ชีวิตใหม่ในดราโทก้า ดินแดนมังกร - ตอนที่ 44: ภาค 2 ตอนที่ 21 กลิ่นอายของสงคราม
การรวบรวมคนเพิ่มเป็นไปได้อย่างราบรื่น แต่ว่าตอนนี้จะเน้นไปที่การฝึกและเรียนพื้นฐานก่อน มีแค่งานอย่างดูแลความปลอดภัยภายในเมืองเป็นหลัก ส่วนคนที่มั่นใจว่าทำงานเป็นกลุ่มได้แล้วก็จะส่งไปทำงานว่าจ้างเล็กน้อยที่เข้ามา
เนื่องจากเรามีพื้นที่น้อยและในตอนแรกไม่ได้วางแผนเอาไว้ แรกเริ่มจึงจะให้ทุกคนเรียนในโบสถ์ของศาสนาวารุน ซึ่งเรื่องนี้ตัวบาทหลวงอย่างมอร์เทนเป็นคนเสนอจึงไม่มีปัญหา ก็นะ สร้างมาตั้งใหญ่ได้เอามาใช้ประโยชน์แบบนี้ก็ดีแล้ว
ส่วนโรงเรียนจริง ๆ นั้นก็ยังคงสร้างต่อไป แต่หลังสังเกตได้ว่าแค่โบสถ์ก็มากเพียงพอแล้ว จึงตัดสินใจเปลี่ยนให้เป็นสถานรับเลี้ยงเด็ก มีทั้งเด็กกำพร้าที่อาศัยอยู่ในนั้น รวมไปถึงเด็กภายในเมืองที่รับฝากไว้ด้วย สำหรับพวกเขาในแต่ละวันเน้นไปที่การเล่น
เด็ก ๆ ก็ต้องคู่กับความสดใสและสนุกสนานสิ จะให้นั่งเรียนจริง ๆ จัง ๆ ได้ไงกัน ในตอนแรกฉันคิดแบบนั้นจนรู้สึกขัดใจกับแผนแรกของตัวเองที่จะเป็นโรงเรียนของเด็ก เพราะดูจากคาบเรียนของพวกทหารรับจ้างแล้วมันค่อนไปทางตึงเครียดมากกว่า ในส่วนนี้เคียร่าเลยแนะนำมาว่า ให้จัดรูปแบบการสอนสำหรับเด็กแยกอีกที
หลังจากอ่านทำความเข้าใจก็สรุปได้คร่าว ๆ ว่าให้สอนไปพร้อมกับการเล่นสนุกล่ะมั้ง? ด้วยเนื้อหาที่เข้าใจง่ายและน่าฟัง ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่แต่ก็เอาไปบอกกับพวกวิเวียนที่ได้รับหน้าที่ดูแล ก็เหมือนว่าจะเข้าใจและเตรียมการได้แน่นอน
ตอนนี้ทุกอย่างกำลังเข้าที่เข้าทางและไปได้สวย แต่ถึงกระนั้นก็มีเรื่องให้ชวนปวดหัวเข้ามาอีก
“ฟัวกราเริ่มเคลื่อนไหวแล้วเรอะ…”
ฉันพึมพำออกมาแบบนั้นหลังอ่านรายงานข่าวสาร ที่แบ่งกลุ่มออกไปรวบรวมมา มีลูกน้องทหารรับจ้างของฉันบางคนเก่งในเรื่องหาข่าว ซึ่งนั่นก็ช่วยได้มากเลยล่ะ เพราะอาจารย์สอนเอาไว้เสมอว่าคนที่มีข้อมูลมากที่สุดจะเป็นผู้ชนะ
ซึ่งรายงานที่ว่าก็เป็นเกี่ยวกับความขัดแย้งของฟัวกราและฟาเรเรีย ตอนนี้ในฝั่งประเทศมหาอำนาจอย่างฟัวกรากำลังพยายามแสดงความน่าเกรงขามของตัวเอง โดยการรวมกำลังทางทหารจำนวนมากราวกับกำลังเตรียมทำสงคราม
แถมยังกดดันฟาเรเรียจนต้องปิดพรมแดนข้ามประเทศไปอีก เรียกได้ว่าตึงเครียดในระดับที่ถ้าความอดทนของฟาเรเรียหมดลงเมื่อไหร่ สงครามก็เกิดได้ทุกเมื่อ เพราะถึงจะเป็นประเทศที่อ่อนแอแค่ไหน ก็คงไม่มีทางยอดแพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มสู้
