World of Warcraft ราชันต่างภพ - ตอนที่ 581
ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล
โถวปากุ้ยในวันนี้ไม่ใช่โถวปากุ้ยคนเดิมอีก เพียงเสียงของเขาก็แสดงให้เห็นความแข็งแกร่งที่บรรลุถึงขั้นน่าสะพรึง เป็นน้ำเสียงที่แฝงกลิ่นอายชั่วร้ายอยู่เต็มเปี่ยม “โถวปากุ้ย ตอนนี้เจ้ากลายเป็นปีศาจไปแล้วสินะ สิ่งที่เจ้าต้องการคือทำให้ชาวเมฆาทุกคนกลายเป็นสิ่งน่ารังเกียจเช่นเจ้า? ก่อนหน้านี้ แม้เจ้าจะก่อกบฏ แต่ข้าก็ยังปฏิบัติต่อเจ้าในฐานะชาวเมฆาผู้หนึ่ง หากแต่ตอนนี้เจ้าไม่ใช่ชาวเมฆาอีกต่อไปแล้ว วันนี้ข้าจะสังหารเจ้าลงที่นี่เพื่อเซ่นสังเวยดวงวิญญาณชาวเมฆาที่ตกตายไปเพราะเจ้า!” แม้จะตะลึงในคราแรก แต่โถวปาหงก็คืนสติและตอบโต้กลับไปในทันที จะปล่อยให้อีกฝ่ายลดขวัญกำลังใจของไพร่พลไม่ได้เด็ดขาด “เหอเหอ…โถวปาหง ความแข็งแกร่งของข้าเวลานี้สุดที่เจ้าจะเข้าใจได้ พลังของข้าเหนือล้ำกว่าโลกนี้โดยสิ้นเชิง และข้าต้องการให้ชาวเมฆาทุกคนได้ติดตามข้าไปยังโลกแห่งนั้น ที่โลกแห่งนั้น ทุกคนจะเป็นนิรันดร์ ที่นั่นทุกคนจะเป็นอิสระ ที่นั่นพวกเราจะเป็นพระเจ้า ฮ่าฮ่าฮ่า….พวกเราจะเป็นกลุ่มแรก ข้าจะทำให้ผู้คนในจักรวรรดิกลายเป็นต้นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ” น้ำเสียงอันบ้าคลั่งของโถวปากุ้ยดังขึ้นอีกครั้ง ความบ้าคลั่งที่แฝงมานั้นทำให้ทุกคนที่ได้ฟังรู้สึกสะท้านอยู่ในใจ “ในเมื่อเจ้ามีสภาพเช่นนี้แล้วก็ไม่มีอะไรต้องพูดคุยกันอีก ด้วยนามของเทพหมาป่า กำจัดปีศาจร้ายเพื่อล้างมลทินให้จักรวรรดิเมฆา!” โถวปาหงตะโกนขึ้นด้วยเสียงอันดัง ก่อนที่ชาวเมฆาทุกคนจะตะโกนตาม “ฮ่าฮ่าฮ่า…มาเถอะ” โถวปากุ้ยหัวเราะขึ้นก่อนจะสั่งกองทัพทหารทมิฬบุกโจมตี “เตรียมต่อสู้! พลหน้าไม้ พลเครื่องยิงหิน เตรียมยิง!…” เสียงตะโกนสั่งการดังขึ้นตลอดแนวกำแพง ชาวเมฆาทุกคนต่างมีความตั้งใจเดียว นั่นคือกวาดล้างศัตรูที่ดาหน้าเข้ามาจนราบคาบ ตึง ตึง ตึง…. ทหารทมิฬต่างพากันเดินขึ้นหน้า พวกมันแบ่งออกเป็นหลายกลุ่มย่อย บางกลุ่มแบกบันได บางกลุ่มดันเครื่องยิงหน้าไม้หรืออุปกรณ์ตีเมืองชนิดต่างๆ แต่ที่ทำให้พวกมันได้เปรียบที่สุดก็คือ จำนวนที่มากมายมหาศาล เมื่อกองทัพทมิฬเคลื่อนตัวใกล้เข้ามา