นายน้อยเจ้าสำราญ - ตอนที่ 1151 สวามิภักดิ์
ตอนที่ 1151 สวามิภักดิ์
เมืองซ่างหลัวมิได้มีขนาดใหญ่เท่าใดนัก
หากนำมาเปรียบเทียบกับหลายเมืองในต้าเซี่ย มันยังเล็กกว่าเมืองหลินเจียงที่ฟู่เสี่ยวกวนเคยอาศัยเสียด้วยซ้ำ
สำหรับสถาปัตยกรรมของที่นี่ล้วนก่อสร้างด้วยอิฐ มิมีความงดงามใด ๆ ให้ชื่นชม ส่วนพระราชวังของแคว้นซ่างหลัวนั้น…มันมิได้ใกล้เคียงกับคำว่าพระราชวังเลยสักนิด มันเป็นเพียงอาคารทรงเตี้ยที่มีความสูงมิเกินสามชั้น และนี่ก็คือศูนย์กลางอำนาจของแคว้นซ่างหลัว
จักรพรรดิเฒ่าพาเสนาบดีกว่าสามสิบชีวิตมาให้การต้อนรับคณะของฟู่เสี่ยวกวนที่ท้องพระโรงกั๋วเจิ้ง
จักรพรรดิทั้งสองประทับบนแท่นสูงภายในท้องพระโรง โดยมีเฮนรี่ยืนอยู่ด้านหลัง ส่วนเสนาบดีที่เหลือล้วนนั่งอยู่ด้านล่างโดยแบ่งออกเป็นสองฟากฝั่ง
ขุนนางกรมการค้าและขุนนางกรมพิธีการที่ฟูเสี่ยวกวนพามาในครานี้มีจำนวนมากกว่าเสนาบดีของแคว้นซ่างหลัวหลายเท่าตัว เมื่อพวกเขาเข้ามายืนในท้องพระโรงแห่งนี้ พวกเขาก็ได้ครองพื้นที่ทางฝั่งซ้ายเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งก่อให้เกิดความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด
เสนาบดีของประเทศต้าเซี่ยแต่ละคนล้วนสวมใส่อาภรณ์ที่หรูหราทั้งยังดูเปี่ยมไปด้วยกำลังวังชา ส่วนเสนาบดีของแคว้นซ่างหลัวแม้ว่าจะรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ทว่าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับเสนาบดีจากต้าเซี่ยต่างก็พากันหลบหน้าด้วยความประหม่า พวกเขาชำเลืองมองขุนนางจากต้าเซี่ยด้วยหางตา มิกล้าแม้แต่จะหันไปมองตรง ๆ นี่เกิดจากความขี้ขลาดและความรู้สึกต่ำต้อยในใจของพวกเขา
เพียงแค่เครื่องแต่งกาย ขุนนางของประเทศต้าเซี่ยนั้นสวมใส่เสื้อผ้าอาภรณ์งดงามหรูหรา แล้วดูเครื่องแต่งกายของขุนนางแคว้นซ่างหลัวสิ !
