[นิยายแปล] Reincarnated into an Otome Game? Who Cares! I’m Too Busy Mastering Magic! - บทที่2 ตอนที่ 17 การเรียนครั้งแรก
- Home
- [นิยายแปล] Reincarnated into an Otome Game? Who Cares! I’m Too Busy Mastering Magic!
- บทที่2 ตอนที่ 17 การเรียนครั้งแรก
บทที่ 2 ตอนที่ 17: การเรียนครั้งแรก
ชั้นลงตัวลงบนเตียงของชั้นที่เต็มไปด้วยกองพจนานุกรมและหนังสือเรียนเกี่ยวกับสมุนไพร
“อุฟุฟุ… อุฟุฟุฟุฟุ — สำเร็จแล้ว! ในที่สุดชั้นก็รู้ว่ามันทำจากวัตถุดิบอะไร!!”
ขณะที่ชั้นนอนอยู่นั้น ชั้นก็อดไม่ได้ที่จะกำหมัดขึ้นไปบนฟ้า คอนนี่ที่จัดเรียงหนังสืออยู่ใกล้ๆนั้นชินกับอาการแบบนี้ของชั้นแล้ว ดังนั้นเธอจึงทำเพียงแค่ยิ้มออกมาพร้อมกับทำงานของเธอต่อไป
“ยินดีด้วยนะคะ คุณหนู! ดูเหมือนว่าคุณหนูจะพร้อมกับการเรียนในวันพรุ่งนี้แล้วสินะคะ!”
“อื้ม อาจจะนะ…! หนูเองก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเหมือนกัน…”
***
สองสามวันมานี้หลังจากที่พี่สาวทูไลท์ให้การบ้านกับชั้น ชั้นก็เอาแต่หมกตัวอยู่ในคฤหาสน์และห้องทำงานของท่านพ่อเพื่อค้นคว้าหาข้อมูล
อนึ่ง เพื่อการค้นคว้าของชั้น พี่สาวทูไลท์ก็ได้ออกไปเอาวัตถุดิบที่จำเป็นจากที่ของเธอมาให้กับชั้น ในช่วงที่เธอไม่อยู่ ชั้นก็เลยได้ฝึกร่างกายด้วยความเต็มใจซักที
มันค่อนข้างลำบากในการระบุสิ่งที่อยู่ในถุงบุหงาริบบิ้นสีเขียวอันนี้
ยังไงซะมันก็เป็นถุงที่รวมสมุนไพรหลากหลายชนิดเอาไว้แถมยังต้องวิเคราะมันจากกลิ่นด้วย ต่างคนก็ต่างมีประสาทรับกลิ่นที่แตกต่างกันออกไปอีก ดังนั้นชั้นก็เลยไปไล่ถามเรื่องกลิ่นกับสมาชิกในครอบครัวและเหล่าคนรับใช้ทุกคนเลย ก่อนจะจดบันทึกลักษณะกลิ่นของมันอันต่ออันแล้วเทียบกับลักษณะในหนังสือด้วย
ดูเหมือนท่านพ่อกับท่านแม่จะรู้ว่ามันมีอะไรอยู่ข้างในจากการใช้เวทย์ตรวจจับในทันทีอยู่หรอก ทว่าชั้นก็ขอให้พวกเขาไม่พูดอะไรออกมาเพื่อการศีกษาของตัวชั้นเอง
อนึ่ง ครอบครัวของชั้นรู้ว่าท่านพี่ออลูริสนั้นเก็บตัวอยู่ในบ้านของเขา แต่พวกเขาไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น ดังนั้นพวกเขาจึงมีสีหน้าแปลกๆเมื่อเห็นชั้นพูดถึงเรื่องของถุงบุหงา
อย่างไรก็ตาม ปัญหาภายในตระกูลขุนนางนั้นปกติแล้วจะต้องถูกเก็บเป็นความลับเอาไว้ ดังนั้นตัวชั้นกับคอนนี่ที่อยู่กับชั้นในตอนนั้นจึงถูกขอให้เก็บเป็นความลับ
คุณป้าเฟลิเซียกับท่านพี่วิลล์อาจจะหลุดปากพูดออกมาเพราะพวกเขาต้องโน้มน้าวเด็กอย่างชั้นก็จริง แต่ว่า… พวกเขาก็ยังคงกังวลถึงเรื่องนั้นในฐานะขุนนางอยู่ดี