เซียวอวี๋และโถวปาหงก็สามารถมองเห็นกองทัพของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน ที่กึ่กลางทัพของพวกทหารทมิฬมีปราการเคลื่อนที่สีดำทมึนที่ถูกลากจูงโดยม้าหลายสิบตัว ที่จุดสูงสุดของปราการคือบัลลังก์ที่มีบุรุษใบหน้าซีดขาวกำลังยิ้มอย่างเย็นชา บุรุษผู้นั้นคือโถวปากุ้ยที่กลายสภาพ โถวปากุ้ยเวลานี้แทบจดจำเค้าเดิมไม่ได้ เขากลายเป็นปีศาจไปแล้วจริงๆ รัศมีพลังสีดำที่โอบล้อมรอบกายของเขาทำให้ดูชั่วร้ายอย่างยิ่ง “บัดซบ พลังของมันแข็งแกร่งมาก ท่านอ้าวปา ท่านมีความมั่นใจว่าจะจัดการโถวปากุ้ยได้หรือไม่?” เซียวอวี๋หันไปถามอ้าวปาที่ยืนอยู่ไม่ไกล อ้าวปาส่ายหน้าก่อนจะกล่าวว่า “เพียงรัศมีพลังของมันก็แข็งแกร่งมากแล้ว ทั้งยังเหนือกว่าข้าไปมาก หากมีเพียงข้าคงไม่อาจรับมือมันได้ พลังระดับนี้คงมีเพียงการลงมือของผู้อาวุโสสามจ้าวมนตราแล้ว” “น่าเสียดายที่ผู้อาวุโสทั้งสามไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย แต่ไม่เป็นไร หากพวกเราร่วมมือกันยังกลัวกำราบอีกฝ่ายลงไม่ได้หรือ?” เซียวอวี๋เวลานี้มั่นใจกว่าเดิมมาก ด้วยพลังของดาบแห่งคาริมดอร์ที่ถือครองอยู่ เขาก็ไม่หวั่นเกรงผู้ใด อีกทั้งที่ข้างกายยังมีกรอม คาร์นและคนอื่นๆอยู่อีก เขายังต้องเกรงกลัวไปใย? ของเพียงอีกฝ่ายไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนคฑูนก็พอ คฑูนเป็นเทพจากยุคโบราณ พลังย่อมอยู่ในขีดขั้นสุด สามจ้าวมนตราต้องร่ายเวทต้องห้ามออกจึงจะสยบมันลงได้ หากแต่โถวปากุ้ยผู้นี้ไม่ได้แข้งแกร่งถึงขั้นนั้น อย่างมากเพียงอยู่ในขั้นที่เจ็ด เซียวอวี๋ย่อมไม่เกรงกลัว ขนาดกอล็อกและออกุสตุสที่ทรงพลังเพียงนั้นยังถูกเขาจัดการมาแล้ว โถวปากุ้ยผู้นี้หรือจะเหนือกว่าพวกนั้น? อย่างมากเพียงเทียบเท่าได้เท่านั้น ฆ่า………. เสียงร่ำร้องดังขึ้นขณะพวกทหารทมิฬโถมบุกใส่กำแพง ขณะที่ไพร่พลที่ประจำการบนกำแพงซึ่งเตรียมตัวอยู่ก่อนแล้วก็เปิดฉากโจมตีกลับ “เครื่องยิงหินกลุ่มที่หนึ่ง ยิงได้!” “เครื่องยิงหินกลุ่มที่สอง ยิงได้!” เครื่องยิงหินนั้นมีระยะโจมตีได้ไกลที่สุด ดังนั้นหน้าที่เปิดฉากจึงตกเป็นของพวกมัน เสียงวัตถุหนักอึ้งดีดขึ้นสู่อากาศดังกังวานไปทั่วทั้งสนามรบ ก้อนหินใหญ่น้อยนับไม่ถ้วนพุ่งเข้าใส่ร่างของพวกทหารทมิฬจนล้มกันระนาว พวกมันส่วนใหญ่กลายเป็นเศษเนื้อก่อนจะทันรู้สึกตัวเสียด้วยซ้ำ ก้อนหินเหล่านี้ดูไปธรรมดายิ่ง หากแต่อานุภาพยามที่มันตกลงมาจากฟ้านั้นสุดที่ร่างเลือดเนื้อจะต้านทานได้ เนื่องจากเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้า จำนวนของเครื่องยิงหินจึงเรียงรายอยู่เต็มแนวกำแพง ท้องฟ้าในเวลานี้มีก้อนหินปลิวว่อนประดุจห่าฝน ทหารทมิฬล้มลงดุจใบไม้ร่วงแทบทุกวินาที เห็นอานุภาพการโจมตีเช่นนี้ กระทั่งไพร่พลที่ประจำการอยู่บนกำแพงก็ยังตะลึง “เครื่องยิงบาริสต้าหลุ่มที่หนึ่ง ยิงได้!” “เครื่องยิงบาริสต้าหลุ่มที่สอง….ยิงได้!” แม้เครื่องยิงหินจะทรงอำนาจและสามารถสังหารทหารทมิฬจำนวนนับไม่ถ้วนได้ในคราวเดียว กระนั้นที่เบื้องหน้ากลับมีทหารทมิฬมากเกินไป พวกมันยังคงเคลื่อนตัวมาดุจฝูงมด ดังนั้นคราวนี้จึงถึงเวลาของเครื่องยิงบาริสต้า ลูกธนูจำนวนนับไม่ถ้วนแหวกฝ่าอากาศก่อนจะปักตามร่างของพวกทหารทมิฬที่วิ่งเข้ามาจนกลายเป็นตัวเม่น ฆ่า ฆ่า……. พวกทหารทมิฬยังคงบุกขึ้นหน้าอย่างไม่มีเกรงกลัว แม้จะเผชิญห่าธนูที่ปลิวว่อนเต็มผืนฟ้า พวกมันก็ยังวิ่งไปข้างหน้าอย่างไม่ลังเล ในใจของพวกมันไม่มีความรู้สึกที่เรียกว่าความกลัว เพียงเริ่มต้นสงครามก็เดือดระอุ โลหิตไหลนองกลบหน้าดินจนแดงฉาน พวกทหารทมิฬบางส่วนเริ่มพาดบันไดกับกำแพงได้แล้ว แนวกำแพงด่านที่ทอดยาวนับร้อยกิโลเมตรล้วนถูกคลื่นสีดำบุกจู่โจมไม่ว่างเว้น แนวการรบที่ทอดยาวเช่นนี้ ขอเพียงมีช่องโหว่ปรากฏขึ้นแม้เพียงเล็กน้อยก็สามารถนำไปสู่จุดสิ้นสุดของสงคราม เซียวอวี๋ขี่มังกรน้อยบินสังเกตการณ์อยู่บนท้องฟ้า ขณะที่บางเวลาก็สั่งการทัพอากาศและทัพพยัคฆ์ให้เข้าช่วยเหลือตำแหน่งที่เพลี่ยงพล้ำ กองทัพอากาศและทัพพยัคฆ์เป็นสองทัพที่มีความคล่องตัวสูง ทั้งสองสามารถเคลื่อนไปกลับได้ตลอดแนวกำแพง ไพร่พลทางฝั่งจักรวรรดิเมฆาถูกแบ่งออกเป็นหลายระลอกผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันขึ้นไปป้องกันกำแพงด่าน เพราะนี่คือสงครามยืดยื้อ การออมกำลังเอาไว้จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ชนะในสงคราม