คุณหลง อย่าหยิ่งยโสเกินไป - ตอนที่ 412 พูดความจริงมาเถอะว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา
ตอนที่ 412 พูดความจริงมาเถอะว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา
ลั่วหานรีบเคี้ยวอาหารในปากแล้วกลืนมันลงคอไป “ให้ไปลงทุนอย่างอื่นมันก็ได้ค่ะ คุณหลงก็น่าจะรู้ดีว่าไอคิวของฉันนั้นมันไม่ธรรมดา ติดtop 10%ของรุ่นที่เรียนจบมาเลย ความสามารถด้านการลงทุนย่อมไม่ใช่ปัญหา ถึงว่าไงคะ……คุณหลงเนี่ยช่างตาถึงจริงเลย!”
ลั่วหานรู้ดีว่าหลงเซียวแค่อยากแกล้งเธอ แต่เธอจะไม่ยอมเปิดโอกาสให้เขาได้ทำตัวเกเรอีกแล้ว จึงตอบกลับไปอย่างนั้น ค่อยดูสิว่าเขาจะตอบกลับมายังไง
หลงเซียวค่อยๆ เคี้ยวอาหารอย่างใจเย็น ดื่มด่ำกับบรรยากาศอันแสนสั้นที่ทั้งคู่ได้อยู่ด้วยกันให้เต็มที่ ริมฝีปากสีกันอย่างนุ่มนวล ท่วงท่าที่กลืนอาหารก็ดูผู้ดีเหลือเกิน “คุณนายหลงพูดถูกแล้วครับ ผมไม่เพียงแค่ตาถึงเท่านั้น แต่ยังมองการณ์ไกลด้วย เพราะเหตุนี้……” เขาขยับตัวเข้ามาอย่างน่าหลงใหลเพื่อย่นระยะของทั้งคู่ลง “ผมถึงได้แต่งงานกับคุณไงครับ”
ลั่วหานจ้องมองใบหน้าอันหล่อเหลาที่ยื่นเข้ามา จึงได้คีบเนื้อชิ้นโตยัดใส่ปากเขาไป “นี่เป็นรางวัลสำหรับคุณ อร่อยไหมคะ?”
หลงเซียวถอยกลับมาอยู่ในที่ของตัวเอง นั่งตัวตรง “อื้ม ของที่ภรรยาป้อนให้ อร่อยครับ”
ในตอนนั้นเอง มือถือของลั่วหานก็ได้ดังขึ้น
พอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ลั่วหานก็มองไปยังเบอร์ที่โทรเข้ามา จึงรีบชิงพูดขึ้นก่อนว่า “หวังเค่ยโทรมาค่ะ”
หลงเซียวทำปาก “อ๋อ” ไปทีหนึ่ง เป็นการส่งสัญญาณว่าให้เธอรับได้
“คุณหวังเค่ย มีอะไรไหมคะ?” ในขณะที่ลั่วหานกำลังคุยโทรศัพท์อยู่ สายตาของเธอก็ไม่ได้เลื่อนออกจากหลงเซียวเลย
หวังเค่ยยังอยู่ที่บริษัท เขานั่งอยู่ในห้องทำงานด้วยท่าทีที่ดูไม่ค่อยสบายใจนัก “คุณหมอฉู่ผมต้องขอโทษจริงๆ นะครับที่โทรหาคุณตอนนี้ ไม่ทราบว่ารบกวนเวลาทำงานของคุณเข้าหรือเปล่าครับ?”