กดดันจังนะ ถ้ามองในแง่ปัจจัยหลายอย่างฟาเรเรียไม่มีทางชนะได้เลย เพราะด้วยความที่ประเทศโดนล้อมด้วยภูเขา แถมยังโดนปิดกั้นชายแดนเอาไว้ทำให้ไม่มีสินค้าไหลเวียน ถ้ามีสงครามขึ้นมาละก็ลำบากแน่
“นี่เคียร่า…เธอจะทำยังไงเหรอ”
ฉันหน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยความกังวล มองไม่เห็นทางชนะของเธอเลย แต่ก็ไม่อยากให้เธอแพ้เหมือนกัน ถ้าหากฟาเรเรียเป็นประเทศแพ้สงคราม…เคียร่าจะต้องลำบากแน่ คงมีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นกับเธออย่างไม่ต้องสงสัย
ถึงจะมีริเกลอยู่ก็ยังวางใจไม่ได้เลย แต่ฉันในตอนนี้ทำอะไรได้บ้างนะ…
“อา!! คิดไม่ออกเลยวุ้ย!!”
ว่าแล้วไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ มือของฉันก็หยุดการทำงานเอกสารบนโต๊ะไปแล้ว ไม่ไหว แบบนี้ทำงานไม่ได้แน่ ออกไปเปลี่ยนบรรยากาศสักหน่อยดีกว่า แค่นิดเดียวคงไม่เป็นอะไรหรอก
ท้ายที่สุดฉันก็ตัดสินใจลุกออกจากที่นั่งตัวเอง แล้วเดินออกไปด้านนอกของห้อง เจอเข้ากับลูกน้องที่กำลังขนเอกสารอยู่
“เอ๋ หัวหน้ามีอะไรเหรอครับ”
“เปล่า แค่ไม่มีสมาธินิดหน่อยเลยจะไปเดินเล่นน่ะ…ถึงจะไม่รู้ว่าไปไหนดีก็เถอะ”
“ฮะ ๆ เข้าใจเลยครับ…อะ ได้ยินมาว่าบาทหลวงกำลังอยากคุยกับหัวหน้าอยู่พอดีเลย”
มอร์เทนน่ะเหรอ? มีอะไรกันนะถึงได้อยากคุยกับฉัน แต่เอาเถอะอย่างน้อยก็น่าจะพอคั่นเวลาได้บ้าง หลังจากพูดขอบคุณลูกน้องคนนั้นจบก็มุ่งหน้าไปที่โบสถ์ทันที แต่ว่า…เขาไม่อยู่
หลังจากถามคนในละแวกแถวนั้นก็ได้คำตอบมา ซึ่งชวนให้รู้สึกหัวเสียอย่างประหลาด พลางเดินไปตามที่หมาย
‘ปัง!’
“เฮ้ย! มอร์เทนอยู่ไหม!!”
“เอ๊ะ หัวหน้า?!”
เมื่อเดินถึงอาคารซึ่งเป็นที่หมาย ฉันก็เปิดประตูเข้าไปอย่างแรงพลางตะโกนเรียกด้วยความหงุดหงิด นั่นก็คือร้านเหล้าที่เปิดตั้งแต่หัววันนั่นเอง ใช่…ตอนนี้มอร์เทนกำลังกินดื่มอย่างรื่นเริงกลางวันแสก ๆ อยู่ในร้านแห่งนี้
ทุกคนในร้านหันมามองฉันด้วยสายตาแปลกใจปนหวาดหวั่น เพราะว่าตั้งแต่สร้างเมืองมาฉันก็ไม่ได้โผล่ไปร้านเหล้าอีกเลย ส่วนหนึ่งก็เพราะไม่ว่าง อีกส่วนก็คือไม่มีความจำเป็นต้องมา ฉันไม่ดื่มเหล้า งานก็กองสุมอยู่ในห้อง ข้าวก็มีคนรับใช้ทำให้ในคฤหาสน์
จึงแทบจะบอกลาสถานที่แห่งนี้ไปแล้ว
“โอ้ อะไรกัน เจ้าหนูมาหาข้าเหรอ~ มาสิ ๆ มาดื่มด้วยกัน”
เสียงของลุงมีอายุส่งเสียงเรียกให้เข้าไปหา ภาพที่ฉันเห็นคือคนใส่ชุดบาทหลวงที่กำลังเมาปลิ้นอยู่ในร้านเหล้า ทำเอาฉันต้องถอนหายใจออกมา
“ฉันไม่ดื่มเหล้า อีกอย่าง ไหงมาอยู่ในที่แบบนี้กัน ขอน้ำผลไม้หนึ่งแก้วด้วย”
ถึงจะบ่นออกไปแบบนั้น แต่ฉันก็เดินเข้าไปนั่งลงที่โต๊ะเดียวกับเขา แล้วหันไปสั่งเครื่องดื่มของตัวเอง หือ จะว่าไป…
“นั่นคาวิสเรอะ?”
