เมียหวานของประธานเย็นชา - ตอนที่ 311 เมื่อไหร่จะได้ต้อนรับคุณชายน้อย
บทที่ 311 เมื่อไหร่จะได้ต้อนรับคุณชายน้อย
มุมปากของชายหนุ่มผู้อ่อนโยนและสง่างามแฝงไปด้วยรอยยิ้มตลอดกาล ในขณะที่นั่งอยู่บนขอบเตียงผู้ป่วย ด้วยใบหน้าที่ไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ และสายตาลดลงต่ำ
คุณนายหล่อนที่อยู่บนเตียงผู้ป่วยยังคงไม่ฟื้น ใบหน้าซีดเผือด เธอห่มผ้าห่ม ท่าทางดูอ่อนแรงอย่างมาก
ราวกับรู้สึกได้ว่าพ่อบ้านได้มาถึงแล้ว เวินหงหยู้จึงไม่ได้หันหลังกลับไปมอง และถามขึ้นว่า:“บอกฉันมา ว่ามันเกิดอะไรขึ้น?”
เสียงทุ้มต่ำนั้น ไม่ได้มีความนุ่มนวลราวกับลมและหยาดละอองฝนอีกต่อไป แต่กลับแฝงไปด้วยความเย็นชา
พ่อบ้านรีบยืนตัวตรง มือประสานไว้แน่น และโค้งตัวไปทางเขาเล็กน้อย
“วันนี้ คุณนายหล่อนไปตรวจสอบอุตสาหกรรมแห่งใหม่ที่ชานเมือง และถูกคนซุ่มโจมตีครับ”
“เป็นความผิดผมเอง ที่ผมไม่ได้ปกป้องคุณนายหล่อนให้ดี เลยทำให้คุณนายได้รับบาดเจ็บ”
เวินหงหยู้ไม่ได้พูดอะไรต่อ
มือของเขาจับหล่อนหลีเอาไว้แน่น พลางพูดขึ้นว่า:“เมื่อกี้นายไปไหนมา?”
“ก่อนที่คุณนายหล่อนจะหมดสติไป เธอให้ผมช่วยบอกคุณหนูหล่อน ว่าเธอจะไปสัมมนาที่ต่างประเทศ กลับมาไม่ได้ ไม่ให้คุณหนูรู้เรื่องที่เธอได้รับบาดเจ็บครับ”
เวินหงหยู้หันหลังให้ฉวีผิงตลอด และยังคงไม่หันหน้ากลับมา
ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาถึงจะพูดขึ้นว่า:“เที๋ยนเที๋ยนกับจี้จิ่งเชินตอนนี้เป็นยังไงบ้าง?”
พ่อบ้านตอบว่า:“ดูเหมือนว่าสถานการณ์ตอนนี้จะดีขึ้นมาแล้วครับ วันนี้ก็อยู่ที่ปราสาทตลอด กว่าจะกลับมาก็ดึกแล้วครับ”
เวินหงหยู้พยักหน้า
“ไปรายงานจี้จิ่งเชินเถอะ บอกเขาว่าช่วงนี้ให้ดูแลเที๋ยนเที๋ยนให้ดีๆ อย่าบอกเขาให้มันมากเกินไป”
พ่อบ้านหยักหน้า
“ครับ”
พอพูดจบ ในห้องก็กลับมาสงบลง มีเพียงเสียงของเครื่องวัดคลื่นหัวใจดังขึ้นเท่านั้น ทำให้คนรู้สึกไม่สบายใจ
พ่อบ้านลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก็จะถามขึ้นว่า:“คุณชายเวินครับ คุณคิดว่าครั้งนี้ คนที่ลงมือทำร้ายคุณนายหล่อนเป็นใครครับ?”