“ไม่ค่ะ คุณมีธุระอะไรไหมคะ?” ลั่วหานคิด คงเป็นเรื่องการฟ้องสิทธิ์การเลี้ยงดูบุตรแน่เลย เพราะตอนนี้เรื่องเดียวที่ทำให้ หวังเค่ยเป็นกังวลได้ก็คงมีแค่เรื่องนี้เรื่องเดียว
แล้วก็เป็นไปตามคาด หวังเค่ยโทรมาเพราะเรื่องนี้จริงๆ “นี่ก็ใกล้ถึงเวลาขึ้นศาลแล้ว แต่ผมยังติดต่อจ้าวฟางฟางไม่ได้เลยครับ ผมกลัวว่าเธอจะไม่ยอมมาตามนัด”
ลั่วหานเปลี่ยนโทรศัพท์มาที่มือข้างซ้าย แล้วพูดอย่างมีเหตุผลว่า “หมายศาลได้ส่งไปที่บ้านเธอแล้ว ต่อให้เธอไม่มาก็ต้องส่งทนายมาอยู่ดี คุณอย่าเครียดไปเลยค่ะ ทนายฝั่งเถียนเถียนจะช่วยคุณอย่างเต็มที่แน่นอนค่ะ”
หลงเซียวที่นั่งอยู่ตรงข้ามขมวดคิ้วอย่างแรง เขาเคยบอก หวังเค่ยไปแล้วไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงยังกังวลอยู่อีก?
นี่ไม่เชื่อใจเขาหรือไม่มีความมั่นใจกันแน่?
วางตะเกียบลง แขนของหลงเซียวยื่นผ่านโต๊ะอาหารไป แล้วหยิบโทรศัพท์มาจากมือของลั่วหาน มือของลั่วหานว่างเปล่า มือถือถูกหลงเซียวแย่งไปเรียบร้อยแล้ว
“คุณหวังครับ คุณไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับข้อฟ้องร้องของคุณกับอดีตภรรยาของคุณแล้วครับ ผมเคยรับปากแล้ว ยังไงความปรารถนาของคุณก็ต้องเป็นจริงอยู่แล้วครับ”
หวังเค่ยตกตะลึง ทำไมหลงเซียวถึงมารับสายได้? เขาอยู่ที่เมืองเจียงเฉิงไม่ใช่เหรอ?
แล้ว หวังเค่ยก็ตั้งสติขึ้นมาอีกครั้ง หายใจเข้าลึกๆ “คุณหลงครับ ผมจำที่คุณเคยบอกผมได้ครับ แต่ตอนนี้ผมติดต่อจ้าวฟางฟางไม่ได้เลย ผมเลยกลัวว่า……”
ลั่วหานได้แต่ขมวดคิ้ว หลงเซียวจะช่วยหวังเค่ยอย่างนั้นหรือ?
พระเจ้า หลงเซียวรู้จักช่วยเหลือคนอื่นตั้งแต่เมื่อไหร่กันเนี่ย?
“วันที่ยี่สิบนี้ก็ต้องขึ้นศาลแล้ว เหลือเวลาอีกแค่สี่วันเท่านั้น ใจผมอยู่ไม่เป็นสุขเลยครับ คุณหลงครับ เถียนเถียนเป็นญาติเพียงคนเดียวที่ผมเหลืออยู่ เธอเป็นแก้วตาดวงใจของผม จะปล่อยให้กลับไปอยู่กับแม่ของเธอไม่ได้อีกแล้ว แต่ว่าผม……แต่ด้วยหลักฐานที่มี……ผมกลัวว่าผมจะเป็นฝ่ายแพ้ครับ”
วันนี้วันที่สิบหก ก่อนวันที่ยี่สิบ……หลงเซียวกำลังครุ่นคิด แล้วยื่นมืออีกข้างไปดึงมือของลั่วหานมา สอดนิ้วเข้าไปในซอกนิ้วของเธอ เหมือนกำลังขอกำลังใจ
“ไม่แพ้หรอกครับ ผมจะทำให้คุณได้สิทธิ์เลี้ยงดูบุตรมาอย่างง่ายดายเลยครับ”
“จริงเหรอครับ? คุณหลงครับ ผมรู้ว่าคุณเป็นคนมีความสามารถ……”
