ทะลุมิติมาเป็นภรรยาของตัวร้าย - ตอนที่ 829 พร้อมหน้า
ตอนที่ 829 พร้อมหน้า
ลู่เจียวอดนึกถึงพวกเขาตอนอายุไม่กี่ขวบไม่ได้ ราวกับลูกแมวน้อย ตอนนี้เติบโตรูปงามและมีความสามารถเช่นนี้ ล้วนเป็นบุตรชายที่นางเลี้ยงดูมา ลู่เจียวพลันรู้สึกภาคภูมิใจในตนเองขึ้นมา
ต้าเป่าก้าวเดินไปข้างกายลู่เจียว เอ่ยเรียกขึ้น “ท่านแม่”
ลู่เจียวจับมือเขาไว้อย่างดีใจ “ดีมาก เจ้าสร้างเกียรติให้ตระกูลเซี่ยเราจริงๆ ในฐานะพี่ชายคนโต เจ้าเป็นแบบอย่างให้น้องๆ ที่ตามมาได้อย่างแท้จริง”
ต้าเป่าได้ฟัง ในใจก็ดีใจจนไม่อาจบรรยาย คล้ายว่าความพยายามของตนเองได้รับการยอมรับ
อู่เป่าน้อยข้างลู่เจียวเอ่ยต่อทันทีว่า “พี่ใหญ่ ข้าบอกกับท่านแม่แล้ว วันหน้าข้าก็จะสอบตำแหน่งจ้วงหยวนกลับมาให้ท่านแม่ได้ดีใจ ท่านแม่บอกว่าหากตระกูลเซี่ยเรามีจ้วงหยวนสามคนก็จะเป็นตระกูลบัณฑิต”
ในที่สุดเซี่ยอวิ๋นจิ่นก็เข้าใจวาจาก่อนหน้านี้ของลู่เจียวว่าหมายความเช่นไร เขาอมยิ้มกล่าวว่า “ท่านแม่เจ้ากล่าวได้ถูกต้อง หากเจ้าสอบจ้วงหยวนได้ ตระกูลเซี่ยเราย่อมเป็นตระกูลบัณฑิต วันหน้าหน้าจะจารึกชื่อไว้ในหน้าประวัติศาสตร์”
อู่เป่าน้อยรีบยืดตัวขึ้นกล่าวว่า “ข้าจะพยายาม”
ลู่เจียวยิ้มมองบุตรชายกับบุตรีสองคน ตั้งแต่ตามนางไปทางเหนือกลับมาก็พยายามอย่างมากมาตลอด
อู่เป่าน้อยพยายามเรียนหนังสือ ไม่เพียงแต่เรียนสี่ตำราห้าคัมภีร์ ยังเรียนรู้ความสามารถอื่นๆ ลู่เจียวเคยคิดว่าบุตรชายคนเล็กเอาแต่ตามติดตามนางแจ คิดไม่ถึงว่าอู่เป่าน้อยถึงกับมีความมุ่งมั่นเช่นนี้ได้ และยังวางแผนเป็น เทียบกับพี่ชายแฝดสี่ของเขาแล้วมีแต่ลึกล้ำกว่า ไม่มีอ่อนด้อยกว่าอย่างแน่นอน
เพราะความสามารถของอู่เป่าน้อย ตอนนี้เซี่ยอวิ๋นจิ่นจึงให้ความใส่ใจกับอู่เป่าน้อยมากขึ้น ส่วนเซี่ยหลิงหลง นอกจากเรียนสิ่งที่สำนักศึกษาสอนแล้วก็ยังเรียนวิชาแพทย์กับลู่เจียว
ก่อนหน้านี้สาวน้อยก็อยากเรียนวิชาแพทย์กับลู่เจียว แต่เพราะบรรดาพี่ชายกลัวนางลำบาก จึงห้ามไว้
แต่ตั้งแต่กลับมาจากทางเหนือ นางก็แสดงท่าทีว่านางไม่กลัวความลำบาก เทียบกับราษฎรทางเหนือพวกนั้นแล้ว นางไม่ได้ลำบากอันใด
นางต้องช่วยผู้อื่นได้เหมือนท่านแม่ นางเรียนวิชาแพทย์ วันหน้าจะไปตั้งสำนักยาหลวงทางเหนือ
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับต้าเป่าเห็นท่าทีนางหนักแน่นเช่นนี้ก็ไม่ได้ห้ามนางอีก
ดังนั้นตอนนี้เซี่ยหลิงหลงมีเวลาก็จะเรียนวิชาแพทย์กับลู่เจียว บางครั้งยังไปช่วยฉีเหล่ยที่สำนักยาหลวง
สรุปตอนนี้คนตระกูลเซี่ยล้วนมุ่งมั่นในเส้นทางชีวิตตน หากจะบอกว่าผู้ใดว่างที่สุดในบ้านก็คงเป็นลู่เจียว
