ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต - เล่มที่ 12 บทที่ 339 ข้าจะอ่านนิทานให้เจ้าฟัง
“ข้า…” เซี่ยยวี่หลัวคิดจะลุกขึ้น
แต่คนมาถึงที่แล้ว เซียวยวี่จะตัดใจปล่อยให้นางลุกไปได้อย่างไร
เมื่อคืนนอนฝันทั้งคืน หากไม่ใช่เพราะเซียวยวี่ควบคุมตัวเองได้ดี เกรงว่าคงต้องซักกางเกงเพิ่มอีกหนึ่งตัวแล้ว พอฟ้าสาง ไม่ง่ายเลยกว่าเขาจะอ่านตำราจนสงบใจได้ กลับถูกคนจุดประกายไฟให้โหมไหม้อีกครั้ง
เซียวยวี่ไม่กล้ากล่าวอะไร เกรงว่าหากมองอีก เปลวเพลิงจะลุกโชนจนเขามอดไหม้ จึงก้มหน้าอ่านตำราต่อ
เซี่ยยวี่หลัวยังนั่งอยู่บนตักของเขา เมื่อเห็นว่าเซียวยวี่กำลังอ่านตำรา นางไม่กล้าขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย
ดูท่าทางเพ่งสมาธิของเขา เห็นได้ชัดว่านางรบกวนความสงบในการอ่านตำราของเขา
ทำอย่างไรดี?
หากไปก็จะรบกวนเซียวยวี่อีก แต่หากไม่ไป อยู่ในท่านี้…
เซี่ยยวี่หลัวแทบอยากตบหน้าตัวเองสักหนึ่งฉาด ดูสิ คิดแกล้งผู้อื่น จึงได้รับผลกรรมเสียเอง
เซียวยวี่จะอ่านตำราเข้าใจได้อย่างไร
คนที่นั่งอยู่บนตักตัวแข็งทื่อราวกับคันธนูที่ดึงรั้งสายจนสุดก็มิปาน เขาเองก็ไม่ได้ดีกว่ากันมากนัก ตัวแข็งไปทั้งตัวเช่นกัน จากเส้นผมถึงปลายนิ้วเท้าล้วนเกร็งไม่ผ่อนคลาย
ถึงแม้จะรู้สึกเกร็ง แต่ภายในใจกลับรู้สึกยินดีเสียยิ่งกว่าอะไร เกิดความรู้สึกอยากแปลงกายเป็นหมาป่าฉีกทึ้งสตรีตัวน้อยกินลงท้องไปเสีย
เซี่ยยวี่หลัวไม่กล้าขยับเขยื้อน และไม่กล้าชำเลืองมองตามอำเภอใจ จวบจนตอนที่เห็นตำราในมือเซียวยวี่
ตัวหนังสือบนนั้น เหตุใดถึงดูคุ้นตานัก?
“เจ้ากำลังอ่านซีโหยวจี้? ” เซี่ยยวี่หลัวแทบจะพูดโพล่งออกมา
เซียวยวี่หันมองนาง “เจ้ารู้ได้อย่างไร? ”
นางยังไม่ได้เห็นหน้าปกด้วยซ้ำ รู้ได้อย่างไรว่าเป็นซีโหยวจี้?
“อ่อ ระยะนี้ตำรานี่เป็นที่นิยมมากไม่ใช่หรือ ข้าเคยได้ยินคนพูดถึง เจ้าดูตัวหนังสือพวกนี้สิ คือชื่อซุนวู่คงไม่ใช่หรือ? จริงไหม? ” เซี่ยยวี่หลัวทำทีราวกับรู้จักตัวหนังสือเพียงแค่สามตัวนี้ ยิ้มพร้อมกล่าว
เซียวยวี่พยักหน้า “อยากฟังนิทานหรือไม่? หากอยากฟังข้าจะอ่านให้เจ้าฟัง”
“ได้สิ” อย่างไรเสียก็ไม่มีอะไรทำ ตอนนี้ฟังนิทานไปก่อน ดีกว่าต่างคนต่างไม่กล่าวอะไร จะรู้สึกขัดเขินได้
เซียวยวี่หาอะไรทำได้แล้ว จึงพลิกเปิดไปหน้าแรก
“นับตั้งแต่ผานกู่เบิกฟ้าผ่าดิน...”