เป็นเพียงแค่ผ้าป่านหยาบ ๆ เท่านั้น
นี่เป็นสิ่งที่สะท้อนอำนาจของแคว้นได้เป็นอย่างดี เห็นได้ชัดว่าดินแดนเทพทางตะวันออกเหนือกว่าแคว้นซ่างหลัวในทุก ๆ ด้าน มิว่าจะเป็นเรื่องของการทหารหรือเศรษฐกิจ พวกเขาก็ได้บดบังความยิ่งใหญ่ของแคว้นซ่างหลัวจนมิด
“ทูลจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยผู้ยิ่งใหญ่ พระองค์ได้นำกองทัพอันแข็งแกร่งเข้ามาจัดการกับชาวฝูหล่างจีที่เข้ามารุกรานแคว้นซ่างหลัวจนพ้นจากภัยร้าย ชาวซ่างหลัวทุกคนต่างก็รู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณของฝ่าบาทเป็นล้นพ้น ! ”
“แคว้นซ่างหลัวเคารพและน้อมนอบต่อผู้แข็งแกร่ง ข้า…จักรพรรดิแห่งแคว้นซ่างหลัวนามว่าโดฮา ขอเป็นตัวแทนของราษฎรเพื่อสวามิภักดิ์ต่อองค์เหนือหัว โดฮายินยอมที่จะอยู่เคียงข้างพระวรกายของจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยและจะเชื่อฟังในคำชี้นำของท่านนับจากนี้สืบไป ! ”
เฮนรี่รับหน้าที่แปลคำแถลงการณ์เหล่านี้ จักรพรรดิโดฮายืนขึ้นเพื่อนำตราประทับของตนเองออกมา จากนั้นก็คุกเข่าลงข้างหนึ่งเบื้องหน้าฟู่เสี่ยวกวน
เขาถือตราประทับที่ทำจากหยกสีขาวด้วยสองมือ จากนั้นก็ยื่นถวายให้แก่ฟู่เสี่ยวกวน
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้แยแสแต่อย่างใด เขารับตราประทับมาถือไว้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแล้วเอ่ยออกมาว่า “ต้าเซี่ยเป็นดินแดนเทพทางตะวันออก เป็นดินแดนแห่งจารีตและจริยธรรม ! อาณาเขตของต้าเซี่ยนั้นกว้างใหญ่ไพศาล เจิ้นมีทรัพย์สินเงินทองมากมาย ต้าเซี่ยมิเคยใช้กำลังและอาวุธไปรุกรานแคว้นใด หลักการของต้าเซี่ยคือการสร้างความสัมพันธ์กับต่างแดน ทุก ๆ แคว้นต้องเคารพและปฏิบัติตามขอบเขตของกฎระเบียบที่ต้าเซี่ยได้กำหนดเอาไว้ ! ”
“โดฮา ท่านจงลุกขึ้นมาเถิด แคว้นซ่างหลัวเป็นแคว้นแรกที่เจิ้นมาเยือน แคว้นซ่างหลัวจะยังคงเป็นแคว้นซ่างหลัวดังเดิม จุดประสงค์ของการมาเยือนแคว้นซ่างหลัวในครานี้มิได้มาเพื่อยึดครองอาณาเขตของท่าน และก็มิได้มาเพื่อจับพวกเจ้าไปเป็นทาสแต่อย่างใด ! ”
“เจิ้นได้นำเสนาบดีบางส่วนมาประจำการอยู่ที่นี่ เพื่อคอยชี้นำให้พวกเจ้าเกิดการพัฒนา แคว้นซ่างหลัวจะต้องมีอนาคตที่สดใส และแน่นอนว่าแคว้นซ่างหลัวจะได้รับการคุ้มกันจากประเทศต้าเซี่ย หากมีแคว้นใดกล้าเข้ามารุกรานแคว้นซ่างหลัว นั่นก็เท่ากับว่าพวกเขาเข้ามาระรานต้าเซี่ย เจิ้นจะสังหารพวกมันให้ราบ ! ”
“……”
ในพระตำหนักแห่งนี้มีเพียงแค่เสียงของฟู่เสี่ยวกวนและเสียงของเฮนรี่ที่ดังก้องกังวาน เมื่อฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยจบแต่ละประโยค เฮนรี่ก็จะรับหน้าที่แปลทันที มิว่าจะเป็นขุนนางของต้าเซี่ยหรือขุนนางของซ่างหลัวต่างก็ตั้งใจฟังอย่างใจจดใจจ่อ
สำหรับขุนนางแห่งต้าเซี่ย นี่เป็นคราแรกที่พวกเขาได้มาเป็นสักขีพยานในการเจรจาระหว่างแคว้น
ส่วนขุนนางของแคว้นซ่างหลัวนั้น การเจราครานี้เกี่ยวข้องกับอนาคตของแคว้นซ่างหลัวโดยตรง
โชคดีที่ต้าเซี่ยนั้นร่ำรวยมีเงินทองเหลือเฟือ จักรพรรดิหนุ่มผู้นี้เลยมิคิดจะยึดครองอาณาเขตเล็ก ๆ ที่อัตคัดขัดสนแห่งนี้
แคว้นซ่างหลัวยังคงเป็นแคว้นซ่างหลัวดังเดิม ที่แตกต่างก็คือจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยได้จัดการให้ขุนนางบางส่วนประจำการอยู่ในราชสำนัก นี่ย่อมเป็นเรื่องดีเพราะพวกเขาจะได้มีโอกาสเรียนรู้ทักษะที่ต้าเซี่ยใช้บริหารบ้านเมือง
จักรพรรดิพระองค์นี้ได้ส่งทหารนับพันนายมาประจำการที่เมืองซ่างหลัว นี่ก็เป็นเรื่องดีเช่นกันเพราะกำลังรบที่ไร้เทียมทานของพวกเขาสามารถสู้สิบต่อหนึ่งได้อย่างสบาย ๆ !
