เวลาผ่านไปไม่รู้ว่านานเท่าไร่ ความเจ็บบนหัวที่กระแทกเข้ากับหินหลายหนก็ทำเอาชาไปหมด แต่ในที่สุดก็เอาหินออกไปจากจุดที่แฟร์อยู่ได้ ตรงหน้าฉันตอนนี้คือซากของรถม้าที่โดนทับจนเละ แทนที่มันจะยิ่งตอกย้ำว่าเธอไม่น่ารอด แต่ฉันก็ไม่สนใจแล้วเข้าไปคุ้ยซากเหล่านั้น
และก็ในที่สุดก็เจอ…
‘นั่นแฟร์หนิ เธอยังไม่ตาย?! เร็วเข้าอิกนิส ถ้างั้นเราต้องรีบแล้ว!!’
‘รู้แล้วน่า’
แฟลชที่เห็นร่างของแฟร์นั้นกลับมาตื่นตัวอีกครั้งอย่างรวดเร็ว แล้วบินวนไปรอบ ๆ เพื่อเร่งเร้าฉัน ตอนนี้แฟร์มีสภาพน่าใจหายมาก บาดแผลเต็มตัวจนเลือดท่วมสีหน้าดูเจ็บปวดดูไม่น่าจะรอดได้เลย แต่ว่า…มีแสงจาง ๆ ห่อหุ้มร่างของเธอเอาไว้ ในมือก็ถือผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งเอาไว้ กลิ่นเวทของเคียร่า…ออกมาจากผ้าผืนนั้น
หลังจากใช้เวลามองได้ไม่นาน ฉันก็รีบก้มลงไปคาบคอเสื้อของเธอออกมา ก่อนจะหมอบลงเอาหัวช้อนตัวแฟร์ให้ขึ้นมาอยู่บนหลัง แต่แบบนี้คงวิ่งเร็วมากไม่ได้ไม่งั้นคง…
‘อิกนิส! มีคนมา!’
‘!!?’
แฟลชที่บินวนไปมาหยุดชะงัก ก่อนจะโฉบลงมากระซิบข้างหูฉัน และมุดตัวไปซ่อนอยู่ในกระเป๋าด้านหลังอานที่ใส่อยู่ ใบไม้พุ่มหญ้ารอบตัวสั่นไหวแสดงให้เห็นว่ามีคนใกล้เข้ามา ฉันก้าวเท้าถอยหลังไปชนกับหน้าผาแล้วจ้องเขม็งไปทิศทางด้านหน้า ขยับหัวชนร่างของแฟร์ไว้เพื่อเป็นการปกป้อง
และไม่นาน ก็มีร่างของมนุษย์ใส่ชุดสีขาวทั้งตัวคลุมผ้าปิดหน้าปิดตาเอาไว้ แน่นอนว่าฉันไม่รอช้าที่จะส่งเสียงขู่ออกไป อีกฝ่ายที่เห็นแบบนั้นก็หยุดขยับทันที ก่อนจะเอามือทาบอกของตนแล้วก้มหัวเล็กน้อย
“พวกเราเป็นหน่วยพิเศษที่เป็นหูเป็นตาของศาสนจักรวารุน ซึ่งได้รับคำสั่งให้มาช่วยเหลือและคุ้มครอง ดังนั้นโปรดวางใจ”
พูดจบ ไม่รู้ว่าเป็นการแสดงความจริงใจหรือว่าอะไร มนุษย์คนอื่นที่ซ่อนตัวอยู่ก็ออกมาอีกสองคน พร้อมทั้งมังกรเมโรฟีลที่ใส่ชุดเกราะทั้งตัวจนปิดหน้าปิดตาไปหมดอีกสามตัว แต่แน่นอนว่าถึงแบบนั้นก็ยังไม่น่าวางใจจึงไม่หยุดส่งเสียงขู่ออกไป ในตอนนั้นแฟลชก็ขยับยุกยิกในกระเป๋า ก่อนจะโผล่หน้าออกมาครึ่งหนึ่ง
แผ่นบางบนจมูกของเขาตั้งขึ้นและสูดดมกลิ่น ถ้าทำแบบนี้แฟลชก็สามารถรู้ความรู้สึกของอีกฝ่ายและจับโกหกได้เช่นกัน เป็นความสามารถที่มีประโยชน์มากเลยล่ะ
‘พวกนั้นไม่ได้โกหกล่ะ แถมฉันก็เคยเห็นด้วย พวกเขาจะทำงานให้กับคนใหญ่คนโตคนนึง แถมยังมีความสามารถกันมากด้วย’
‘…แฟร์คงต้องการความช่วยเหลือจากพวกนี้เหมือนกันสินะ’