น้ำเสียงของเซียวยวี่ทุ้มต่ำน่าฟัง ประหนึ่งไข่มุกเม็ดเล็กเม็ดใหญ่ร่วงหล่นลงในถาดหยก นิทานที่น่าฟังเรื่องหนึ่ง ประกอบกับน้ำเสียงไพเราะเสนาะหู เซี่ยยวี่หลัวคิดว่าต่อให้ฟังเป็นร้อยรอบก็คงไม่เบื่อหน่าย
ช่างเป็นคนหล่อเหลาที่มีน้ำเสียงไพเราะเสียจริง
เซี่ยยวี่หลัวฟังจนเคลิบเคลิ้ม
เซียวจื่อเมิ่งและเซียวจื่อเซวียนตื่นแล้ว ขยี้ตาด้วยอาการงัวเงียตามเสียงมาถึงห้องครัว พอกำลังจะเข้าไป ก็ถูกเซียวจื่อเซวียนดึงไว้
“เจ้าดูสิ…”
พี่สะใภ้ใหญ่กำลังนั่งอยู่บนตักพี่ใหญ่ ทั้งสองคนสนิทสนมใกล้ชิด จะเข้าไปกวนทำไม
“พี่รอง มีเก้าอี้ไม่ใช่หรือเจ้าคะ? ทำไมพี่สะใภ้ใหญ่ถึงนั่งบนตักพี่ใหญ่เจ้าคะ? ” เซียวจื่อเมิ่งเอ่ยถามด้วยความสงสัย
เซียวจื่อเซวียนกล่าว “ตักของพี่ใหญ่ก็มีไว้ให้พี่สะใภ้ใหญ่นั่งไม่ใช่หรือ? ” อย่าว่าแต่นั่งบนตักพี่ใหญ่เลย นั่งบนตัวพี่ใหญ่ยังได้
เซียวจื่อเมิ่ง “เช่นนั้นต่อไปข้ายังสามารถนั่งบนตักพี่ใหญ่ได้หรือไม่เจ้าคะ? ”
“ต่อไปอย่านั่งเลย ตักของพี่ใหญ่ต้องให้พี่สะใภ้ใหญ่นั่งคนเดียว เจ้าโตแล้ว เก็บไว้ให้พี่สะใภ้ใหญ่นั่ง” เซียวจื่อเซวียนกล่าว
“ได้เจ้าค่ะ ต่อไปข้าจะไม่นั่งอีก เก็บไว้ให้พี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ได้นั่งน้อยเจ้าค่ะ! ”
นางนั่งมาหลายปีแล้ว ควรแบ่งให้พี่สะใภ้ใหญ่นั่งบ้าง
ทั้งสองคนฟังอยู่ครู่หนึ่ง จึงเข้าใจว่าพี่ใหญ่กำลังอ่านอะไร
เซียวจื่อเมิ่งเอ่ยถามด้วยท่าทีสงสัย “พี่รอง ทำไมพี่ใหญ่ถึงอ่านเรื่องนี้ให้พี่สะใภ้ใหญ่ฟังเจ้าคะ? ” พี่สะใภ้ใหญ่เคยเล่าให้พวกเขาฟังแล้ว ทำไมพี่ใหญ่ต้องเล่าให้พี่สะใภ้ใหญ่ฟังอีกหนด้วย
“ไม่รู้ คงกำลังเล่านิทานให้พี่สะใภ้ใหญ่ฟังกระมัง! ” เซียวจื่อเซวียนคาดเดา
ครั้งก่อนพี่ใหญ่ก็เล่านิทานให้เขาฟัง แต่เขาไม่มีแก่ใจจะฟัง
เพียงแต่ นิทานเรื่องนี้พี่สะใภ้ใหญ่เป็นคนเขียน ฟังอีกรอบหนึ่ง ไม่รู้ว่าพี่สะใภ้ใหญ่จะมีแก่ใจฟังหรือไม่
เซี่ยยวี่หลัวย่อมมีแก่ใจจะฟังเป็นอย่างยิ่ง
เนื้อเรื่องไม่สำคัญ อย่างไรเสียนางก็สามารถท่องจำได้อย่างลื่นไหลนานแล้ว ที่สำคัญต้องดูว่าใครเป็นคนเล่า
น้ำเสียงของเซียวยวี่ ทำให้นางรู้สึกคลั่งไคล้เป็นอย่างมาก
อ๊าอ๊าอ๊า ทำไมถึงมีคนที่หน้าตาดีถึงเพียงนี้ ทั้งยังมีน้ำเสียงฟ้าประทานเช่นนี้ด้วย!
