอาณาจักรในโลกนี้ก็ฟังดูดีกว่าโลกก่อน
“……อริซซามะ?”
“…..อะ อืออึ”
ถึงคิดไปตอนนี้มันก็ไม่ได้อะไร สำหรับฉันทุกอย่างยังดูคลุมเคลือจนกว่าฉันจะได้เห็นด้วยตาของตัวเอง แถมทำให้เบลล์ซังเป็นห่วงซะแล้ว
ฉันส่ายหน้าเพื่อไล่เรื่องของโลกเก่าที่กลับมาหลอกหลอนให้หายไปจากหัว ไม่มีอะไรทั้งนั้น และตอบสนองด้วยสีโทนสว่างมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
เบลล์ซังเอนหัวสงสัย แต่เธอก็ไม่ถามอะไรไปมากกว่านั้น นอกจากลูบหัวฉันอย่างอ่อนโยน ในขณะที่ได้รับการลูบหัวอย่างเบามือ ฉันก็ละสายตาจากเตา
“สำรวจจนพอใจแล้วรึยังคะ?”
“อืม”
“ถ้าเช่นนั้น จะไปห้องต่อไปเลยไหมคะ”
ฉันแสดงสายตาที่พึ่งพอใจออกไป เบลล์ซังจึงเสนอที่จะไปต่อ
ไม่มีอะไรผิดปกติกับห้องเก็บของข้าง ๆ แต่หลังจากทั้งหมด ฉันอยากไปดูห้องของเบลล์ซัง
เธอมักจะอยู่เคียงข้างฉันตลอดเวลา แต่ในทางกลับกันในเวลาที่เธอไม่ได้อยู่ข้างๆฉันมีเวลาเดียวคือตอนนอน ฉันอยากรู้ว่าเธอใช้ชีวิตแบบไหน ฉันเป็นห่วงเธอเสมอเลย
“ห้องของเบลล์ อยากเห็น”
“ฟุๆๆๆ ได้แน่นอนค่ะ …..แต่ว่ามันค่อนข้างจะเล็กและไม่ค่อยมีอะไรให้ดูหรอกนะคะ ยังอยากไปอยู่ไหมคะ?”
“อะ อืม”
ฉันกระสับกระส่ายเพราะนึกว่าทำเบลล์ซังโกรธซะแล้ว ก่อนที่เธอจะยิ้มออกเหมือนเหมือนแค่ล้อเล่นเฉยๆ
จนฉันเผลอกลั้นหายใจตอนจะจับมือของเบลล์ซัง
“เช่นนั้นดิฉันจะนำทางให้เองค่ะ อริซซามะ”
“Let’s Go”
“คะ?”
“ม๊ายมีอะร๊าย”
หลังออกจากห้องครัว พวกเราก็กลับมาเป็นปกติทันที
MANGA DISCUSSION