ถึงจะน่าเจ็บปวดแต่ฉันก็ผ่อนไหล่ลง แล้วหยุดขู่พวกเขาพลางหมอบให้ร่างของแฟร์ลงสู่พื้น ถึงฉันจะอยากช่วยและปกป้องแฟร์มากแค่ไหน แต่เพราะว่าเป็นมังกรจึงทำอะไรมากไม่ได้ อย่างที่เธอบาดเจ็บอยู่ตอนนี้ทำได้มากสุดเพียงแค่พาไปหาคนรักษา และคนพวกนี้น่าจะพอช่วยได้…
ทั้งสามเดินเข้ามาใกล้และตรวจดูอาการของเคียร่า เหมือนว่าจะเอาใจฉันพอควรจึงทำทุกอย่างอยู่ข้างร่างของฉัน แต่ว่า รู้สึกได้เลยว่าพวกเขากำลังกระอักกระอ่วนกันอยู่ คงเพราะเวทมนตร์ของเคียร่าละมั้ง? หลังจากพวกเขาคุยกันเสียงเบาราวกับกระซิบ ก็เหมือนจะได้ข้อสรุปว่าจะแค่รักษาพื้นฐานเท่าที่ได้ไปก่อน แล้วค่อยไปให้พระสัน…อะไรสักอย่างนี่แหละช่วยต่อ
แต่ถึงพวกเขาจะรักษาเท่าที่ได้แล้วแสงนั่นก็ไม่หายไป
“…ถ้างั้นก็ไปกันเลยดีกว่า ขออนุญาตนะครับ”
เหมือนเขาจะรู้ว่าฉันคงไม่ยอมให้แยกตัวแฟร์ออกไป จึงให้เธออยู่บนหลังฉัน แล้วเอาอุปกรณ์มาช่วยมัดและตรึงร่างของแฟร์อย่างแน่นหนาบนหลัง เท่านี้ก็น่าจะไม่ต้องกังวลเรื่องตกจากหลังแล้ว
“ถ้างั้นแยกกันตรงนี้นะครับ พวกเราจะคอยคุ้มครองและดูเส้นทางให้ โปรดวางใจ”
“กรร…”
ฉันพยักหน้าออกไปแบบนั้น ไม่นานนักร่างของพวกเขาทั้งหมดก็หายลับไปจากสายตา แต่ก็ยังรู้สึกได้ว่าอยู่ไม่ไกลจากนี้ แฟลชจึงออกมาจากกระเป๋าเพื่อมานำทางฉันไปยังเมือง และนี่ก็คงเป็นแรงเฮือกสุดท้ายของฉันพอดี…
‘ใกล้ถึงแล้วล่ะ อีกนิดเดียว’
‘…ขอบใจ’
กลิ่นของแสงแดดยามเช้าเข้าปะทะกับจมูกพร้อมทั้งเสียงของแฟลชที่ให้ข้อมูล ไม่นานนักภาพที่อยู่ตรงหน้าก็คือกำแพงเมืองสูงใหญ่ ที่มองเห็นอาคารซึ่งน่าจะเป็นวิหารตั้งตระหง่านจนมองเห็นจากนอกเมืองได้ ฉันรีบเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นอีกสักนิดก็ยังดี
พอไปถึงหน้าประตูเมืองก็พบว่าไม่ต้องตรวจก่อนเข้า ถึงจะยังงงอยู่บ้างแต่ก็คิดว่าเป็นเรื่องดีจึงวิ่งผ่าเข้าไปทั้งแบบนั้น แฟลชก็เปลี่ยนมาซุกอยู่ในกระเป๋าด้านหลังแล้วคอยบอกทาง เหมือนว่าจะต้องไปที่อาคารใหญ่นั่น โบลและคนที่จะช่วยแฟร์ได้อยู่ในนั้น
“ท่านมังกร เชิญทางนี้ครับ จะได้ไม่เกิดเรื่องโวยวายขึ้น”
มีเสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับคนขี่มังกรที่เหมือนชาวบ้านทั่วไป ก่อนที่ทางนั้นจะเร่งฝีเท้าขึ้นและนำทางไปด้านหลังของวิหาร ที่นั่นมีประตูทางเข้าซึ่งอีกฝ่ายบอกให้เข้าไปด้านในได้เลย แต่พยายามวิ่งช้าลง…
‘อุ๊-’
ฉันที่ไม่ฟังคำเตือนนั้นแล้ววิ่งพรวดเข้าไปด้านในก็ชนเข้ากับบางอย่าง ถึงตัวฉันจะแทบไม่รู้สึกอะไรมาก แต่ก็ดูเหมือนจะทำให้อีกฝ่ายล้มลง จึงหยุดฝีเท้าลงอย่างรวดเร็วแล้วมองไปที่คนนั้น
“อา! อย่าวิ่งในอาคารสิฟะ…อิกนิส? ทำไมหน้าเป็นงั้นล่ะ…แฟร์!!”