เซียวยวี่สัมผัสได้ว่าใครบางคนจ้องมองเขาอย่างตาไม่กะพริบ เขากระแอมทีหนึ่ง พลิกเปิดอีกหน้า “เป็นอะไรไป? ”
เซี่ยยวี่หลัวยังคงจ้องมองเขา “เสียงของเจ้าช่างไพเราะเหลือเกิน”
นางไม่คิดตระหนี่ถี่เหนียวเรื่องคำชื่นชม
เซียวยวี่สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง ภายในใจกลับรู้สึกดีจนแทบลอยได้ เพียงขานตอบอย่างเรียบสงบทีหนึ่ง
เปิดหน้าต่อไป อ่านตำราต่อ
เซี่ยยวี่หลัวฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ ไม่ทันระวัง สติของนางก็หลุดลอยไปไกล
เซี่ยยวี่หลัวนะเซี่ยยวี่หลัว ดูเจ้าสิ ละทิ้งสามีที่ดีถึงเพียงนี้ ช่างตาบอดเสียจริง
ยังดีที่นางไม่ตาบอด
บุรุษที่ดีถึงเพียงนี้ นางต้องคว้าจับไว้ จับไว้ให้แน่น
เซียวยวี่สัมผัสได้ถึงสายตาที่จ้องมองมาที่ตัวเขาอีกครั้ง ความรู้สึกนั้นหวนมาอีกหน ร่างกายค่อยๆ แข็งเกร็งอีกครา แต่ยังดีที่เซี่ยยวี่หลัวไม่ได้นั่งนานนัก
“เจ้าได้กลิ่นอะไรหรือไม่? ” เซี่ยยวี่หลัวลองสูดดมกลิ่น
“กลิ่นอะไร? ” เซียวยวี่ไม่ได้กลิ่น
บัดนี้สัมผัสรับรู้ทั่วตัวโดนกลิ่นอายบนกายเซี่ยยวี่หลัวเติมเต็มทั้งหมด กลิ่นหอมของสบู่และกลิ่นกายสตรีเบาบางที่หอมหวนของนาง
ตลบอบอวลเต็มห้วงภวังค์จนไม่ได้กลิ่นอื่นอีก
เสียงตะโกนของเซียวจื่อเมิ่งดังมาจากด้านนอก “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ โจ๊กไหม้แล้ว โจ๊กไหม้แล้วเจ้าค่ะ! ”
เซี่ยยวี่หลัวกระโดดลุกขึ้นจากตัวเซียวยวี่ราวกับขดลวดยืดหดก็มิปาน
เมื่อนางลุกขึ้น ความรู้สึกแปลกประหลาดนั่นจึงหายไปในทันใด
เซียวยวี่นึกตำหนิตัวเองเป็นอย่างยิ่ง ไม่ได้ตำหนิที่ตัวเองต้มโจ๊กจนไหม้ แต่ตำหนิที่เหตุใดตนเองถึงไม่ใส่น้ำให้เยอะกว่านี้เล่า? เช่นนั้นจะได้ไหม้ช้าลงบ้าง
โจ๊กไหม้แล้วจริงๆ
แต่ยังดีที่ไม่ได้ไหม้รุนแรงนัก
เซียวจื่อเมิ่งตักโจ๊กที่มีกลิ่นไหม้กิน เบ้ปากด้วยความอัดอั้นตันใจเป็นอย่างยิ่ง
ต้องโทษพี่รอง นางได้กลิ่นนานแล้ว แต่พี่รองไม่ให้นางตะโกน คราวนี้จึงได้แต่กินโจ๊กไหม้