สำหรับตอนนี้ ยากับสมุนไพรวิญญาณที่ใส่ในถุงบุหงาอันนี้ก็คือ:
– ดอกดาวเรือง (Calendula)
– ดอกสะระแหน่ (Sage)
– ดอกโคลท์ฟุต (Coltsfoot)
วัตถุดิบหลักๆที่ใช้ทำถุงบุหงาอันนี้ก็คือ โคลท์ฟุต
ดอกโคลท์ฟุตหรือที่เรียกกันว่าดอกแดนดิไลอันในชาติก่อนของชั้น อันนี่แหล่ะที่พี่สาวทูไลท์พูดถึง
มันก็ยากที่จะเชื่อว่าในโลกใบนี้นั้น ดอกแดนดิไลอันถูกนับเป็นสมุนไพรวิญญาณที่มีค่ามาก มันจะบานในถิ่นทุรกันดารเพียงเท่านั้นด้วย ตอนแรกชั้นก็ต้องค้นหาข้อมูลมากมายเพื่อจะหาว่าอะไรคือข้อผิดพลาดเลย
เรื่องลึกลับของโลกใบนี้ก็คือ มันมีทั้งสิ่งที่เป็นแบบเดียวกับโลกก่อนเด๊ะๆกับสิ่งที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเลย
ยังไงก็เถอะ ตอนนี้ชั้นรู้แล้วว่ามันคืออะไร ขั้นต่อไปก็คือการหาว่าผลของพวกมันคืออะไร
“สัญลักษณ์ส่วนที่เป็นชื่อทางวิชาการของดอกโคลท์ฟุตนั้นเป็นภาษาโลอินโบราณแปลว่า ‘ชั้นจะนำพามันไป’, ดาวเด่นก็คือดาวศุกร์, และสัญลักษณ์ก็คือสายน้ำ”
ตามที่ท่านพ่ออธิบาย ภาษาโลอินโบราณนั้นเป็นภาษาของจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่ที่เคยมีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้
จากความรู้สึกแล้วมันก็คือรากฐานของภาษาในปัจจุบันนั่นเอง ชั้นคิดว่ามันคงเป็นอะไรที่เหมือนๆกับภาษากรีกโบราณในชาติก่อนนั่นแหล่ะ
“ของดอกสะระแหน่นั้น ดาวเด่นคือดาวพฤหัสบดี สัญลักษณ์คือสายลม มีความหมายคือการช่วยให้พ้นบาป และการแคล้วคลาดปลอดภัย… หืมมมม”
ชั้นมั่นใจว่าในชาติก่อนของชั้น ดอกสะระแหน่เองก็มีความหมายทางภาษาละตินด้วยเหมือนกัน แบบสิ่งปกป้องจากความตายอะไรประมาณนั้น
หนังสือโปรดของชั้นในตอนนั้นก็คือ “การโต้วาทีสุดเดือด! ไสยเวท – ความสัมพันธ์ที่ยอดเยี่ยมระหว่างเวทมนตร์กับสมุนไพร”… เรียกย่อๆว่า “ไสยเวทเดือด”
ตอนที่ชั้นยังเป็นทาสบริษัทอยู่นั้น ชั้นอยากจะรู้สึกเหมือนเป็นจอมเวทย์ ดังนั้นชั้นก็เลยอ่านหนังสือพวกนั้นระหว่างเดินทางไปทำงานด้วย ชั้นจำได้เลยว่าคนที่นั่งข้างๆชั้นในตอนนั้นถึงกับขยับไปนั่งเก้าอี้ถัดไปอย่างเงียบๆเลย
อืม มันก็คงจะน่ากลัวจริงๆละนะ ถ้าอยู่ๆก็เห็นทาสบริษัทที่มีรอยคล้ำใต้ตากำลังอ่านของแบบนั้นอย่างบ้าคลั่งอยู่หน่ะ ชั้นเองก็รู้ว่ามันเป็นงานอดิเรกที่น่าสงสัยมากๆ มันทำให้ใครๆก็ต่างสงสัยว่าชั้นกำลังพยายามสาปใครให้ตายอยู่เลยด้วย
โอ๊ะ เอาเถอะ มันไม่เป็นไร เพราะมันใช้ประโยชน์ได้แล้วนี่นา!
