การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม - ตอนที่ 430
บทที่ 430 – โปรดเมตตาด้วย
วิธีการยกเลิกการสะกดจิตน้องสาวของเลทิเซียนั้นไม่มีอยู่ เพราะปลอกคอนั้นอ้างอิงมาจากปลอกทฤษฎีบางอย่างในอดีต
เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเวทแห่งต้นกำเนิดที่เป็นเศษเสี้ยววิญญาณ… ถูกต้องแม้ไอรีนจะทำลายไปแล้ว แต่เจ้าจักรพรรดิมังกรมันยังสามารถรวบรวมกลับมาได้
ส่งผลให้มีปลอกคอทาสที่ลูเซียใส่ขึ้นมา.. จะบอกว่าปลอกคอก็คงไม่ถูกเพราะนี่คือการสะกดวิญญาณของลูเซียอีกทีหนึ่ง
ไม่ใช่สะกดแค่ร่างกาย การจะรักษาสติกลับมาได้นั้นแทบไม่มี ถึงแม้ในอนาคตจะไม่มีอะไรให้เลทิเซียต้องกลัว
แต่เธอรู้ว่าโลกแห่งวิญญาณนั้นยังเป็นโลกที่ยากแท้หยั่งถึงอยู่ดี กล่าวคือเลทิเซียไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้
ตอนนี้จิตใจของลูเซียถูกทำลายไปในระดับวิญญาณ เธอจะเชื่อฟังไปตลอดกาล ตราบใดที่ยังมีตัวตนอยู่…
หรือพูดง่ายๆ คือไม่ว่าวิญญาณเธอจะไปเกิดใหม่อีกกี่รอบหรือสักกี่รอบเธอก็จะกลายเป็นทาสตลอดไปนั่นเอง
นั่นแหละคือความหมายของการทำให้เธอเป็นทาส เลทิเซียที่ได้ยินเรื่องนี้เส้นเลือดก็ปูดขึ้นมาบนใบหน้า
“แก… คิดว่าตัวเองเป็นใคร!!”
เลทิเซียโกรธจริงๆ แล้ว เธอก้าวขาไปหาจักรพรรดิมังกรด้วยความโกรธ แต่ในตอนนั้นเองสันตะปาปาก็ยกมือขึ้นมาขวางเลทิเซียไว้
“ใจเย็นๆ ก่อน… เรามานั่งคุยกันดีๆ —”
“คิดว่าฉันพูดกับนายหรือไง?”
เลทิเซียหันสายตาไปหาสันตะปาปา สายตาของเธอในตอนนี้เริ่มจะแตกต่างไปจากเลทิเซียที่เราๆ รู้จัก
ราวกับว่าความเครียด ความเหนื่อยล้า ความเจ็บปวดมันทับถมกันมามากมายไม่หยุดหย่อนจนเกินไป
เลทิเซียพูดออกไปแบบนั้นร่างของสันตะปาปาก็ถูกกดลงกับพื้นอย่างรุนแรง เลทิเซียจ้องไปที่สันตะปาปา
“ใจเย็น? เมื่อกี้นายบอกให้ฉันใจเย็นใช่ไหม? น้องสาวของฉันถูกทำให้เป็นทาสตลอดกาลนี่ให้ฉันใจเย็นยังไงนะ?”
เลทิเซียกล่าวแบบนั้นพร้อมกับยกเท้าเปล่าที่ไม่ได้สวมรองเท้าของเธอเหยียบลงไปที่หัวของสันตะปาปาก่อนจะเหยียบแรงขึ้น
ดวงตาของมันเบิกกว้าง
“บังอาจ!!”
มันตะโกนออกมาด้วยความแค้นเคือง และเกรี้ยวโกรธ ไม่มีใครเคยกล้าเหยียดหยามศักดิ์ศรีมันมากขนาดนี้มาก่อน
ตั้งแต่ที่มันมาโลกนี้ทุกคนล้วนต่างเคารพและเชิดชูมันในฐานะ ท่านสันตะปาปาผู้ยิ่งใหญ่ แต่ตอนนี้มีเด็กที่ไม่รู้ว่าเป็นใคร
มาเหยียบหัวตนเองจะไม่ให้มันโกรธได้อย่างไร มันพยายามจะใช้พลังทั้งหมดที่ระเบิดออกมาตนเทียบเคียงกับนิลได้
ศัตรูที่จะเข่นฆ่ากันจริงๆ จังๆ ที่เลทิเซียเจอมาคนที่แข็งแกร่งที่สุดคือนิลไม่ผิดอย่างแน่นอน และอีกฝ่ายก็เก่งพอๆ กับนิล..