เหมือนว่าคนที่ล้มอยู่ตรงหน้าฉันจะเป็นโบลนั่นเอง เขาทำหน้าแตกตื่นแล้วรีบลุกขึ้นมานำร่างของแฟร์ออกจากหลังฉัน ก่อนจะหยุดชะงักไป
“นี่มัน…อะไรเนี่ย”
นั่นสิ ฉันก็อยากรู้เหมือนกัน แต่นี่มันใช่เวลาสงสัยไหมเล่า! พอแฟร์ไปรักษาเร็วเข้าสิ ในตอนที่ฉันส่งเสียงร้องโวยวายพลางกระทืบเท้าให้โบลรีบ ก็สังเกตว่ามีร่างของอีกคนที่เดินตามหลังโบลมาอย่างเชื่องช้า เป็นมนุษย์ที่ตัวสีขาวทั้งตัว แถมยังดูชรามากอีกด้วย ไหวไหมนั่นน่ะ?
“มีอะไรงั้นรึ…”
“อา นี่แฟร์หัวหน้าของเรา แต่ดูเหมือนว่าเธอ…จะเจ็บหนักพอควรเลย นายช่วยรักษาเธอได้ไหม”
โบลหันไปขอความช่วยเหลือจากชายแก่สีขาวคนนั้น ซึ่งกำลังเดินมาช้ามากแล้วส่งเสียง ฮึ่ม ออกมาจากลำคอ สีหน้าของเขาดูอ่อนโยนและใจดีอยู่ตลอด แต่ว่าพอเห็นร่างของแฟร์…เขาก็สีหน้าเปลี่ยนไปแล้วเปิดตาที่ตี่เล็กของเขาขึ้น เผยให้เห็นดวงตาที่แหลมคม
“เวทนั่น…เข้าใจแล้ว เราจะรักษาเดี๋ยวนี้แหละ”
หลังจากนั้นก็ราวกับความเฉื่อยชาเมื่อครู่หายไปในทันที ก่อนจะตรงเข้ามานั่งลงกับพื้นและใช้มือขวาจับผมของแฟร์อย่างเบามือ ส่วนข้างซ้ายก็จับที่สร้อยคอซึ่งซ่อนอยู่ในเสื้อเอาไว้ ก่อนจะพึมพำคาถาอย่างแผ่วเบาจนไม่ได้ยินเสียง…
ทันใดนั้นร่างของแฟร์ก็เกิดแสงสีเหลืองห่อหุ้มร่างเอาไว้อีกชั้น ก่อนที่แผลทุกอย่างจะค่อย ๆ ดีขึ้นอย่างรวดเร็วจนน่าใจหาย และไม่นานนัก เวทของเคียร่าก็ปริออกเป็นรอยแตก และสลายไปในทันที สีหน้าของแฟร์เองก็ดูสบายขึ้นมากกว่าเดิมไม่ทรมานเหมือนเมื่อกี้แล้ว
“กรร…”
ฉันที่เห็นดังนั้นจึงส่งเสียงร้องในลำคอแล้วเอาหัวเข้าไปชนกับแก้มของเธอ ขาที่วิ่งมาไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ก็หนักอึ้งก่อนจะล้มลงนอนหมอบกับพื้น ชายสีขาวจึงหันมามองฉันแล้วเปลี่ยนกลับมามีสีหน้าอ่อนโยนเช่นเดิม
“ไม่มีอะไรต้องห่วงแล้วล่ะ ท่านเองก็…”
เขาพูดเว้นช่วงเล็กน้อยก่อนจะยื่นมือมาที่หัวของฉันอย่างช้า ๆ ในตอนนั้นเองก็นึกขึ้นได้ว่าไม่มีหน้ากากปิดบังใบหน้าอีกแล้ว จึงเผลอสะดุ้งและขดหัวหนีมาเล็กน้อย แต่ไม่นาน ก็รู้สึกได้ถึงฝ่ามือที่ผอมแห้งของมนุษย์ที่แก่ชรา พร้อมกับคำสุดท้ายที่ฉันได้ยิน
“พักผ่อนเสียก่อนเถอะ”
ก่อนจะล้มพับ หลับไปด้วยความเหนื่อนล้าตลอดทั้งคืนที่ผ่านมาในทันที
—————————————- ————————————–
‘ขอบคุณสำหรับการช่วยเหลือ ทางนี้จะรับช่วงต่อเองโปรดวางใจ’
“! ใครน่ะ!”
ในตอนที่สติกำลังล่องลอยไปกับการดื่มยาพลังเวทจนเหนื่อยหอบ ก็ต้องสะดุ้งจนตาสว่างเพราะว่ามีเสียงหนึ่งเข้ามาในหัว…เสียงนั่นพูดเป็นภาษาโบราณ เพราะความแตกตื่นเหงื่อจึงไหลอาบแก้มฉัน ที่กำลังมองไปรอบห้อง ไม่มี ในห้องนี้ไม่มีทางจะมีใครอยู่แน่นอน
ถ้างั้นเสียงนั่นมาจากไหนกัน…
“อะ พลังเวทมัน…”
หยุดแล้ว การดึงพลังเวทไปใช้หยุดลงแล้ว แถมพลังเวทในตัวก็ยังเหลืออยู่ แสดงว่าตอนนี้แฟร์ปลอดภัยแล้วสินะ?