“ถ้ารู้ว่าผมมีความสามารถแล้ว คุณก็ไม่ต้องคิดมากแล้วครับ ผมกำลังทานอาหารกับลั่วลั่วอยู่ คุณหวังก็รีบเลิกงานแล้วกลับไปอยู่กับลูกสาวได้แล้วครับ” พูดจบหลงเซียวก็วางสายไป
ลั่วหานยิ้มที่มุมปาก “คุณไปช่วยเขาได้ยังไงคะ? ทนายเองก็เคยวิเคราะห์แล้ว การฟ้องร้องในครั้งนี้จ้าวฟางฟางค่อนข้างได้เปรียบในเรื่องหลักฐาน ที่สำคัญการที่เด็กถูกทารุณกรรมก็ไม่มีหลักฐาน เถียนเถียนเองก็ยังเด็ก คำให้การของเธอจึงยังไม่มีน้ำหนักมากพอ”
พูดถึงจุดนี้ลั่วหานเองก็รู้สึกว่ามันแปลกๆ เหมือนกัน แต่ไม่ว่ายังไงเธอก็ต้องช่วย หวังเค่ยให้ชนะคดีให้จงได้
หลงเซียวยิ้มออกมาอย่างไม่คาดคิด เขาพลิกมืออีกครั้งแล้วกุมมือของลั่วหานไว้ภายใน “คุณครับ บางครั้งการที่เราจะทำอะไรบางอย่างให้มันสำเร็จนั้นไม่จำเป็นต้องเดินเป็นเส้นตรงก็ได้ บางทีเราเดินทางอ้อมก็อาจจะเร็วกว่าก็ได้นะครับ”
“ถ้าพูดมาแบบนี้แสดงว่าคุณมีวิธีแล้วใช่ไหมคะ?”
หลงเซียวพยักหน้า “ใช่ครับ จ้าวฟางฟางขุดหลุมที่จะฝังตัวเองขึ้นมาหลุมหนึ่ง ผมจะถือโอกาสช่วยสงเคราะห์เธอให้แล้วกัน”
ลั่วหานมองเขาแล้วเม้มปาก “คุณหลงคะ คุณนี่มันร้ายจริงๆ เลย”
“ผู้ชายไม่เลว ผู้หญิงไม่รัก” หลงเซียวยอมรับการวิจารณ์ของเธอแต่โดยดี แถมยังดูอารมณ์ดีมากด้วย
หลังกินข้าวเสร็จ หลงเซียวกับลั่วหานก็เดินออกจากร้านอาหารมา รองเท้าส้นสูงที่ใส่ตอนถ่ายรายการของลั่วหานยังไม่ได้เปลี่ยน
ตอนนั่งอยู่ในร้านยังไม่รู้สึกอะไร แต่พอเดินออกมาก็รู้สึกว่าแผลตรงฝ่าเท้าถูกเสียดสีจนเจ็บมากแล้ว
จะให้เขารู้ไม่ได้ เขาไม่ได้อยู่ด้วย ถ้าเขารู้เข้าต้องยิ่งเป็นห่วงมากแน่ๆ
พยายามอดทนกับความเจ็บปวดที่ฝ่าเท้าแล้วเผยรอยยิ้มออกมา “พอไปถึงเมืองเจียงเฉิงแล้วอย่าลืมส่งข้อความมาบอกฉันด้วยนะคะ ดึกแค่ไหนก็ต้องส่ง”
หลงเซียวก้มลงมาจูบหน้าผากเธออย่างไม่อยากจากไป” ได้ครับ”
ต่อให้อยู่ด้วยกันมานานแค่ไหนสุดท้ายก็ต้องจากกันอยู่ดี ดินเนอร์ที่แสนอบอุ่นได้ผ่านไปแล้ว ลั่วหานยังคงส่งหลงเซียวขึ้นเครื่องด้วยสายตา รอจนเครื่องบิน บินจากไปไกลแล้วเธอถึงค่อยหันหลังกลับมา
พอขึ้นรถมา ลั่วหานก็พูดเปิดประเด็นขึ้นมาทันที “ผู้ช่วยจี้คะ คุณบอกฉันมาตามตรงการที่หลงเซียวถูกบริษัทส่งไปที่เมืองเจียงเฉิงนั้นมันมีอะไรแอบแฝงอยู่ใช่ไหมคะ? เขาถูกทางบริษัทกดขี่อยู่ใช่ไหมคะ?”