“เอาละ พวกเรากินข้าวกัน กินไปคุยไป”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นยื่นมือไปประคองลู่เจียว ทั้งครอบครัวเดินออกไป พวกเขาเพิ่งจะเดินถึงหน้าประตู ก็ได้ยินเสียงฝีเท้ารีบร้อนตึงตังดังมาจากนอกประตู ยังมีเสียงพ่อบ้านเซียวตะโกนตามมา “คุณชายรอง คุณชายสี่ พวกท่านวิ่งช้าหน่อย วิ่งช้าหน่อย”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวสองคนหยุดลงสบตากัน
คุณชายรอง คุณชายสี่ เอ้อร์เป่ากับซื่อเป่าหรือ เป็นไปได้อย่างไร
ทั้งสองคนหันขวับไปมองหน้าประตู นอกประตูมีเงาร่างสองคนวิ่งมา ไม่ใช่เอ้อร์เป่ากับซื่อเป่าแล้วจะเป็นผู้ใด
ทั้งสองคนวิ่งเข้ามาถึงก็ยิ้มมองเซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียว “ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกเรากลับมาแล้ว”
เด็กหนุ่มสองคนรูปร่างสูงสง่าผึ่งผาย ใบหน้ามีสีน้ำตาลดุจต้นข้าวสาลี แลดูแข็งแรง ไม่ได้ขาวผ่องดังคนในเมืองหลวง แม้ว่าผิวพรรณไม่ขาว แต่กลับไม่ส่งผลต่อความรูปงามของพวกเขา เด็กหนุ่มออกสนามศึกมาย่อมแลดูสุขุมหนักแน่นกว่าเด็กหนุ่มในเมืองอย่างเห็นได้ชัด
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวไม่ทันได้พูดอะไร ต้าเป่ากับแฝดชายหญิงก็ส่งเสียงดังขึ้นก่อน
“เอ้อร์เป่า ซื่อเป่า พวกเจ้ากลับมาแล้ว”
“พี่รอง พี่สี่ พวกพี่กลับมาแล้ว ดีจริงๆ”
แฝดชายหญิงพุ่งเข้าไปดึงเอ้อร์เป่ากับซื่อเป่ามาหัวเราะอย่างดีใจ
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวเองก็ดีใจ เดินเข้าไปดึงเอ้อร์เป่ากับซื่อเป่ามามองดูทั้งสองคน มองประเมินไปพลางขอบตาแดงไปพลาง
“กลับมาก็ดี กลับมาก็ดี”
กล่าวจบ ทั้งสองคนก็ถามขึ้นพร้อมกันว่า “พวกเจ้าไม่ได้รับบาดเจ็บใช่หรือไม่”
พอเอ่ยวาจานี้ออกไป รอยยิ้มเอ้อร์เป่ากับซื่อเป่าก็พลันแปรเปลี่ยนเล็กน้อย ทั้งสองคนส่ายหน้าพร้อมกัน แต่ลู่เจียวไม่ได้พลาดยามพวกเขาสบตากัน ยื่นมือไปลูบแขนเสื้อพวกเขาด้วยสัญชาตญาณ พบว่าแขนพวกเขามีบาดแผลไม่น้อย
ยามนี้นางอดหลั่งน้ำตาอย่างปวดใจไม่ได้
“แม่รู้ว่าพวกเจ้าลำบากมาก”
เอ้อร์เป่ากับซื่อเป่าเห็นมารดาตนจะร้องไห้ ก็รีบลนลานเข้าไปประคองนางไว้ “ท่านแม่ ท่านแม่อย่าได้เป็นห่วง พวกเราไม่เป็นอันใด แม้ว่าได้รับบาดเจ็บ แต่ก็แค่ภายนอก ไม่เป็นอันใดมาก”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเองก็ปลอบใจว่า “โชคดีที่ผ่านเหตุมาได้ ตอนนี้ชนเผ่าเร่ร่อนสิบสองชนเผ่าก็รับรองแล้วว่าวันหน้าจะไม่รุกรานแคว้นต้าโจวเราอีก ยามนี้ไร้สงครามชั่วคราว ดังนั้นเจ้าอย่าได้เศร้าใจไป”