นั่นหมายความว่าสำหรับเลทิเซียที่ชี้นิ้วทีเดียวใส่นิลจนเธอตายได้ สำหรับสันตะปาปาตรงหน้าก็ไม่ต่างกัน
ไม่สิ.. ต่างสิ เลทิเซียแม้จะเห็นใจและสงสารนิลเพราะเรื่องราวของเธอในอดีตกับไวท์.. บางทีอาจจะเป็นเพราะแบบนั้นเลทิเซียถึงได้ฆ่าเธอทันทีไร้ความโหดเหี้ยม
แต่ตรงหน้าเธอยามนี้ไม่มีของแบบนั้น เท้าเปล่าขาวสะอาดของเธอค่อยๆ เหยียบหัวอีกฝ่าย จนมันกรีดร้องออกมา
เพราะไม่ว่าจะดิ้นรนยังไงก็ไม่อาจจะหลุดพ้นจากเท้าเปล่าของเลทิเซียได้
“พวกแกจะยืนบื้อทำพระแสงอะไรวะ ยัยเด็กนี่มันศัตรู รีบโจมตีสิวะ!”
ทุกคนที่เห็นแบบนั้น ยกเว้นราชาแวมไพร์กับจักรพรรดิมังกร ก็เตรียมท่าพร้อมจะโจมตี แต่ทว่าทันทีที่พวกเขากำลังจะเคลื่อนไหวนั้น
เท้าเลทิเซียก็เหยียบหัวของอีกฝ่ายจนแตกกระจุย กะโหลกแตกยับ สมองสดไหลทะลักออกมารวมไปถึงดวงตาที่เป็นก้อน
แต่มันยังไม่ตาย ร่างกายยังพยายามดิ้นรนต่อไป อาจจะเพราะเจ็บปวดจนเกินจะทานทนร่างกายมันถึงดิ้นรนจนถึงขึ้นทำให้ร่างกายตัวเองเจ็บปวด
ส่วนหัวของมันไม่มีท่าว่าจะฟื้นฟู เลทิเซียจ้องไปที่ลูกตาข้างหนึ่งมันที่กลิ้งออกมาจากเบ้า..
“นายก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้อันน่าหายไป ไอ้ศาสนจักรเลอะเทอะอะไรของนาย ฉันจะทำลายมันตอนนี้แหละ”
เลทิเซียพูดพร้อมกับยกมือขึ้น ด้านหน้าของมันมีภาพของศาสนจักรทั้งหมดอยู่
“วจนะเทพ : ‘ศาสนจักรและทุกคนที่เกี่ยวข้องกับคำสอนอันไร้สาระเป็นต้นเหตุให้นำพาความตายมาสู่อันน่าจะตายอย่างทรมานเทียบเท่ากับความทรมานที่อันน่าและความเจ็บปวดของชาร์ล็อตในตอนนั้น’ ”
วจนะเทพคือทักษะวาจาศักดิ์สิทธิ์ ที่ใช้บิดเบือนหลักตรรกะและเหตุผลทุกสิ่งอย่างให้กลายเป็นความจริงรูปแบบหนึ่งขึ้นมา
เป็นทักษะที่น่าจะแข็งแกร่งมากๆ ในระดับหนึ่งเลยก็ว่าได้ พริบตานั้นคนทั่วทั้งศาสนจักรก็ราวกับถูกทรมานอย่างโหดเหี้ยมราวกับที่ชาร์ล็อตโดน
เล็บถูกถอนบ้าง.. ฟันถูกถอนบ้าง หนังถูกถลกบ้าง.. ไม่เพียงแค่นั้นความเจ็บปวดของอันน่ามี่ต้องกัดฟันเสียสละทุกสิ่งอย่างแม้แต่ความรู้สึกตัวเอง
เพื่อชุบชีวิตชาร์ล็อตขึ้นมา มันยังเจ็บปวดยิ่งกว่าการทรมานทั้งหมดที่ว่ามาจนบางคนถึงขั้นจิตใจแตกสลายเพราะการทรมานจิตใจในระดับเดียวกันอีก
ก่อนที่ทั้งโบสถ์ ทั้งเมือง ทุกสิ่งทุกอย่างต่างถูกพังถล่ม…
“ศาสนามีไว้เพื่อสอนถึงบรรทัดฐาน ความดีความชั่ว.. หากพวกนายไม่มีสิ่งนั้นไม่คิดว่ามันไม่ควรมีอยู่ดีกว่าไม่ใช่เหรอ?”
ดวงตาของสันตะปาปาเต็มไปด้วยความสับสนและหวาดกลัว ทุกผู้ทุกคนในนี้ต่างพากันสูดหายใจมองภาพที่เกิดขึ้น
เหล่าผู้ศรัทธาหรือผู้เกี่ยวข้องต่างพากันล้มลงไปชักดิ้นชักงอบนพื้นทุกสิ่งอย่างดูน่ากลัว.. นี่อย่าลืมว่าแค่คำพูดคำเดียวของเลทิเซียเท่านั้น!