แผ่นหลังของเวินหงหยู้ตั้งตรง ดวงตาจ้องมองไปที่ใบหน้าของหล่อนหลี
“เป็นใคร มันก็เดาได้ไม่ยากหรอก”
“พวกเขาไล่ฉันออกจากตระกูลเวินได้ เอาทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของฉันไปได้ แต่กลับทำอะไรหล่อนหลีไม่ได้”
เสียงของเขาค่อยๆทุ้มต่ำลง น้ำเสียงแฝงไปด้วยความอาฆาตแค้น ราวกับดาบ ดาบอันแหลมคบที่ดึงออกมาจากปลอกดาบ ชั่วพริบตาก็รับรู้ได้ถึงความรู้สึกอาฆาตแค้นของเขา
เช้าวันถัดมา
เวินเที๋ยนเที๋ยนตื่นมาแต่เช้าตรู่ พอรุ่งเช้าก็ได้มาถึงประตูห้องของคุณนายหล่อน
แต่ยังไม่ทันได้เข้าไป ก็มีคนรายงานว่า คุณนายหล่อนได้ออกไปแล้ว
เธอเงยหน้ามองท้องฟ้าในขณะนั้น ฟ้ายังไม่สว่างเลย เดิมทีคิดว่าตัวเองนั้นตื่นเช้ามากแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าจะยังตื่นมาไม่ทัน
เวินเที๋ยนเที๋ยนหยิบโทรศัพท์ออกมา เดิมทีคิดจะโทรหาคุณนายหล่อน แต่กลับพบว่าโทรศัพท์ของอีกฝ่ายได้ปิดเครื่องไปแล้ว
“อยู่บนเครื่องบิน?”
จู่ๆเวินเที๋ยนเที๋ยนก็นึกขึ้นมาได้ว่า เธอเองยังไม่ได้ถามพ่อบ้านเลย ว่าพวกเขาไปสัมมนาที่ไหน ต้องนั่งเครื่องบินนานกี่ชั่วโมง
เรื่องพวกนี้ไม่ค่อยชัดเจนสักเท่าไหร่
เธอหันไปมองคนที่อยู่ข้างๆเธอ
“พวกเธอรู้ไหมว่าคุณนายหล่อนกับพ่อบ้านไปสัมมนาที่ไหน?”
คนเหล่านั้นก็ส่ายหน้าไปมา
“คุณหนูคะ พวกเราไม่รู้หรอกค่ะ”
เวินเที๋ยนเที๋ยนขมวดคิ้วเล็กน้อย
ถ้าเป็นแบบนี้ ก็มีเพียงต้องลองโทรไปเองเท่านั้น ต้องมีสักวันที่โทรติด
เธอกลับไปที่ห้องอีกครั้ง เมื่อจัดห้องเรียบร้อยแล้ว ก็มุ่งหน้าไปยังบริษัท
เมื่อเลิกงาน เวินเที๋ยนเที๋ยนก็ไปที่ปราสาทอีกครั้ง
เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่พ่อบ้านกับคุณนายหล่อนจะลงจากเครื่อง เมื่อผ่านไปได้สักพักเวินเที๋ยนเที๋ยนก็จะคอยโทรไปหาพวกเขาเป็นระยะ
แต่วันนี้ทั้งวัน จนถึงดึกดื่น ก็ยังคงโทรไม่ติดอยู่อย่างนั้น
เธอมองไปที่โทรศัพท์พลางขมวดคิ้วอยู่อย่างนั้น และหันไปถามจี้จิ่งเชินว่า:“นายรู้ไหมว่าไม่กี่วันมานี้คุณนายหล่อนไปสัมมนาที่ไหน?”
จี้จิ่งเชินส่ายหน้าไปมา ในหัวก็คิดถึงข่าวที่ได้รับมาจากเมื่อคืน
เขากลับไม่เข้าใจ ว่าทำไมเวินหงหยู้ถึงให้เขาดูแลเวินเที๋ยนเที๋ยนให้ดีๆ?