“เฮ้อ~ เกือบไปแล้วเชียว…”
ฉันถอนหายใจลากยาวออกมาแบบนั้นพร้อมทั้งทิ้งหลังพิงไปกับเก้าอี้ ไม่ไหว ๆ ตาจะปิดแล้วนี่มันกี่โมงแล้วเนี่ย…หลังคิดแบบนั้นก็หันไปมองเวลา ป่านนี้แล้วเหรอเนี่ย ริเกลต้องเป็นห่วงแน่ที่ยังไม่โผล่ไปหาเลย แต่ก็…ของีบสักหน่อยก่อนก็แล้วกัน
หรือบางทีฉันควรทึ่งกับตัวเองดีนะ ที่ส่งพลังเวทให้แฟร์ตั้งแต่ช่วง 6 โมงเย็นเมื่อวาน จนถึง 10 โมงเช้าตอนนี้…เอาเถอะ ถ้ามันทำให้ช่วยชีวิตของแฟร์ได้ ก็เรื่องเล็กน้อยล่ะนะ…
ในวันนี้ ฉันหลับลงไปโดยที่รู้สึกโล่งใจจนหุบยิ้มไม่ได้ ในรอบหลายปีเลยล่ะ
————————– ————————-
“อูย เจ็บไปหมดทั้งตัวเลยวุ้ย”
ฉันลืมตาขึ้นมาอีกครั้งโดยที่รู้สึกเจ็บระบมจนเหมือนกับตื่นเพราะความรู้สึกนั้น แต่ว่า นั่นก็หมายความว่าฉันมีชีวิตอยู่ ถึงจะน่ายินดีจนตื่นเต้นไปหมดเลยก็เถอะ แต่ก็…
“ได้ไงวะเนี่ย”
อย่างน้อยฉันก็ไม่ได้โง่จนถึงขนาดไม่รู้ว่า ไอ้แผลที่ตัวเองได้กับสถานการณ์แบบนั้นมันไม่มีทางรอดแน่ แต่ตอนนี้ก็ยังมีชีวิตอยู่แถมยังตื่นขึ้นใน…ห้องที่ตัวเองคุ้นเลย เป็นห้องพักของฉันที่อยู่ในคฤหาสน์ นี่ฉันกลับมาตั้งแต่ตอนไหนเนี่ย แล้วเรื่องการประชุมละ—
“กรร!!”
ในตอนที่กำลังมึนหัวเพราะพึ่งตื่นจากการหลับยาวแล้วคิดอะไรไปเรื่อย ก็มีเสียงร้องที่คุ้นเคยและร่าเริงขึ้นจากด้านข้างพร้อมทั้งร่างของมังกรตัวโตที่พุ่งเข้ามาออดอ้อน
“โอ๊ย ๆ เข้าใจแล้วน่า! ถอยไปก่อนมันเจ็บนะ”
พอพูดแบบนั้น ร่างของมังกรตัวโตก็หยุดชะงักลงและเปลี่ยนเป็นนั่งข้างเตียง โดยที่หางยังส่ายแรงจนเกิดเสียงดัง ฉันรู้ได้ทันทีว่านั่นคือใครแต่พอหันไปมองก็ต้องเปิดตากว้าง ก่อนที่จะ…
“ฮ่า ๆ ๆ อะไรของนายน่ะอิกนิส ไหงอยู่ในสภาพแบบนั้นเล่า ฮ่า— อุก”
ในตอนที่ฉันระเบิดหัวเราะและดูท่าจะมากเกินไปจนทำให้สะเทือนถึงแผลนั่นเอง อิกนิสก็ทำหน้ามุ่ยและส่ายหางเบาลงทันที ส่วนสาเหตุที่ฉันหัวเราะก็เพราะว่า…บนหน้าของอิกนิสนั้น มีเสื้อผ้าพันตรงจมูกขึ้นพาดทางหัวปิดหน้าปิดตาเอาไว้อย่างลวก ๆ จนมองเห็นแค่ตา สองข้าง…ที่ข้างนึงก็โดนปิดไปนิดหน่อยด้วย
เป็นภาพที่ชวนหัวเราะสุด ๆ
“กรร!”
อิกนิสส่งเสียงร้องออกมาราวกับพยายามทักท้วงฉันที่หัวเราะใส่เขา นั่นทำให้ผ้าที่พันอยู่หลุดลงจนเผยให้เห็นใบหน้า…หน้าของเขาที่ไม่มีกระดูกคลุมเอาไว้
“เอ๊ะ กระดูกนั่นเอาออกได้หรอกเรอะ!!”