“คุณหญิงคิดมากไปแล้วครับ ตำแหน่งในบริษัทของท่านประธานนั้นพิเศษมาก ไม่มีใครสามารถกดขี่เขาได้หรอกครับส่วนทางเมืองเจียงเฉิงนั้นมีเรื่องที่ท่านจำเป็นต้องไปจัดการด้วยตนเองจริงๆ ครับ”
ลั่วหานไม่ค่อยอยากเชื่อในคำพูดของเขามากนัก แต่กลัวแค่ว่าต่อให้เกิดอะไรขึ้นกับหลงเซียวแล้วเขาจะยอมบอกให้เธอรู้หรือเปล่านะ?
แล้วสีหน้าของหลงเซียวก็เปลี่ยนไปทันที แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึมว่า “จี้ตงหมิง คุณนี่ช่างใจกล้าจริงๆ เลยนะที่กล้าโกหกฉันแบบนี้!”
อยู่ๆ ก็ยกสถานะตัวเองขึ้น ทำให้มือที่จับพวงมาลัยของจี้ตงหมิงถึงกับกระตุก น้ำเสียงของลั่วหานทำเอาเขาเสียวสันหลังวาบ เขาจึงตอบกลับไปด้วยความนอบน้อมว่า “คุณหญิงครับ คือผม……ไม่ได้โกหกคุณจริงๆ นะครับ ที่ผมพูดไปทุกอย่างเป็นความจริงครับ”
ลั่วหานยังคง คงออร่าเอาไว้ “เมื่อกี้ตอนฉันกินข้าวกับท่านประธานเขาได้บอกความจริงทุกอย่างให้ฉันรู้หมดแล้ว แต่คุณยังจะกล้ามาโกหกฉันอีกเหรอ? หรือคุณลืมไปแล้วสินะว่าระหว่างฉันกับเขา เราไม่มีความลับต่อกัน”
จี้ตงหมิงกำพวงมาลัยไว้แน่น เพราะออกแรงมากเกินไปจนนิ้วเริ่มซีดแล้ว ไม่หรอกมั้ง ทั้งๆ ที่นายท่านย้ำนักย้ำหนาว่าห้ามให้คุณหญิงรู้เด็ดขาด แต่เขากลับหลุดปากออกมาก่อนเนี่ยนะ?
ลั่วหานไม่เปิดโอกาสให้จี้ตงหมิงได้ตั้งตัว รีบจี้ต่อไปว่า “ผู้ช่วยจี้ การโยกย้ายพนักงาน การโยกย้ายกองทุนเปลี่ยนแปลงระบบ……ฉันเข้าใจเรื่องพวกนี้ดี พูดมาเถอะ การที่เขาถูกส่งไปที่เมืองเจียงเฉิงกะทันหันแบบนี้ เขาต้องไปเจอใคร? ไปทำอะไร?”
จี้ตงหมิงรู้สึกสับสน ตกลงคุณหญิงรู้เรื่องแล้วใช่ไหม? หรือว่ายังไม่รู้?
แล้วรู้มากน้อยแค่ไหน?
ที่เจ้านายพูดไปเป็นความจริงหรือเปล่า? หรือแค่คำโกหก? จริงเท็จเท่าไหร่?
ต้องมาประชันหน้ากับคุณหญิงที่ไอคิวสูงแบบนี้มันทำให้ผู้ช่วยคนนี้ทำตัวไม่ถูกเลยจริงๆ
คิดไปคิดมา จี้ตงหมิงจึงตัดสินใจตอบไปแบบกลางๆ “คุณหญิงครับ ที่นายท่านเดินทางไปเมืองเจียงเฉิงอาจจะไปขอใบอนุญาตก่อสร้างหรือเปล่าครับ?”