“เธอบอกว่าพวกเขาไปสัมมนาไม่ใช่หรอ?”จี้จิ่งเชินถามขึ้น
“แต่ฉันลืมไปแล้วว่าพวกเขาไปสัมมนาที่ไหน?แล้วก็ไม่รู้ว่าต้องนั่งเครื่องบินกี่ชั่วโมง ถามไปตั้งหลายคนแล้ว แต่ก็ไม่มีใครรู้เลย แล้วฉันก็โทรหาพวกเขาไม่ติดด้วย”
เธอเลื่อนโทรศัพท์ดู และพูดขึ้นว่า:“ผ่านไปสักพักหนึ่งก็โทรครั้งนึง แต่ฉันโทรไปทั้งวันแล้ว ก็ไม่มีใครรับเลย”
เมื่อพูดจบ เวินเที๋ยนเที๋ยนก็โทรไปหาคุณนายหล่อนอีกรอบ ในหูก็มีแต่เสียงสายไม่ว่าง
เธอขมวดคิ้วด้วยความเป็นกังวล ไม่สบายใจ และเก็บโทรศัพท์ลง
จี้จิ่งเชินขมวดคิ้วเล็กน้อย เหมือนจะตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง
เขามองเวินเที๋ยนเที๋ยนที่อยู่ตรงหน้า แล้วพูดขึ้นว่า:“บางทีอาจจะมีบางอย่างล่าช้าไปก็ได้ เธอไม่ต้องกังวลหรอก พวกเขาต้องเป็นฝ่ายติดต่อเธอมาเองแน่นอน”
“หวังว่าจะเป็นแบบนั้น”
เมื่อพูดจบ เวินเที๋ยนเที๋ยนก็ลุกขึ้นมา
“ตอนนี้ก็เย็นมากแล้ว ฉันก็ควรจะกลับได้แล้ว”
จี้จิ่งเชินกลับรีบยื่นมือมาดึงเธอเอาไว้
“ตอนนี้ก็เย็นมากแล้วจริงๆ สู้วันนี้เธอพักอยู่ที่ปราสาทนี้ไม่ดีกว่าหรอ”
เวินเที๋ยนเที๋ยนที่ได้ยินประโยคนี้ ก็หันมามองเขาอย่างตกใจ
แค่แวบเดียวจี้จิ่งเชินก็ดูออกถึงความคิดและความกังวลในใจของเธอ และอดไม่ได้ที่จะยกมุมปากขึ้นมา
“ห้องในปราสาทนี้ก็มีไม่น้อย เธออยู่ที่ห้องรับรองแขกก็ได้ แน่นอนว่าถ้าเธอชอบห้องนอนหลักละก็ ฉันก็ให้เธอย้ายเข้ามาได้นะ”
เวินเที๋ยนเที๋ยนรีบส่ายหน้าทันที
“ไม่เป็นไร คนขับรถรอฉันอยู่ข้างนอกน่ะ”
จี้จิ่งเชินยังคงดึงตัวเธอเอาไว้
“ตอนนี้ดึกมากแล้ว คนขับรถก็คงเหนื่อยมากแล้ว ถ้าขับรถตอนเหนื่อยล้าก็จะเกิดอุบัติเหตุได้ง่ายๆนะ วางใจเถอะ เธออยู่ที่ปราสาทนี่น่ะปลอดภัย”
เขาพูดอย่างน่าเชื่อถือและจริงใจ แต่เวินเที๋ยนเที๋ยนกลับรู้สึกว่า อยู่ในปราสาทนี้ยิ่งอันตรายมากกว่า
จี้จิ่งเชินดึงเวินเที๋ยนเที๋ยน เพื่อให้เธอมองที่ตาของเขา
“อยู่ที่นี่เถอะ ได้ไหม?”