ฉันตะโกนออกมาด้วยความตกตะลึงยิ่งกว่าการที่ตัวเองตื่นอยู่ตอนนี้ซะอีก อะไรเนี่ย หรือว่านี่ฉันกำลังฝันอยู่รึเปล่า? แต่อิกนิสที่มีใบหน้าโล่งโจ้งนั้นก็แตกตื่นเช่นกัน ก่อนจะรีบหมอบลงกับพื้นแล้วใช้ขาหน้าของข้างปิดตาตัวเองไว้…นี่มันเกิดอะไรขึ้นบ้างวะเนี่ย มีใครพอจะอธิบายให้ฟังได้ไหมนะ…
“มังกรฟารีสกันนั้นขี้อายและขี้กลัว จึงต้องหาหน้ากากปิดบังใบหน้าไว้เพื่อเพิ่มความมั่นใจ…นี่เจ้าไม่รู้มาตลอดเลยรึนี่”
“อะ มอร์เทน นี่ระหว่างที่ฉันหลับไปมีอะไรเกิดขึ้นบ้างเนี่ย แล้วตอนนี้ไปถึงไหนกันแล้ว”
มอร์เทนที่เดินเข้ามาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะเริ่มอธิบายให้กับฉันที่ตามไม่ทัน…ฉันหมดสติไปราว ๆ เกือบสัปดาห์หนึ่งได้ การประชุมของโบลก็ไปได้อย่างราบรื่นจนถึงขั้นต่อไปที่จะประกาศเอกราช แถมตอนที่ฉันไม่อยู่เขาก็ทำข้อตกลงและจัดการบางอย่างร่วมกับโบสถ์ซึ่งอยู่เหนือความคาดหมายไปไกลมากด้วย
อย่างแรกเลยก็คือเรื่องชื่อ กลุ่มทหารรับจ้างที่กระจายสาขาไปทั่วทวีปนั้นจะใช้ชื่อ ฟิว ตามเดิมและมอบหมายให้ฟาริสเป็นคนดูแลสูงสุด แล้วให้พวกฝาแฝดเป็นคนช่วงรองลงมา หรือก็คือกลุ่มสมาชิกเดิมส่วนใหญ่จะแบ่งไปช่วงทางนั้น และส่วนหนึ่งที่มีครอบครัวแล้วอย่างโบลหรือคาวิสจะทำงานกับประเทศ ซึ่งเปลี่ยนชื่อเป็น เซทเฟร่า
นอกเหนือจากนั้นยังมีการก่อสร้างสถานที่อนุรักษ์รักมังกรใกล้สูญพันธุ์ตรงช่องว่างของภูเขา แถมพระสันตะปาปาวาโรที่ 1 ก็ยังเดินทางมาอยู่ที่นี่ด้วยตัวเองอีก จากนี้โบสถ์ใหญ่ของศาสนาวารุนคงย้ายมาที่นี่เช่นกัน…ถือว่าดีไหมนะนั่น
แต่ถึงกระนั้นทุกอย่างก็ดำเนินไปอย่างเงียบ ๆ และเหนือสิ่งอื่นใด พวกเรายังไม่ได้ประกาศเอกราชเลย
“แล้วโบลอยู่ไหนล่ะเนี่ย”
“ฮะ ๆ หลังจากจบการประชุม เขาก็ยุ่งหัวหมุนกับการทำงานเป็นตัวแทนหัวหน้าเลยล่ะ เพื่อให้เจ้าตื่นเมื่อใดก็สามารถประกาศเอกราชได้ทุกเมื่อ”
ฉันขำแห้งออกมาเล็กน้อยก่อนจะค่อย ๆ พยายามลุกขึ้นจากเตียง โดยที่อิกนิสเห็นดังนั้นจึงเข้ามาค้ำไว้ไม่ให้ล้ม จนกลายเป็นว่าฉันนั่งอยู่บนหลังเขาแทน
“ขอบใจนะ…มอร์เทน ฝากอะไรหน่อยได้ไหม ไปเรียกวิเวียนมาให้ทีแล้วบอกว่าเตรียมชุดให้ฉันด้วย แล้วก็ไปบอกโบล ให้เตรียมประกาศเอกราชตอนนี้เลย”
“ตื่นมาอย่างแรกหลังรู้เรื่องราวคือออกคำสั่งเลยรึ หึหึ ใช้งานคนเก่งเสียจริง”