เซี่ยยวี่หลัวก้มหน้ากินข้าว นางต้องรับผิดชอบเรื่องโจ๊กไหม้ หากไม่ใช่เพราะนางคิดจะกลั่นแกล้งเซียวยวี่ โจ๊กในหม้อคงไม่ไหม้
“ตอนเที่ยงข้าจะทำอาหารอร่อยให้พวกเจ้ากิน” เซี่ยยวี่หลัวกล่าวด้วยความรู้สึกผิด
เมื่อเซียวจื่อเซวียนและเซียวจื่อเมิ่งได้ยินว่ามีของอร่อย ก็รู้สึกเบิกบานใจทันที ลืมเรื่องโจ๊กไหม้ไปเสียสนิท
เซียวยวี่เองก็แย้มรอยยิ้ม “ข้าช่วยเจ้า”
ครอบครัวของเด็กๆ ที่ถูกจับตัวไปแล้วหากลับมาได้ นำอาหารมาให้ไม่น้อย มีทั้งถั่วฝักยาวและพริกจำนวนมาก
จะกินก็กินไม่หมด หากวางไว้สักสองสามวันก็จะสุกงอม เซี่ยยวี่หลัวย่อมต้องคิดหาวิธี จึงทำถั่วฝักยาวดองและพริกดองไว้หนึ่งไห ตอนนี้จะได้นำออกมากิน
เมื่อเซียวยวี่อยู่ในห้องครัว ย่อมไม่ปล่อยให้เด็กสองคนมารบกวนเวลาที่พวกเขาจะได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง
เซี่ยยวี่หลัวหั่นถั่วฝักยาวดอง หั่นพริกดอง หั่นไส้หมู เซียวยวี่ช่วยล้างผักอยู่ข้างๆ ทั้งสองคนทำงานบนโต๊ะข้างเตาปรุงอาหาร อยู่ใกล้กันมาก
ภายในห้องครัวมีไอน้ำร้อนระอุ แต่เซียวยวี่ไม่รู้สึกร้อนแม้แต่น้อย ความรู้สึกที่เรียกว่าความสุขลอยล่องอยู่กลางใจ
แววตาที่มองไปทางเซี่ยยวี่หลัวทั้งอ่อนโยนและร้อนรุ่มขึ้นเรื่อยๆ
ร้อนรุ่มจนเซี่ยยวี่หลัวรู้สึกราวกับตัวเองเป็นซาลาเปาที่อยู่ในเข่งนึ่งก็มิปาน ถูกนึ่งจนสุก
ร้อนจนเหงื่อออกเต็มศีรษะ หยาดเหงื่อเม็ดโตประหนึ่งเม็ดถั่วไหลลู่ลง เวลานี้กำลังหั่นไส้หมู บนมือทั้งคู่มันเยิ้ม นางรีบขยับเข้าใกล้ กล่าวกับเซียวยวี่ “เจ้าเช็ดเหงื่อให้ข้าหน่อย”
เซียวยวี่รีบนำผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดให้เซี่ยยวี่หลัวจนแห้ง
ท่าทางของเขาอ่อนโยนยิ่งนัก เขาอยู่ใกล้เซี่ยยวี่หลัวมาก ใกล้จนขอเพียงแค่ก้มหน้าอีกเล็กน้อย ก็สามารถสัมผัสกับหน้าผากเรียบเนียนนั่นได้
เซียวยวี่ชักผ้าเช็ดหน้ากลับ ลูกกระเดือกเคลื่อนขึ้นลงทีหนึ่ง
เขารู้สึกว่าร่างกายของตัวเองกำลังร้อนรุ่ม!