“ดอกดาวเรืองนั้นเป็นภาษาโลอินอยู่แล้ว มันหมายถึงวันแรกของฤดูร้อน เมื่อเริ่มเข้าสู่ช่วงหน้าร้อน… เหล่าผู้ใช่เวทมนตร์ทางตะวันตกจะพกมันไปมาในฐานะเครื่องราง โดยการร้อยดอกไม้เข้ากับฟันของหมาป่าเป็นพวงมาลัย หืมมม ดาวเด่นก็คือดวงอาทิตย์ ส่วนสัญลักษณ์ก็คือเปลวไฟ”
ชั้นรวบรวบความหมายทั้งหมดจากแห่งอ้างอิงต่างๆเอาไว้ด้วยกันในกระดาษหนังแผ่นเดียว
ชั้นสามารถใช้มันเป็นพื้นฐานในการหาประเภทของเวทมนตร์ที่ร่ายเอาไว้ได้
ไว้ชั้นจะขอหนังสือเวทมนตร์จากท่านพ่อทีหลังแล้วกัน
อนึ่ง ชั้นได้ไปหาท่านแม่กับออฟรานซ์ซังเพื่อเรียนรู้คำศัพท์กับประโยคยากๆบ่อยๆด้วย ดังนั้นชั้นก็เลยรู้สึกว่าสกิลภาษาของชั้นเริ่มพัฒนาขึ้นแล้ว
มันทำให้ชั้นรู้ว่ามันยังมีคำมากมายที่ชั้นอ่านไม่ออก… ทว่าตัวชั้นเองก็ยังมีอายุเกือบจะ 6 ขวบอยู่นะ ถ้าเป็นในชาติก่อนละก็ ชั้นยังฝึกอ่านฮิรางานะอะไรแบบนั้นอยู่เลย
เหล่าขุนนางคงจะลำบากกับเรื่องพวกนี้ก่อนจะเข้าโรงเรียนแน่ๆ ลูกขุนนางคนอื่นๆจะทำอะไรแบบนี้เป็นปกติเลยหรือปล่าวนะ?
—อืม แน่นอนว่ามันไม่ปกติละนะ ทว่าตัวชั้นไม่มีทางรู้ถึงเรื่องนั้นได้เลย ดังนั้นชั้นจึงยังคงรวบรวมความรู้ต่อไปเรื่อยๆ
“เห็นยังนี้ก็ดูจะเป็นเครื่องรางที่สุดยอดมากๆเลย เป็นพี่ชายที่ค่อนข้างห่วงน้องของตัวเองมากเกินไปจริงๆนะ ท่านพี่ออลูริส…”
ขณะที่ชั้นพึมพำกับตัวเองแบบนั้น คอนนี่ก็ได้พยักหน้าเห็นด้วย
“ถ้าเป็นชั้นละก็ ชั้นคงจะร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจถ้าครอบครัวของชั้นให้เครื่องรางดีๆแบบนี้กับชั้นเลยละค่ะ! ชั้นมั่นใจว่านายท่านวิลเฮล์มจะต้องเข้าใจอย่างแน่นอนเลยค่ะ!”
“อื้ม นั่นสินะ!”
ความกระตือรือร้นของคอนนี่ทำให้ชั้นรู้สึกมองโลกในแง่ดีขึ้น
“แล้วก็นะคอนนี่ เธอมีสีที่ชอบหรือปล่าว?”
“คะ? อืม สีเหลืองละมั้งคะ…? ทำไมหรอคะ?”
ชั้นยิ้มให้กับค่อนนี่ที่กำลังมองมาที่ชั้นอย่างงุนงง ก่อนจะบอกเธอไปว่า
“สักวันนึง หนูจะทำเครื่องรางดีๆแบบนี้แล้วประดับด้วยริบบี้นสีเหลืองให้กับเธอด้วยนะ”
“…!!!”
น่ารัก! คอนนี่ยิ้มออกมาราวกับมีดอกไม้บานสะพรั่งที่รอบๆตัวของเธอก่อนจะเข้ามากอดชั้นทั้งน้ำตา มันน่ารักเกินจะต้านทานจริงๆ
ขณะที่ตัวชั้นถูกกอดอยู่นั้น ชั้นก็ได้ตัดสินใจแล้วว่า ชั้นจะเรียนเยอะๆแล้วจะทำเครื่องรางที่ดีที่สุดในโลกให้กับเธอเลย