มอร์เทนหัวเราะร่วนออกมาแบบนั้นก่อนจะเดินโบกมือออกจากห้องไป ฉันเองก็ให้อิกนิสพาเดินออกไปห้องทำงาน ไม่นานวิเวียนก็ช่วยแต่งตัวเป็นชุดทางการให้ หลังจากจัดการกับตัวเองเสร็จโบลก็มาตามว่าจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ถึงแม้ว่าทุกคนจะยังทำหน้าเป็นห่วงอยู่ก็เถอะ ว่าพักฟื้นกว่านี้อีกสักหน่อยจะดีกว่าไหม แต่ฉันก็ส่ายหน้าให้กับคำแนะนำนั้นแล้วเดินขึ้นไปบนระเบียงของคฤหาสน์ ที่หันไปทางด้านหน้าของอาคาร ภายในสวนขนาดใหญ่ของคฤหาสน์ในตอนนี้นั้น เต็มไปด้วยคนในเมืองของฉัน ที่แน่นจนล้นออกไปด้านนอก…เดี๋ยวต้องปรับปรุงตรงนี้หน่อยดีไหมนะ อาจจะเปลี่ยนเป็นสวนที่ไม่มีกำแพงกั้น…ไม่สิ ตอนนี้ต้องมีสมาธิกับการประกาศเอกราช
องค์สมเด็จพระสันตะปาปาวาโรที่ 1 เป็นชายวัยชราที่ทั้งตัวย้อมไปด้วยสีขาด ทั้งผมเคลาและเสื้อผ้า การประกาศเอกราชนั้นมีไม่เยอะส่วนหนึ่งก็เพราะฉันมีสภาพแบบนี้ด้วยเลยจัดขึ้นอย่างรวดเร็ว เริ่มด้วยการที่เขาทำพิธีบางอย่างด้วยการใช้สร้อยสัญลักษณ์ของศาสนาวารุนมาแตะตามตัวของฉัน พร้อมทั้งท่องบางอย่างเป็นภาษาโบราณ ซึ่งพึมพำเบามากจนไม่ได้ยิน
และสุดท้าย โบลที่เป็นรองหัวหน้าก็เดินเอาอาวุธคู่ใจมาให้ ก็นะ…เป็นของใหม่ที่ทำให้คล้ายอันเดิมล่ะนะ เพราะว่าอันเก่าคงเละไปพร้อมกับรถม้าแล้ว ในตอนนี้ฉันก็ยืนถือง้าวอันใหม่ที่ดูดีกว่าเดิม พลางเดินไปแสดงตัวต่อหน้าประชาชนทุกคน ตอนนี้ทุกสายตาจับจ้องมาที่ทางนี้จนชวนให้รู้สึกประหม่า
แต่ฉันก็สูดหายใจเข้าลึกเพื่อสงบสติอารมณ์ตัวเอง และยิ้มกว้างออกมาด้วยความมั่นใจแล้วยกง้าวชูขึ้นฟ้าจนสุดแขน พร้อมทั้งธงรูปที่เคยคิดเอาไว้ซึ่งประดับอยู่ด้านซ้ายขวาก็เปิดออกโบกสะบัดไปตามลม
“ฉันในฐานะผู้นำของเมืองนี้ ขอประกาศเอกราชและตั้งตัวเป็นอาณาจักร เซทเฟร่า ณ บัดนี้!!”
ทันใดนั้นเสียงโห่ร้องด้วยความยินดีก็สนั่นไปทั่ว โดยที่ทั้งดวงตาและรอยยิ้มของฉันก็แข็งกร้าวและมั่นคงไม่สั่นคลอน…ต้องพยายามหน่อยล่ะนะ จนกว่าจะถึงวันที่เราได้พบกันอีกครั้ง
————————– ———————-
จดหมายของแฟร์มาส่งเป็นการบ่งบอกว่าตอนนี้เธอฟื้นมาเป็นปกติแล้ว และหลังจากนั้นไม่นานก็ประกาศเอกราชอย่างเป็นทางการ ตอนนี้ฟัวกราคงยื่นมือไปแตะต้องพวกเธอไม่ได้ไปอีกสักพัก…อย่างน้อยก็จนกว่าความขัดแย้งระหว่าง ฟัวกราและฟาเรเรีย จะสิ้นสุดลง
ฉันในตอนนี้ก็กำลังเผชิญหน้ากับราชาของประเทศฟาเรเรียอยู่เช่นกัน โดยที่เรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นอีกแล้วนั่นก็คือ เจ้าชาย โอเรล รวมถึงฉัน เราสามคนได้รับคำสั่งจากราชาโดยตรงพร้อมกันในวันนี้นั่นก็คือ…ให้ออกจากโรงเรียนขุนนางตอนนี้เลย
“จากความขัดแย้งระหว่างประเทศที่เกิดขึ้น เราขอออกคำสั่งนี้ให้กับพวกเจ้าทั้งหมดในนามของราชา แวร์มิล ลูกชายของเรา ขอสั่งให้เจ้าขึ้นเป็นแม่ทัพกองทัพหลักของอาณาจักร และโอเรลเป็นผู้ช่วงของเขา”