ลู่เจียวพยักหน้าปาดน้ำตา ดึงพวกเขามายิ้มกล่าวว่า “กลับมาก็ดี กลับมาก็ดี”
นางกล่าวจบก็ถามเอ้อร์เป่ากับซื่อเป่าอย่างห่วงใย “หิวแล้วหรือยัง ไป พวกเรากำลังจะกินข้าว พวกเรากินข้าวด้วยกันทั้งครอบครัว”
“อืม”
ทั้งครอบครัวเดินเคียงกันไปเรือนด้านข้างกินข้าว ตอนกินข้าว เอ้อร์เป่ากับซื่อเป่าแบ่งกันเล่าเรื่องสงครามที่อันตรายเหนือกว่าที่ตนเองคาดไว้ เรื่องอันใดเล่าได้ล้วนเล่าหมด
“ครั้งนี้พี่รองทำศึกกล้าหาญ และสังหารพวกชนเผ่าเร่ร่อนสิบสองชนเผ่าไปได้ไม่น้อย ตอนนี้ได้เป็นขุนพลทหารระดับห้าแล้ว”
ซื่อเป่ากล่าวจบ ทุกคนบนโต๊ะอาหารก็หันขวับมองไปยังเอ้อร์เป่า กล่าวแสดงความยินดีกับเขา
“เอ้อร์เป่าเก่งกาจมาก”
“พี่รองร้ายกาจมาก”
เซี่ยหลิงหลงรีบกล่าวทันทีว่า “วันนี้ตระกูลเรามีเรื่องมงคลมากมายจริงๆ เรื่องแรกก็พี่ใหญ่สอบตำแหน่งจ้วงหยวนได้ ตอนนี้เอ้อร์เป่าก็ได้เป็นขุนพลทหารระดับห้า ดีจริง”
เอ้อร์เป่าลูบศีรษะท่าทางเขินอาย “ก็พอไหวกระมัง”
ลู่เจียวรู้ว่าบุตรชายได้ตำแหน่งขุนพลทหารนี้มาเพราะอาศัยฝีมือรุกฟาดฟันศัตรูด้วยตนเอง มองแค่บาดแผลบนตัวเขาก็รู้ได้
ลู่เจียวคีบอาหารที่เอ้อร์เป่าชอบให้เขา ยิ้มละไมกล่าวว่า “ต้าเป่าเป็นแบบอย่างของตระกูลเรา เอ้อร์เป่าก็เช่นกัน”
เจ้าหมอนี่แต่เล็กก็ตั้งปณิธานจะเป็นแม่ทัพแห่งแคว้นต้าโจว ตอนนี้กำลังค่อยๆ ก้าวไล่ตามความฝันตนเองไปทีละก้าว ไม่เลว ไม่เลว
เอ้อร์เป่ายิ้มกว้างทันที จากนั้นก็เขาชี้ไปที่ซื่อเป่ากล่าวว่า “ครั้งนี้ซื่อเป่านำทัพไปซีเป่ยออกรบไม่น้อย วางแผนการรบให้กองทัพซีเป่ยเราได้อย่างน่าเลื่อมใสมาก แม้แต้ขุนพลหวังก็ยังชมเขาไม่ขาดปาก ว่าเป็นเด็กหนุ่มมีพรสวรรค์ ในกองทัพตอนนี้มีคนไม่น้อยต่างชอบซื่อเป่ามาก”
ลู่เจียวหันไปมองบุตรชายสี่ตนเอง ยิ้มกล่าวว่า “ยินดีกับซื่อเป่าด้วย ใกล้ความฝันตนเองเข้าไปอีกก้าวแล้ว”
ซื่อเป่ายกจอกสุราคำนับลู่เจียว “ท่านแม่ ข้าคารวะท่านแม่หนึ่งจอก หากไม่มีท่านแม่ ก็ไม่มีข้าในวันนี้”
ตอนนี้เขาจึงได้รู้อย่างลึกซึ้งแล้วว่า สิ่งที่มารดาสอนเขาก่อนหน้านี้ล้วนมีค่าเพียงใด ตั้งแต่การแพทย์ไปถึงประวัติศาสตร์ จากประวัติศาสตร์ไปถึงหลักการใช้คน จากหลักการใช้คนไปถึงพิชัยสงคราม เรื่องเหล่านี้ล้วนมารดาเป็นคนสอนเขามา
ไม่เช่นนั้นเขาไปนำกองทัพซีเป่ย เวลาเพียงแค่หนึ่งปีสั้นๆ จะทำให้คนยอมรับเขาได้อย่างไร
ลู่เจียวมองเขาอย่างห่วงใย “เจ้าดื่มสุราได้หรือ ใช้น้ำชาแทนสุรา ท่านแม่เข้าใจความตั้งใจของเจ้าแล้ว”
ซื่อเป่าไม่อยากปฏิเสธความหวังดีของลู่เจียว เอ่ยเห็นด้วยทันที “ตกลง”