เมื่อมีกองทัพที่รบสิบคราชนะสิบคราประจำการอยู่ที่นี่ แคว้นซูเฟิงและแคว้นเทียนเย่าคงมิกล้ามาราวีอีกแน่นอน ซ่างหลัวจะได้พักหายใจหายคอจากสงครามเสียที ราษฎรก็จะกลับมามีชีวิตชีวาดังเดิม
“การแลกเปลี่ยนที่ว่ามิได้จำกัดเฉพาะด้านเศรษฐกิจ ทว่ามันยังรวมไปถึงด้านการทหาร ด้านวัฒนธรรมและด้านการบริหารอีกด้วย ! ”
“เพื่อความสะดวกในการไปมาหาสู่กันระหว่างประเทศต้าเซี่ยและแคว้นซ่างหลัว เจิ้นตัดสินใจที่จะสร้างท่าเรือบริเวณริมชายฝั่งทะเลของแคว้นซ่างหลัว ! ”
“ในอนาคตเจิ้นจะส่งคณะทูตของแคว้นซ่างหลัวไปประจำการที่ต้าเซี่ย เพื่อไปเปิดหูเปิดตาดูความรุ่งเรืองและไปเรียนรู้วัฒนธรรมของต้าเซี่ย”
“อีกอย่าง เจิ้นจะสั่งให้เรือรบกลับไปยังต้าเซี่ย แล้วเจิ้นจะส่งช่างฝีมือและทหารมาประจำการที่นี่จำนวนมาก”
“เจิ้นจะเปิดสำนักศึกษาขึ้นที่เมืองซ่างหลัวแห่งนี้ ผู้คนจากทั้งสองแคว้นจะต้องเรียนรู้ภาษาของกันและกันเพื่อที่จะติดต่อสื่อสารกันได้สะดวก”
“ต้าเซี่ยจะมิยุ่งเกี่ยวกับการเมืองของแคว้นซ่างหลัว ขุนนางของต้าเซี่ยที่ประจำการอยู่ที่นี่มีหน้าที่เพียงแค่ชี้แนะการพัฒนาทางการค้าเท่านั้น”
“กองทัพของต้าเซี่ยจะมิเข้าไปกดขี่ข่มเหงราษฎรของซ่างหลัว พวกเขามีหน้าที่สกัดการรุกรานของศัตรูเท่านั้น ! ”
“โดฮายังคงเป็นจักรพรรดิของแคว้นซ่างหลัวดังเดิม ยังคงเป็นผู้ที่กุมอำนาจสูงสุดและยังคงมีสิทธิ์ทุกประการเหมือนกับที่ผ่านมา ยกเว้นเรื่องนโยบายทางเศรษฐกิจ โดฮา…เรื่องนี้เจ้าต้องทำตามที่ขุนนางของเจิ้นชี้แนะ”
……
นี่เป็นการประชุมระดับชาติที่มิเคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ ในการประชุมครานี้ ต้าเซี่ยและซ่างหลัวได้สถาปนาความสัมพันธ์ขึ้นมา เปรียบได้กับความสัมพันธ์ระหว่างเจ้านายและลูกน้อง นี่ย่อมเป็นผลดีต่อต้าเซี่ย เพราะเท่ากับว่าต้าเซี่ยได้ครอบงำชะตาชีวิตของแคว้นซ่างหลัวโดยทางอ้อมเอาไว้แล้ว
มีสองสิ่งที่ทำให้แคว้นซ่างหลัวเตะตาต้องใจฟู่เสี่ยวกวน อย่างแรกก็คือท่าเรือธรรมชาติ นี่จะเป็นดั่งกระดานกระโดดน้ำที่จะทำให้ต้าเซี่ยกระโจนสู่มหาสมุทร และนับเป็นจุดสำคัญของเส้นทางสายไหมทางน้ำอีกด้วย
และอีกอย่างก็คือ ผืนปฐพีแห่งนี้เป็นดั่งดินแดนทองคำที่เต็มไปด้วยโอกาส !