ครั้งนี้มีชาวเมฆาเข้าร่วมจำนวนมาก มีไพร่พลทหารกว่าหนึ่งล้าน และผู้ที่ทำหน้าที่คอยสนับสนุนสูงมากกว่าสิบล้านคน ด้วยเหตุนี้นี่จึงเป็นแนวกำแพงที่เพรียบพร้อมไปด้วยปัจจัยต่างๆ ความจริงได้พิสูจน์แล้วว่าการเสริมแกร่มแนวป้องกันของเซียวอวี๋ก่อนที่สงครามครั้งใหญ่จะเริ่มนั้นถูกต้อง แนวป้องกันอันไร้ที่ตินี้ทำให้ประชาชนชาวเมฆาทุกคนมีความหวัง ท่ามกลางกลุ่มทหารทมิฬที่เข้าโจมตีก็มีนักรบแดนใต้หรือกระทั่งสัตว์ประหลาดร่างยักษ์ บ้างก็เป็นสัตว์ประหลาดสี่แขนที่ปีนกำแพงเมื่อครั้งก่อน บ้างก็เป็นพวกสัตว์ประหลาดตาเดียวที่ถือค้อนขนาดใหญ่ บ้างก็เป็นปีศาจมีปีก กองทัพที่โถวปากุ้ยขนออกมาคราวนี้นับว่ายิ่งใหญ่กว่าครั้งก่อนมากนัก อย่างไรก็ตาม เซียวอวี๋ได้จัดเตรียมหน่วยเครื่องยิงบาริสต้าเอาไว้รับมือกับพวกมันอยู่ก่อนแล้ว หน่วยเครื่องยิงบาริสต้าแต่ละหน่วยจะมีเครื่องอยู่หน่วยละสิบเครื่อง กำลังคนห้าสิบคน แต่ละเครื่องจะใช้คนดูแลห้าคน เมื่อเห็นสัตว์ประหลาดร่างยักษ์ปรากฏในระยะยิง เครื่องบาริสต้าทุกเครื่องก็จะเปลี่ยนเป็นบรรจุลูกธนูเวทและยิงไปยังสัตว์ประหลาดยักษ์เหล่านั้น การเตรียมการเช่นนี้ทำให้พวกสัตว์ประหลาดยักษ์ทำอะไรไม่ได้มาก แม้เซียวอวี๋จะมีหน่วยรบแข็งแกร่งอื่นๆที่สามารถจัดการกับพวกสัตว์ประหลาดเหล่านี้ หากแต่จำนวนนั้นน้อยเกินไป พวกเขาย่อมไม่อาจแบ่งไปประจำการตามแนวกำแพงที่ยาวนับร้อยกิโลเมตรนี้ได้ ดังนั้นหน่วยเครื่องยิงบาริสต้าจึงถูกจัดเตรียมไว้เพื่อการนี้ พวกสัตว์ประหลาดยักษ์นั้นเป็นภัยคุกคามอย่างมาก หากไม่ระวังป้องกันไว้ก่อนคงต้องมีกำแพงบางส่วนถูกยึดไปเป็นแน่…….
โถวปากุ้ยในวันนี้ไม่ใช่โถวปากุ้ยคนเดิมอีก เพียงเสียงของเขาก็แสดงให้เห็นความแข็งแกร่งที่บรรลุถึงขั้นน่าสะพรึง เป็นน้ำเสียงที่แฝงกลิ่นอายชั่วร้ายอยู่เต็มเปี่ยม
“โถวปากุ้ย ตอนนี้เจ้ากลายเป็นปีศาจไปแล้วสินะ สิ่งที่เจ้าต้องการคือทำให้ชาวเมฆาทุกคนกลายเป็นสิ่งน่ารังเกียจเช่นเจ้า? ก่อนหน้านี้ แม้เจ้าจะก่อกบฏ แต่ข้าก็ยังปฏิบัติต่อเจ้าในฐานะชาวเมฆาผู้หนึ่ง หากแต่ตอนนี้เจ้าไม่ใช่ชาวเมฆาอีกต่อไปแล้ว วันนี้ข้าจะสังหารเจ้าลงที่นี่เพื่อเซ่นสังเวยดวงวิญญาณชาวเมฆาที่ตกตายไปเพราะเจ้า!”