ลั่วหานพยักหน้า “อันนี้ฉันรู้ แล้วมีอะไรอีก?”
จี้ตงหมิงกัดฟันแน่น “ใบขออนุญาตใบนี้ค่อนข้างยุ่งยาก แต่โชคยังดีที่คุณหญิงเคยไปช่วยลูกชายกับลูกสะใภ้ของรัฐมนตรีเฉินเอาไว้โดยบังเอิญ มีความสัมพันธ์ที่ดีกับตระกูลเฉินทำให้ท่านประธานสามารถทำงานง่ายขึ้น……” จี้ตงหมิงพูดไปคิดไป เพราะกลัวว่าจะพูดอะไรผิดไป
“เรื่องพวกนี้ฉันรู้อยู่แล้ว ฉันบอกให้คุณพูดเรื่องของเมืองเจียงเฉิง”
จี้ตงหมิงอยากจะปาดเหงื่อมาก เขาอยากแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินจริงๆ
“คือว่า……เรื่องที่เป็นอุปสรรคที่สุดของการขอใบอนุญาตก่อสร้างนั้นก็คือ ผู้อำนวยการเจิ้งครับ……เพื่อที่จะให้ผู้อำนวยการเจิ้งยอมรับปาก นายท่านจึง……”
จากนั้น จี้ตงหมิงก็เล่ารายละเอียดที่เกิดขึ้นระหว่างหลงเซียวกับทางบ้านของผู้อำนวยการเจิ้งให้ลั่วหานฟังไปรอบหนึ่ง
ลั่วหานขำออกมา “อ๋อ? แค่นี้เนี่ยนะ? คิดว่าแค่นี้แล้วฉันจะเชื่อเหรอ? ผู้ช่วยจี้ นี่คุณคิดว่าฉันเป็นเด็กสามขวบรึไง?”
จี้ตงหมิงกลืนน้ำลาย “คือว่า……นายท่านเขา……กับลูกสาวของผู้อำนวยการเจิ้ง……”
แรงกดดันจากลั่วหานนั้นมากมายเหลือเกิน จี้ตงหมิงจึงจำต้องใช้คำพูดที่ไม่ทำร้ายความรู้สึกของลั่วหานจนเกินไปเล่ามันให้เธอฟัง พอฟังจบ ลั่วหานก็ได้ขำออกมา
ไม่ว่าสิ่งที่เขาเล่ามาหรือยังไม่ได้เล่า เธอก็พอจะเดาออกแล้ว
ริมฝีปากสีซากุระค่อยๆ แง้มขึ้น ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง!
ก็ว่าหล่ะทำไมผู้อำนวยการเจิ้งถึงยอมรับปากกับสิ่งที่หลงเซียวขอไป ถึงขั้นจะใช้ฐานะของตัวเองช่วยเปิดทางให้หลงเซียวสามารถเข้าไปในเมืองเจียงเฉิงได้ อย่างนี้นี่เอง……เขาอยากได้หลงเซียวเป็นลูกเขยของเขานี่เอง!
เจิ้งซิน………
พอนึกถึงชื่อนี้ ลั่วหานก็ได้ยิ้มออกมา ช่างไร้เดียงสาอะไรอย่างนี้!