ฟู่เสี่ยวกวนมิรู้ว่าแคว้นซ่างหลัวมีทรัพยากรใดที่กุมความได้เปรียบเหนือแคว้นอื่น เรื่องเหล่านี้ยังมิสำคัญในตอนนี้ เพราะเยี่ยงไรเสียขุนนางที่เขาให้ประจำการอยู่ที่นี่ก็จำต้องลงสำรวจพื้นที่ พวกเขาคงค้นพบศักยภาพที่ยิ่งใหญ่ของแคว้นซ่างหลัวในเร็ววัน
ทั้งสองแคว้นได้ร่วมกันลงนามในสาส์นตราตั้งสองฉบับที่ท้องพระโรงกั๋วเจิ้ง
ฉบับแรกเป็นการลงนามยินยอมสวามิภักดิ์ต่อต้าเซี่ย !
ส่วนฉบับที่สองนั้นเป็นข้อตกลงทางการค้า !
เนื่องจากซ่างหลัวเป็นแคว้นที่ล้าหลัง จึงจำต้องเพิ่มเติมข้อตกลงจำนวนมากเข้าไปในร่างข้อตกลงทางการค้า อาทิเช่น การสร้างเรือหรือการปฏิรูปเพื่อยกระดับโรงงานเป็นต้น
แน่นอนว่าการทุ่มเทครานี้ของต้าเซี่ยย่อมมีเงื่อนไข เงื่อนไขที่ว่าก็คือให้ซ่างหลัวเปลี่ยนมาใช้เงินตราของต้าเซี่ยอย่างเป็นระบบขั้นตอน
เหล่าพ่อค้าของต้าเซี่ยย่อมจะเข้ามายังแคว้นซ่างหลัวในอนาคต ดังนั้นแคว้นซ่างหลัวจะต้องเปิดการค้าแบบปลอดภาษีเป็นเวลาห้าปีและเปิดให้มีการเข้าถึงสินค้าทุกประเภท !
เงื่อนไขเหล่านี้เหมือนเป็นการรังแกแคว้นซ่างหลัว เพราะสินค้าของแคว้นซ่างหลัวยังคงอยู่ในช่วงเริ่มพัฒนา เมื่อสินค้าของต้าเซี่ยหลั่งไหลเข้ามา สินค้าของแคว้นซ่างหลัวก็คงจะมิมีจุดยืนบนตลาดการค้า
การประชุมครานี้จบลงโดยที่ทั้งสองฝ่ายได้บรรลุวัตถุประสงค์ของตน
โดฮาส่งคนไปตามรัชทายาทกลับมา ส่วนเขาได้พาฟู่เสี่ยวกวนไปเที่ยวชมสวนดอกไม้ของตน
“ข้าขอเอ่ยถามท่านสักหน่อยเถิด สินค้าของประเทศต้าเซี่ยราคาสูงลิ่ว ทางแคว้นซ่างหลัวของท่านจะมีเงินทองมาจับจ่ายใช้สอยเยี่ยงนั้นหรือ ? ” ฟู่เสี่ยวกวนและโดฮานั่งสนทนากันในศาลาพักร้อน ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ท่านโปรดวางพระทัยเถิด ถึงแคว้นซ่างหลัวของข้าจะมิมีเงินตรามากมาย ทว่าทองคำในแคว้นซ่างหลัวนั้น…มีมากมายมหาศาล ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนตาลุกวาวขึ้นมาทันใด ส่วนเฮ้อซานเตาเลียริมฝีปากราวกับมีแผนการร้ายในใจ โดฮาจึงรู้ตัวว่าตนเองได้พลั้งปากไป นี่มิใช่การโยนเนื้อเข้าปากเสือหรอกหรือ ?
“ฝ่าบาท แท้ที่จริงแคว้นที่มีทองคำมากที่สุดคือแคว้นเทียนเย่าพ่ะย่ะค่ะ ! ”
โดฮาโน้มตัวเข้าไปหาฟู่เสี่ยวกวนพลางกระซิบข้างหูว่า “พวกเขา…มีภูเขาทองคำมากถึงสามลูกเลยนะพ่ะย่ะค่ะ ! ”