แม้จะตะลึงในคราแรก แต่โถวปาหงก็คืนสติและตอบโต้กลับไปในทันที จะปล่อยให้อีกฝ่ายลดขวัญกำลังใจของไพร่พลไม่ได้เด็ดขาด
“เหอเหอ…โถวปาหง ความแข็งแกร่งของข้าเวลานี้สุดที่เจ้าจะเข้าใจได้ พลังของข้าเหนือล้ำกว่าโลกนี้โดยสิ้นเชิง และข้าต้องการให้ชาวเมฆาทุกคนได้ติดตามข้าไปยังโลกแห่งนั้น ที่โลกแห่งนั้น ทุกคนจะเป็นนิรันดร์ ที่นั่นทุกคนจะเป็นอิสระ ที่นั่นพวกเราจะเป็นพระเจ้า ฮ่าฮ่าฮ่า….พวกเราจะเป็นกลุ่มแรก ข้าจะทำให้ผู้คนในจักรวรรดิกลายเป็นต้นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ” น้ำเสียงอันบ้าคลั่งของโถวปากุ้ยดังขึ้นอีกครั้ง ความบ้าคลั่งที่แฝงมานั้นทำให้ทุกคนที่ได้ฟังรู้สึกสะท้านอยู่ในใจ
“ในเมื่อเจ้ามีสภาพเช่นนี้แล้วก็ไม่มีอะไรต้องพูดคุยกันอีก ด้วยนามของเทพหมาป่า กำจัดปีศาจร้ายเพื่อล้างมลทินให้จักรวรรดิเมฆา!”
โถวปาหงตะโกนขึ้นด้วยเสียงอันดัง ก่อนที่ชาวเมฆาทุกคนจะตะโกนตาม
“ฮ่าฮ่าฮ่า…มาเถอะ” โถวปากุ้ยหัวเราะขึ้นก่อนจะสั่งกองทัพทหารทมิฬบุกโจมตี
“เตรียมต่อสู้! พลหน้าไม้ พลเครื่องยิงหิน เตรียมยิง!…”
เสียงตะโกนสั่งการดังขึ้นตลอดแนวกำแพง ชาวเมฆาทุกคนต่างมีความตั้งใจเดียว นั่นคือกวาดล้างศัตรูที่ดาหน้าเข้ามาจนราบคาบ
ตึง ตึง ตึง….