“รับทราบครับ”
หลังการออกคำสั่งนั้นทั้งคู่ก็ก้มหัวน้อมรับคำสั่งพลางขานรับ ก่อนที่ชายวัยกลางคนซึ่งเป็นราชาจะหันมาทางฉัน แล้วพูดขึ้น
“ส่วนเจ้า…เคียร่าสินะ เราได้ยินเรื่องของเจ้ามาเยอะเลยล่ะ”
“เป็นเกียรติที่ท่านใส่ใจค่ะ”
“ในฐานะที่เจ้าครอบครองลูกของมังกรพิภพ เฟรริเคีย ทั้งยังมีความสามารถจนเป็นที่ยอมรับได้ จึงขอสั่งให้เลื่อนขั้นมาเป็นอัศวินมังกรของอาณาจักรในทันที เราหวังพึ่งความสามารถของพวกเจ้าทั้งคู่อยู่นะ”
“รับทราบค่ะ”
เหมือนว่า จะได้เป็นเร็วกว่าที่คิดเอาไว้เลยแฮะ…ต้องพยายามหน่อยล่ะนะ จนกว่าจะถึงวันที่เราได้พบกันอีกครั้ง
——————————————- ———————————
(บทส่งท้าย)
“เหล่าดอกไม้แสนงดงามที่กำลังร่วงโรย ข้าวานขอให้ไม่เป็นเช่นนั้น ขอส่งมอบพลังเวทเพื่อยื้อชีวิตดอกไม้นั้น เมื่อยามเหลือเพียงกลีบสุดท้ายโปรดเรียกชื่อของข้า… ”
นั่นคือคำร่ายของ เอนเจิลเรส ฟาวเวอร์ หรือก็คือ ดอกไม้อมตะ วงแหวนเวทที่จะให้ผู้ใช้เรียกชื่อของผู้สร้าง เพื่อดึงพลังเวทมายื้อชีวิตซึ่งกำลังจะร่วงโรย คนที่สร้างวงแหวนเวทนั่นขึ้นมา…
“ใช่คนที่ท่านฝากให้ช่วยจับตาดูไว้งั้นรึ…”
ถึงแม้ว่าตอนนี้จะเหมือนกับเดินเล่นอยู่ในสวนและคุยอยู่กับตัวเอง แต่ว่าก็พูดขึ้นราวกับต้องการคำตอบ ก่อนจะหันไปทางด้านข้างที่เมื่อครู่ว่างเปล่า แต่ในตอนนี้นั้นมีร่างของมังกรขนาดใหญ่…เล็กกว่าครั้งก่อนรึเปล่านะ เขาปรับขนาดร่างกายของตัวเองได้เสียด้วยสิ สมกับเป็นผู้สร้างดราโทก้า โลกแห่งมังกรที่พวกเรายืนอยู่
ร่างนั้นเล็กกว่าตัววิหารเก่าไม่มากนัก แต่ก็เพียงพอที่จะให้ภูเขาตรงหน้าบดบังร่างกายของเขาได้ และในยามราตรีเช่นนี้ร่างของเขาก็ถูกย้อมไปด้วยความมืด ไม่มีเสียงไม่มีการขยับ มีเพียงสายตาที่จ้องมองมาที่ฉันเป็นคำตอบ…แสดงว่าใช่สินะ
“ท่านเฟรริเคีย”
——————————— —————————-
(มุมนักเขียน)
ในที่สุด ก็ดำเนินมาถึงตอนจบของภาค 2 (ฮา) แล้วค่า~ เปาะแปะๆ หลายคนน่าจะพอรู้กันอยู่แล้วว่าแต่เดิมนี่เป็นภาคพิเศษ และใช่ค่ะ! เราคงพูดได้เต็มปากว่าภาคนี้ทั้งภาคเป็นข้อผิดพลาดของเรา แต่ไม่เสียใจหรอกค่ะที่ทำไป ฮ่าๆๆๆ
…ยังไงก็แอบขอโทษจริงๆ ค่ะที่ทำเรื่องผิดพลาดครั้งใหญ่ลงไป ;-; โดยเฉพาะกับบทของริเกล การเดินเรื่องด้วยริเกลที่คงเป็นจุดดึงดูดของทุกๆ คน แต่เราดั้นนน โยกมาเขียนมุมคนอื่นลากยาวเลย (ฮา) แต่ยังไงสุดท้ายแล้ว…ภาคนี้เราก็รู้สึกเขียนสนุกอยู่ดีนั่นแหละ ฮ่าๆๆๆ