เมื่อเห็นชายคุ้นหน้าเดินเข้าไปในร้านฉันก็ส่งเสียงทักออกไป พอมองดูดี ๆ แล้วคนในร้านนี้ก็เป็นลูกน้องชุดแรกของฉัน ที่มีวันหยุดตรงกับวันนี้พอดีกันทั้งนั้นเลย อะไรกัน
“พวกนายเนี่ยนะ…ได้วันหยุดมาก็คลุกอยู่กับเหล้าแต่หัววันเลยเรอะ ไม่ทำอย่างอื่นบ้างรึไง”
ทุกคนมองหน้ากันเล็กน้อยแล้วหัวเราะลั่นออกมา ถึงฉันจะตำหนิออกไปแบบนั้นแต่ก็คลี่ยิ้มบางออกมาเหมือนกัน เพราะนี่คือบทสนทนาตามปกติตอนพวกเรารวมกลุ่มกันช่วงแรก แล้วไม่นานชายสุดขี้เก๊กก็เอาน้ำมาวางให้
“อา พอภรรยาย้ายมาอยู่ที่นี่ ก็อยากเปิดร้านเหล้าขึ้นมาน่ะ วันหยุดแบบนี้เลยจะมาช่วยงานเหมือนกัน เพราะอาหารที่ฉันทำอร่อยที่สุดนี่นะ!!”
“หึ ไม่จริงหรอก”
เคียร่าต้องทำอร่อยกว่าแน่ ฉันพึมพำออกมาแบบนั้นปิดท้ายแล้วยกน้ำขึ้นดื่มพร้อมทั้งรอยยิ้มอย่างซุกซน ชวนให้ทุกคนหัวเราะเช่นกัน…แต่หัวข้อแซวกลับเป็นเรื่องที่ฉันพูดถึงเคียร่ามากกว่า หน๊อยเจ้าพวกนี้ รู้ดีนักนะว่าฉันไม่เคยกินอาหารฝีมือเคียร่า ฝากไว้ก่อนเถอะ
ในตอนนั้นเองนักบุญขี้เมาตรงหน้าก็กลั้นขำไม่อยู่และหัวเราะออกมา
“อุ๊ป ฮ่า ๆ พวกเจ้านี่สนิทกันดีนะ”
“ห๋า นั่นมันก็แน่อยู่แล้วไม่ใช่เรอะ ก็เจ้าพวกนี้น่ะเป็น—”
และเพราะกำลังไหลกับบรรยากาศโดนลูกน้องปั่นหัวอยู่รึเปล่านะ ถึงได้เผลอตอบกลับมอร์เทนไปอย่างรวดเร็วจนลืมคิด และเกือบเผลอหลุดพูดคำน่าอายไป แต่ก็…เหมือนว่าจะไม่พ้นจากเงื้อมมือของเขาแน่
เพราะตอนนี้เขากำลังจ้องมองมาที่ฉันพร้อมทั้งยิ้มอย่างกวนประสาท ก่อนจะเซ้าซี้ถามด้วยใบหน้าที่แดงแจ๋เพราะเมา
“เอ๋~ เจ้าพวกนี้เป็นอะไรนะ ไม่ได้ยินเลย~”
“ชิ”
พอเป็นแบบนั้นจริง ๆ ฉันก็เดาะลิ้นออกมาอย่างไม่ปิดบัง เพราะหมอนี่มันพูดเสียงดังจนดึงความสนใจของทุกคน และเฝ้ารอคำตอบจากปากฉัน
นั่นทำให้สายตาของฉันหลบทุกคนด้วยความรู้สึกประหลาด ก้มหน้าราวกับจะไม่ให้ใครเห็น แล้วพูดออกมา…
“เป็น…ครอบครัวของฉัน”
“…”
เงียบสงัด บรรยากาศรอบตัวเหลือแต่ความเงียบสงบ เพราะไม่ได้มองเลยไม่รู้ว่าทุกคนทำหน้าแบบไหน แล้วทำไมถึงเงียบ แต่ก็…อึดอัดวุ้ย
“อะ- อะไรของพวกนาย!! อย่าเงียบกันดิเฮ้ย!”