เวินเที๋ยนเที๋ยนมองที่ตาของเขา แล้วอ้าปากเล็กน้อย แต่กลับไม่มีทางปฏิเสธได้
เธอหันหน้าไป และมองไปยังพื้น
และพูดขึ้นด้วยเสียงเบาๆว่า:“งั้น……งั้นก็ได้ แต่ฉันขออยู่ห้องรับแขกนะ……”
เมื่อจี้จิ่งเชินได้ยิน ใบหน้าก็ค่อยๆเผยรอยยิ้มออกมา และกุมมือของเวินเที๋ยนเที๋ยนเอาไว้
“ได้แน่นอน”
เห็นได้ชัดว่าเขาพูดอย่างจริงจังมาก แต่ไม่รู้ทำไมอุณหภูมิบนใบหน้าของเวินเที๋ยนเที๋ยนกลับพุ่งสูงขึ้น แม้กระทั่งแก้มก็แดงขึ้นมาแล้ว
จี้จิ่งเชินยังคงไม่ปล่อยมือของเธอ และยังพาเธอเดินเข้าไปข้างใน
พ่อบ้านที่เห็นพวกเขาเดินจูงมือกันเข้าไปข้างใน ก็ประหลาดใจจนหยุดเดิน
“คุณท่าน แบบนี้……”
สีหน้าของจี้จิ่งเชินยังคงไม่เปลี่ยนแปลง และพูดขึ้นว่า:“คืนนี้เที๋ยนเที๋ยนจะอยู่ที่นี่ ไปเก็บกวาดห้องรับแขกให้หน่อยสิ”
ฟังไปได้แค่ครึ่งประโยค พ่อบ้านก็ดีใจจนเบิกตากว้าง แต่พอฟังจนจบประโยคก็ประหลาดใจจนอ้าปากค้าง
“ห้องรับแขก?”
เขามองไปที่คนทั้งสองคน และมองไปที่มือของพวกเขาที่กำลังจับมือกันอยู่ ท่าที่ที่แสดงออกมาดูผิดหวังมากกว่าจี้จิ่งเชินเสียอีก
เห็นจี้จิ่งเชินที่ดูไม่ได้ล้อเล่น เขาจึงพยักหน้า
“ได้ครับ คุณท่าน เดี๋ยวผมจะให้พวกเขาไปเตรียมไว้”
จี้จิ่งเชินไม่ได้รู้สึกถึงความผิดหวังของพ่อบ้าน และพาเวินเที๋ยนเที๋ยนไปที่ห้องนั่งเล่น
ให้เธอพักผ่อนสักหน่อย และเขาเองก็ไปที่ห้องรับแขก และดูความคืบหน้าของพวกเขาที่กำลังเก็บกวาดห้องรับแขก
คิดไม่ถึงว่าพอเดินเข้าไป พ่อบ้านก็จะโน้มตัวมาข้างหน้า
“คุณท่านครับ ให้ผมบอกคุณหนูไหมครับ ว่าท่อน้ำของห้องรับแขกเสีย พักที่ห้องนี้ไม่ได้แล้ว?”
จี้จิ่งเชินมองไปที่คนอื่นที่อยู่ในห้อง และถามพ่อบ้านว่า:“เสียแล้วหรอ?”
พ่อบ้านส่ายหน้าไปมา
“เปล่าครับ”
“งั้นก็ให้เที๋ยนเที๋ยนอยู่ที่ห้องนี้นั่นแหละ”
ขณะที่พูด จี้จิ่งเชินก็พูดขึ้นอีกว่า:“ไปเอาโคมไฟมาด้วย เที๋ยนเที๋ยนกลัวความมืด”
เมื่อพูดจบ เขาก็เดินออกไป
พ่อบ้านที่เห็นเขาเดินออกไป ก็ส่ายหน้าไปมา และถอนหายใจอย่างเหนื่อยใจ กลุ้มใจจะตายอยู่แล้ว
“เป็นแบบนี้ต่อไป แล้วเมื่อไหร่จะได้ต้อนรับคุณชายน้อยล่ะ?”