เอาเถอะๆ …ในภาค 3 ก็จะกลับมามุมมองของริเกลเป็นหลักเช่นเดิมแล้วค่ะ แต่แอบแง้มว่า คงมีสลับมุมมองไปมาเป็นบางครั้งอีกแน่ เพราะว่าในภาคต่อไปเนื้อเรื่องก็จะเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็หาจุดลงให้กลับมาสบายๆ ชิลๆ เหมือนเดิมตอนช่วงท้าย…ซึ่งแน่นอนเราไม่รับประกันว่าจะปาไปสักกี่ภาคกี่ตอนจบ แต่ว่า โดยรวมคิดเอาไว้หมดแล้ว เหลือแค่เขียนระหว่างทางไปค่ะ
และที่บอกไม่ได้ว่าจะมากเท่าไหร่ กี่ภาคกี่ตอนนี้…ขอยกตัวอย่างภาค 2 นี่เลยค่ะ (ฮา) การที่เราจะกำหนดจำนวนตอน จำนวนภาค แล้วเขียนให้อยู่ในกรอบนั้นเนี่ย อย่าหาทำเลยค่ะ อย่างน้อยที่สุดเราก็ไม่อยากเร่งๆ ตัดๆ ออกให้จบเร็วตามกำหนด ;-; แต่เนื้อเรื่องก็ยังอยู่ในกรอบที่วางเอาไว้ไม่เปลี่ยนแปลงค่ะ ฮ่าๆๆ
แล้วก็เรื่องสำคัญที่จะแจ้งไว้ เหมือนเป็นธรรมเนียมเวลาจบภาคไปแล้วค่ะ (ฮา) นั่นก็คือ…ก่อนจะขึ้นภาค 3 เราอาจจะเว้นช่วงสักระยะนึงนะคะ (หันไปมองตอนเริ่มภาค 2 ที่พูดแบบเดียวกัน) ระ- รอบนี้จะเว้นจริงๆ หน่า! คราวนี้มีทั้งงานทั้งเรียนพิเศษ ทั้งทำรวมเล่— เพราะงั้นได้เว้นช่วงจริงแน่!!
…..แต่จะพยายามหายไม่เกิน 2…หรือ 1 เดือนค่ะ จะพยายามหายไปไม่นานแล้วแบ่งเวลามาเขียนนั่นแหละค่ะ เพราะเราไม่ได้กลัวแค่ทุกคนลืมหรือขาดตอนกันขนาดนั้นหรอก เรากลัวว่าเราจะกลับมาเขียนต่อเองไม่ได้ซะมากกว่า ฮ่าๆๆ ดังนั้นถึงจะยุ่งหรืออะไร ถ้าคิดถึงเดี๋ยวเราก็หยิบมาเขียนเองแหละ~ ก็นะ นิยายคลายเครียดแก้เหนื่อยนี่นา ถ้าเหนื่อยหรือล้าก็ต้องมาเขียนช่วยบรรเทาสิเนอะ!!
และเพราะแบบนั้น ถ้าเราได้ช่วยบรรเทาใครสักคนด้วยก็คงดีไม่น้อยเลยค่ะ ><
แหมๆ โม้มาซะเยอะแล้วกลับมาพูดถึงเรื่องสำคัญอีกอย่างดีกว่าค่ะ นั่นก็คือ ชื่อเรื่องค่ะทุกคน ชื่อเรื่อง ถ้าคนที่ทันชื่อเก่าก็…จะเห็นได้ว่านี่เป็นชื่อเรื่องครั้งที่สอง แน่นอนว่าเกริ่นมาขนาดนี้เรากำลังจะเปลี่ยนชื่อเรื่องอีกนั่นเอง ฮ่าๆๆ แล้วปกก็จะเปลี่ยนด้วยเหมือนกัน เป็นภาพของภาค 2 ที่พึ่งจบไปหรือถ้าให้พูดเป็นเล่ม (ที่วางแผนไว้) ก็คือเล่มที่ 2 นั่นเองงง
ดังนั้นเลยจะแจ้งเอาไว้ก่อน และจะเปลี่ยนชื่อเรื่องในวันที่…สักพรุ่งนี้เลยแล้วกันค่ะ ฮา พอดีเป็นคนใจร้อน— แค่กๆ ขอโทษค่ะ แต่ปกเดี๋ยวลงตอนนี้เสร็จก็จะไล่เปลี่ยนทุกเว็บเลย แล้วก็ชื่อเรื่องที่จะเปลี่ยนนั่นก็คือ
“ชีวิตใหม่ในดราโทก้า ดินแดนมังกร”
และรูปปกของภาค 2 แถมยังเป็นภาพส่งท้ายฉากปิดภาค 2 กำเนิดเขตแดน ทหารรับจ้าง อีกด้วยค่ะ!! (เปลี่ยนชื่ออีกแล้ว ฮา)
อาาาา!!! ไม่ไหวแล้วค่ะ ในเว็บแมวดุ้นต้องขออภัยนะคะ ปกมันเปลี่ยนยากมากเลยค่ะ(หรือเราทำไม่เป็นเองหง่า ;-;) คงไม่ได้เปลี่ยนเป็นปกใหม่ ต้องขออภัยจริงๆค่ะ //หัวร้อนนน
MANGA DISCUSSION