สุดท้ายก็ทนความเงียบไม่ไหวแล้วเป็นฝ่ายตะโกนขึ้นมาซะเอง พอโดนทักแบบนั้นทุกคนก็ขยับยุกยิกแล้วหลบตาไปทางอื่นกันหมด และคนที่ช่วยให้หลุดจากบรรยากาศแบบนี้ก็คือมอร์เทน
“ฮ่า ฮ่า!! ไหน ๆ หัวหน้าที่เอาแต่หมกตัวในห้องทำงานก็แวะมาทั้งที ไม่เอาอาหารมาสักหน่อยล่ะ!”
“โอ้! นั่นสินะ หัวหน้าไว้ใจผมได้เลย จะทำของที่อร่อยที่สุดให้หัวหน้าเอง!!”
“หึ ตามใจเถอะ”
เมื่อฉันบอกปัดแบบนั้นพร้อมทั้งถอนหายใจออกมา ทุกคนก็กลับมารื่นเริงกันอีกครั้ง ภายในร้านเหล้าเล็ก ๆ แห่งนี้ก็เต็มไปด้วยเสียงพูดคุยหยอกล้อกันไปมา แต่ถึงกระนั้นก็ได้ยินเสียงพึมพำออกมาจากบาทหลวงขี้เมา เบาจนจับใจความไม่ค่อยได้นัก…
“หึหึ เห็นหดหู่มาเชียว แต่เหมือนว่าจะไม่ต้องถึอมือข้าหรอกกระมัง…”
————————— —————–
“จะว่าไป…จริงรึเปล่าที่ตอนนี้ฟัวกรากำลังรวบรวมทหารอยู่”
“…ได้ยินมาจากไหนน่ะ”
“ข่าวลือน่ะ”
หลังจากกินดื่มกันจนไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน โบลที่พอมีเวลาว่างเหลืออยู่บ้างก็มาร่วมวงด้วย พร้อมทั้งยิงคำถามนั้นออกมา จริงด้วย…ฉันก็กังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่นี่นะ
“อืม…ใช่แล้วล่ะ”
“แต่สงครามระหว่างฟัวกรากับฟาเรเรียเหรอ…หัวหน้าไม่อยากให้ฟาเรเรียแพ้สินะ แบบนั้นก็แย่เลยนะ”
“หือ ทำไมล่ะ”
ฉันที่ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องของแต่ละประเทศเท่าไหร่นักก็มองโบลด้วยแววตาสงสัย ในตอนนั้นเองคำตอบที่ทำให้หัวหมุนยิ่งกว่าเดิมก็ออกมาจากปากเขา
“ก็นั่นไง…พวกนั้นคงมาเรียกให้เราส่งทหารไปร่วมด้วยแน่ เพราะจากที่เขาพูดกันมาฟัวกราตั้งใจจะขยี้ฟาเรเรียเต็มที่เลย”
“อะไรทำให้พวกนั้นทำถึงขนาดนั้นกันนะ ไม่มี ทางหยุดสงครามเลยรึไง”
ฉันใช้นิ้วนวดขมับเล็กน้อยและบ่นออกไปแบบนั้น โบลเองก็ยักไหล่เป็นนัยบอกว่าไม่รู้เช่นกัน แล้วบาทหลวงที่เหมือนจะไม่ได้ฟังก็พูดแทรกขึ้นมา
“ทหารรับจ้างที่ไม่อยากให้มีสงครามรึ…หึหึ มังกรพิภพคงจะมาเยือนทวีปแห่งนี้แล้วกระมัง”
“…เคยบอกไปแล้วไง ว่าอย่าใช้คำเปรียบเทียบแบบนั้น มันเข้าใจยากนะ”