ขณะเดียวกัน ที่เมืองเจียงเฉิง
เจิ้งซินแต่งตัวให้ตัวเองเรียบร้อยแล้ว ด้วยชุดเดรสแนบเนื้อที่ดูเซ็กซี่ คอวีที่เแหวกลึกพาดกันจนเป็นเส้นโค้ง เผยให้เห็นทรวดทรงของเอวที่เรียวบาง สวมรองเท้าส้นสูงที่สูงสิบเซ็น พร้อมกับร้องเพลงรักที่หวานซึ้งอยู่ที่ปาก
“พรุ่งนี้เราจะแต่งงานกันแล้ว……พรุ่งนี้เราจะแต่งงานกันแล้ว……”
เห็นเธออารมณ์ดี ผู้อาวุโสทั้งสองของตระกูลเจิ้งก็ดีใจตามไปด้วย “ซินซิน เด็กผู้หญิงที่ดีไม่ควรออกตัวแรงนักนะ ถ้าออกตัวแรงไปมันจะดูไม่น่าดูเท่าไหร่นะ”
“พ่อคะ แม่คะ นี่มันสมัยไหนแล้วคะ ถ้าเราชอบใครก็ต้องรีบแสดงออก ถ้าช้าไปอาจถูกคนอื่นชิงตัดหน้าไปก่อนได้ เรื่องของความรักไม่มีคำว่าภาพพจน์หรอกค่ะ คืนนี้หนูจะไปงานดนตรีกับหลงเซียว ช่วยอวยพรหนูหน่อยสิคะ!”
“เด็กคนนี้นี่ พอมีความรักก็เหมือนกินน้ำผึ้งเข้าไปเลย ยิ้มทั้งวัน”
“มันก็ต้องแน่อยู่แล้วสิคะ คนที่หนูรักคือหลงเซียว จริงด้วย พ่อคะใบอนุญาตที่หลงเซียวต้องการคงไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหมคะ? คืนนี้หนูจะได้บอกกับเขา”
“ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว ได้รับการอนุมัติจากทุกๆ หน่วยงานแล้ว ทางนายกเทศมนตรีก็เรียบร้อยแล้ว แล้วแกคิดว่าไงหล่ะ?” ผู้อำนวยการเจิ้งตบหน้าอกตัวเองอย่างภาคภูมิใจ “พอมีแฟนแล้วก็อย่าลืมพ่อคนนี้สิ พ่อคนนี้ก็มีความสามารถพอตัวเลยนะ”
“ขอบคุณค่ะพ่อ! พ่อของหนูเก่งที่สุดเลย! แต่หลงเซียวเก่งกว่าเยอะ”
“ฮาๆ เด็กคนนี้นี่น้า หลงเขาหัวปักหัวปำแล้ว”
หลงเหรอ? พอมาคิดดูจากปฏิกิริยาของตัวเองแล้ว เจิ้งซินก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังหลงเขาจริงๆ
เจิ้งซินเดินลงบันไดของวิลล่าด้วยท่าทางที่อ่อนช้อย ได้ยินเสียงเบนท์ลีย์ มอเตอร์ส ลิมิเทดสีดำของหลงเซียวขับมาถึงแล้ว หวังเจี้ยนเปิดประตูรถด้วยความสุภาพ แล้วพูดออกมาขณะที่ก้มหน้าอยู่ “คุณเจิ้งครับ ท่านประธานให้ผมมารับคุณครับ”
เจิ้งซินมองไปรอบๆ แต่มองไม่เห็นเงาของหลงเซียวเลย “แล้วคุณหลงเซียวหล่ะคะ? ทำไมเขาถึงไม่มา?”
“ผมแค่ได้รับคำสั่งให้มารับคุณเท่านั้นครับ ส่วนท่านประธานนั้น……ผมไม่ทราบจริงๆ ว่าท่านไปทำอะไรที่ไหนครับเชิญคุณเจิ้งขึ้นรถเถอะครับ งานดนตรีใกล้จะเริ่มแล้วครับ”
เจิ้งซินเม้มปากด้วยความตื่นเต้น “หรือว่าหลงเซียวกำลังไปเตรียมเซอร์ไพรส์ให้ฉันอยู่รึเปล่านะ?”
“เรื่องนั้น……ผมเองก็ไม่ทราบจริงๆ ครับ”
เจิ้งซินยักไหล่ “เฮ้อคนไม่รู้จักความโรแมนติกอย่างคุณนี่น้า ก็ได้ ออกรถได้”
“ครับ คุณเจิ้ง”