ทุกผู้คนต่างถอยหลังไปหลายก้าวแต่เลทิเซียก็พูดขึ้น..
“อ้อ.. เมื่อกี้.. พวกนายทุกคนมีจิตมุ่งร้ายกับฉันใช่ไหม?”
สิ้นสุดคำพูดของเลทิเซียทุกคนยกเว้นราชาแวมไพร์กับจักรพรรดิมังกรยังไม่ทันได้ตกใจหรือกรีดร้องอะไรร่างกายของพวกมันก็แตกกระจุย
เหลือแค่ดวงตาของพวกมันที่ร่วงลงกับพื้น ผู้กล้าสามคนมองเห็นหมากแห่งผู้กล้าร่วงลงกับพื้น
ปัจจัยแห่งจอมมารสามสี่อันพยายามจะลอยเข้าหาเลทิเซียแต่เลทิเซียกลับไม่สนใจมันเลยแม้แต่น้อย จะมีหรือไม่มี สำหรับเลทิเซียที่อยู่บนจุดสูงสุดนี้ก็ไม่เพิ่มอะไรอยู่ดี
และบางทีเลทิเซียอาจจะไม่รู้ตัวว่าตอนนี้เธอกำลัง.. ยิ้มอยู่ บนกองเลือดที่เต็มไปด้วยภาพอันน่าเกลียดน่ากลัวของพื้นที่แบบนี้
ใบหน้าเล็กๆ ของเธอฉีกยิ้ม.. ราวกับว่าการฆ่าเธอสามารถระบายความเกลียดชัง ความโกรธแค้น ความรู้สึกด้านลบในหัวออกไปได้
การล้างแค้นไม่ได้ช่วยอะไร? เลทิเซียอยากจะขำให้ไอ้พวกตัวเอกในนิยายที่เธอเคยอ่านผู้มีคุณธรรมสูงเสียดฟ้า
เธอไม่เข้าใจว่าพวกมันหวังล้างแค้นแล้วให้เพื่อนกลับมามีชีวิตหรือเปล่า? แต่สำหรับเธอการล้างแค้นคือการระบาย…
ระบายทุกสิ่งทุกอย่างที่กดทับเธอ.. ใช่แล้ว แค่ฆ่าก็พอไม่ใช่หรือไง พวกบัดซบที่ทำให้เพื่อนเธอตาย จะชุบชีวิตไม่ได้หรืออะไรก็ช่าง..
ทำให้มันได้รับบทลงโทษแบบเดียวกับทุกทุกคนก็พอ… ภายในวินาทีนี้เลทิเซียได้ฆ่าคนไปอีกหลายสิบล้านคนจากศาสนจักร
แต่ความรู้สึกของเธอในตอนนี้ ไม่มีความเสียใจหรือเจ็บปวดอยู่เลย มีเพียงสมน้ำหน้าพวกที่ตาย..
จิตใจของเธอบิดเบี้ยว.. จนไม่รู้จะบิดเบี้ยวยังไงแล้ว สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างไป ความพยายามทุกอย่างก็ราวกับเมฆหมอกในยามวิกาล
ที่ท้ายที่สุดเมื่อถึงรุ่งอรุณก็สลายหายไปราวกับทุกอย่างควรจะเป็นแบบนั้น ทุกอย่างมันต้องเป็นแบบนั้น
ความหวัง ความสิ้นหวัง ทุกสิ่งทุกอย่างมันพังทลายจนผสมรวมกันจนปนมั่วไปหมด ภายในหัวของเธอมีแต่ความขัดแย้งซึ่งกันและกัน
บิดเบี้ยวจนมั่วไปหมด…..
ในขณะที่จักรพรรดิมังกรกับราชาแวมไพร์มองหน้ากัน พวกมันไม่เหมือนคนโง่ที่อยู่ในนี้ เมื่อเลทิเซียปลดปล่อยพลังออกมา
ร่างกายพวกมันสั่นเทิ้มไปด้วยความ หวาดกลัว ความทรงจำเมื่ออดีตห้าร้อยปีก่อนกลับมา.. อันที่จริงราชาแวมไพร์นั้นรู้สึกตัวก่อนจักรพรรดิมังกร
เพราะเขาเห็นหน้าเลทิเซียแบบไม่ใช่ร่างแยก ดังนั้นเมื่อเลทิเซียปรากฏตัวขึ้นที่นี่เขาก็แข็งค้างไปก่อนใคร…
อันที่จริงทั้งจักรพรรดิมังกรหรือราชาแวมไพร์ไม่ใช่ว่าไม่โกรธหรือไม่อยากล้างแค้นมหาปราชญ์… แต่เมื่อมาอยู่ต่อหน้าจริงๆ …
ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนถูกกดทับ.. เข่าพวกเขาทรุดลงกับพื้น ..
“โปรดเมตตาด้วย ท่านมหาปราชญ์”