คำที่เขาใช้ในช่วงท้ายของประโยคนั้นมีความหมายว่า เป็นสิ่งที่แทบจะไม่มีทางเกิดขึ้น เพราะว่ามังกรพิภพนั้นไม่ออกมาให้ผู้คนเห็น บางทีหมอนี่ก็ชอบพูดอะไรแบบนี้จนเกินความเข้าใจไปมากโข
เจ้าตัวไม่สนใจคำตินั้นแล้วหัวเราะร่วนออกมา
“แต่วิธีหยุดสงครามรึ…ไม่มีทางหรอก ฟัวกราที่ยั่งยืนมานานหลายช่วงอายุคนบัดนี้กำลังผยองกำลังของตนเต็มที่ คงถึงเวลาแล้วกระมัง…ที่จะรุกรานยังที่อื่น โดยเริ่มที่ประเทศฟาเรเรียซึ่งจัดการได้ง่ายที่สุด ไม่นานนักก็คงหมายครองทั้งทวีปเป็นแน่ วิธีหยุดประเทศที่คลุ้มคลั่งเช่นนั้นก็มีเพียง…”
-ถูกทำลาย คำพูดสุดท้ายของมอร์เทนทำให้ทุกคนกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ประเทศที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นจะถูกทำลายได้เหรอ…นั่นคือความคิดของฉันที่ฟัง แต่ว่า…ถ้าจะปกครองทั้งทวีปคงพุ่งเป้ามาที่แห่งนี้เช่นกัน ถ้างั้นไม่ช้ารึเร็ว…นั่นก็ต้องเป็นเป้าหมายของฉันเหมือนกัน
การทำลายประเทศมหาอำนาจนั่น
เฮ้อ จะเป็นไปได้เรอะ หลังลากับทุกคนแล้วมุ่งตรงกลับมาที่ห้อง ฉันถอนหายใจลากยาวออกมาพร้อมทั้งทิ้งตัวลงบนเตียง จะว่าไปจดหมายที่เคยได้จากฟัวกรา เรื่องที่ฟัวกรากำลังจะขยายอำนาจ…ไม่แน่ ที่แรกที่พวกเขาจะขยี้อาจจะไม่ใช่ฟาเรเรีย แต่อาจจะเป็นที่นี่ก็ได้
“…”
ฉันหวนนึกย้อนกลับไปวันแรกที่เจอพวกกลุ่มวิเวียน พวกเขาถูกขับไล่ออกจากที่อยู่เดิม โดนพูดเต็มปากว่าไม่ใช่คนของที่นั่น ทั้งยังถูกเหยียดหยามอีกต่างหาก ถ้าจะต้องเป็นส่วนหนึ่งกับประเทศแบบนั้นล่ะก็…ขอให้ข้ามศพฉันไปก่อนเถอะ
หลังตั้งมั่นเช่นนั้นในใจแล้วก็หลับตาลง จมดิ่งสู่ความฝัน เพื่อตื่นขึ้นมาพบเจอกับข่าวร้ายที่คาดเดาเอาไว้…และตัดสินใจวิธีแก้ปัญหา
——————– ———————
ถัดจากเรื่องประเทศโดนปิดทางเข้าออกแล้ว ต่อมาก็คือจดหมายจากแฟร์ที่เจอปัญหาหนักไม่แพ้กัน…ฟัวกรากำลังพยายามรวบพื้นที่เกาะฟิวให้กลายเป็นของตัวเอง ซึ่งถ้าไม่ยอมก็จะใช้กำลังเข้าบังคับทีหลัง แบบนั้นคงไม่มีทางชนะล่ะนะ ชวนให้รู้สึกปวดหัวยิ่งกว่าได้ยินเรื่องโดนปิดประเทศอีก
แต่เจ้าตัวก็ดันบอกว่าไม่เป็นไร แล้วก็หาทางออกไว้แล้วโดยปรึกษากับบาทหลวงที่มาอยู่ มีแผนอะไรกันนะ?
“เคียร่า สีหน้าดูไม่ดีเลยนะ เป็นอะไรรึเปล่า?”
“อ้อ ไม่มีอะไรน่ะ…แค่คิดอะไรนิดหน่อย”
ไม่ได้ ๆ จะมาเผลอคิดอะไรไปเรื่อยตอนอยู่ต่อหน้าคนอื่นคงไม่ดี ตอนนี้นอกจากเจ้าชายที่ทักขึ้นแบบนั้นแล้วยังมีสายตาเป็นห่วงจากริเกลอีก ดังนั้นจึงคลี่ยิ้มออกราวกับไม่มีอะไรกวนใจ แล้วก็ลูบตัวเธอเล็กน้อย
“ตอนนี้ทั่วทั้งประเทศคงเต็มไปด้วยความไม่สบายใจ…ไม่มีวิธีเลี่ยงสงครามเลยรึไงนะ”
ตอนนี้กลายเป็นใบหน้าของอีกฝ่ายที่ตึงเครียดและใช้มือปิดปากพลางขมวดคิ้ว ถึงเจ้าตัวจะเป็นคนติดเล่นไปนิดและไม่ชอบพวกขนบธรรมเนียม แต่ในเรื่องนี้ก็ยังดีที่เขามีความคิดสมกับเป็นราชวงศ์ คือนึกถึงประเทศและประชาชนเป็นหลัก นั่นจึงทำให้เขาได้รับการสนับสนุนอย่างล้นหลาม
และเพราะแบบนั้นสงครามกับประเทศมหาอำนาจ ที่มองไม่เห็นโอกาสชนะ…เขาจึงได้อยากพยายามหลีกเลี่ยงมัน ริเกลเองก็ส่งสายตามาหาฉันเช่นกัน ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่อยากให้เกิดสงคราม คงกลัวล่ะมั้ง นั่นทำให้ฉันมองเขาอย่างเอ็นดูเล็กน้อย ฉันจึงแนะนำอะไรออกไปเล็กน้อย
“ไม่มีสิ่งใดที่จะมีเพียงข้อดี และ ไม่มีสิ่งใดที่จะมีเพียงข้อเสีย”
“…พยายามจะบอกอะไรกันแน่ เคียร่า”
“ฮะ ๆ ความหมายก็ตรงตัวนั่นแหละค่ะ”
แม้อีกฝ่ายจะมองด้วยสายตาเคลือบแคลงใจ และทำท่าจะพูดอะไรบางอย่างอยู่ก็ตาม แต่เมื่อโดนมองกลับไปข้างในดวงตา เขาก็หยุดชะงักไปแล้วหันหนีพลางขบคิดต่อ ในโลกก่อนนั้นมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานและนองเลือดกว่าที่แห่งนี้นัก
เมื่อได้ศึกษาอะไรหลายอย่างเข้าถึงจะไม่ได้ลงลึกมากนัก แต่ก็พอรู้ได้ว่าสงครามก็ไม่ได้มีแต่ข้อเสีย ขยายความให้เขาอีกสักหน่อยแล้วกัน
“บางสิ่งใช้เวลากว่า 10 ปีในการเกิดขึ้น แต่สงครามทำให้มันเกิดขึ้นภายใน 1 ปี นั่นคือสิ่งที่ฉันเคยได้ยินมาค่ะ”
แต่ว่าถึงจะทำพูดดีไปแบบนั้น…นั่นมันก็ในมุมมองคนดู มุมมองของคนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสงคราม แต่พอต้องมาอยู่ในเหตุการณ์จริงแบบนี้มันก็คนละอารมณ์ ในใจของฉันก็เก็บซ่อนเอาไว้ทั้งความกลัวและความกังวล ใครจะไปคิดไปฝันว่าตัวเองจะได้มาอยู่ท่ามกลางสงคราม อีกไม่นานอาจจะต้องไปยืนในสนามรบ…นี่มันไม่เกินไปหน่อยรึไงนะ ชีวิตคนเรานี่โหดร้ายจังเลยนะ…ตั้งแต่ชีวิตก่อนแล้ว
ว่าแล้วก็เผลอนึกย้อนไปถึงเรื่องราวในอดีตไกลแสนไกล แต่ก็ปัดทิ้งไปพร้อม ๆ กับเสียงระฆังบอกเวลา ว่าต้องไปเข้าเรียนต่อได้แล้ว…