ทหารทมิฬต่างพากันเดินขึ้นหน้า พวกมันแบ่งออกเป็นหลายกลุ่มย่อย บางกลุ่มแบกบันได บางกลุ่มดันเครื่องยิงหน้าไม้หรืออุปกรณ์ตีเมืองชนิดต่างๆ แต่ที่ทำให้พวกมันได้เปรียบที่สุดก็คือ จำนวนที่มากมายมหาศาล
เมื่อกองทัพทมิฬเคลื่อนตัวใกล้เข้ามา เซียวอวี๋และโถวปาหงก็สามารถมองเห็นกองทัพของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน ที่กึ่กลางทัพของพวกทหารทมิฬมีปราการเคลื่อนที่สีดำทมึนที่ถูกลากจูงโดยม้าหลายสิบตัว ที่จุดสูงสุดของปราการคือบัลลังก์ที่มีบุรุษใบหน้าซีดขาวกำลังยิ้มอย่างเย็นชา
บุรุษผู้นั้นคือโถวปากุ้ยที่กลายสภาพ โถวปากุ้ยเวลานี้แทบจดจำเค้าเดิมไม่ได้ เขากลายเป็นปีศาจไปแล้วจริงๆ รัศมีพลังสีดำที่โอบล้อมรอบกายของเขาทำให้ดูชั่วร้ายอย่างยิ่ง
“บัดซบ พลังของมันแข็งแกร่งมาก ท่านอ้าวปา ท่านมีความมั่นใจว่าจะจัดการโถวปากุ้ยได้หรือไม่?” เซียวอวี๋หันไปถามอ้าวปาที่ยืนอยู่ไม่ไกล
อ้าวปาส่ายหน้าก่อนจะกล่าวว่า “เพียงรัศมีพลังของมันก็แข็งแกร่งมากแล้ว ทั้งยังเหนือกว่าข้าไปมาก หากมีเพียงข้าคงไม่อาจรับมือมันได้ พลังระดับนี้คงมีเพียงการลงมือของผู้อาวุโสสามจ้าวมนตราแล้ว”
“น่าเสียดายที่ผู้อาวุโสทั้งสามไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย แต่ไม่เป็นไร หากพวกเราร่วมมือกันยังกลัวกำราบอีกฝ่ายลงไม่ได้หรือ?”
เซียวอวี๋เวลานี้มั่นใจกว่าเดิมมาก ด้วยพลังของดาบแห่งคาริมดอร์ที่ถือครองอยู่ เขาก็ไม่หวั่นเกรงผู้ใด อีกทั้งที่ข้างกายยังมีกรอม คาร์นและคนอื่นๆอยู่อีก เขายังต้องเกรงกลัวไปใย? ของเพียงอีกฝ่ายไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนคฑูนก็พอ
คฑูนเป็นเทพจากยุคโบราณ พลังย่อมอยู่ในขีดขั้นสุด สามจ้าวมนตราต้องร่ายเวทต้องห้ามออกจึงจะสยบมันลงได้ หากแต่โถวปากุ้ยผู้นี้ไม่ได้แข้งแกร่งถึงขั้นนั้น อย่างมากเพียงอยู่ในขั้นที่เจ็ด เซียวอวี๋ย่อมไม่เกรงกลัว
ขนาดกอล็อกและออกุสตุสที่ทรงพลังเพียงนั้นยังถูกเขาจัดการมาแล้ว โถวปากุ้ยผู้นี้หรือจะเหนือกว่าพวกนั้น?
อย่างมากเพียงเทียบเท่าได้เท่านั้น
ฆ่า……….
เสียงร่ำร้องดังขึ้นขณะพวกทหารทมิฬโถมบุกใส่กำแพง ขณะที่ไพร่พลที่ประจำการบนกำแพงซึ่งเตรียมตัวอยู่ก่อนแล้วก็เปิดฉากโจมตีกลับ
“เครื่องยิงหินกลุ่มที่หนึ่ง ยิงได้!”
“เครื่องยิงหินกลุ่มที่สอง ยิงได้!”
เครื่องยิงหินนั้นมีระยะโจมตีได้ไกลที่สุด ดังนั้นหน้าที่เปิดฉากจึงตกเป็นของพวกมัน เสียงวัตถุหนักอึ้งดีดขึ้นสู่อากาศดังกังวานไปทั่วทั้งสนามรบ
ก้อนหินใหญ่น้อยนับไม่ถ้วนพุ่งเข้าใส่ร่างของพวกทหารทมิฬจนล้มกันระนาว พวกมันส่วนใหญ่กลายเป็นเศษเนื้อก่อนจะทันรู้สึกตัวเสียด้วยซ้ำ
ก้อนหินเหล่านี้ดูไปธรรมดายิ่ง หากแต่อานุภาพยามที่มันตกลงมาจากฟ้านั้นสุดที่ร่างเลือดเนื้อจะต้านทานได้
เนื่องจากเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้า จำนวนของเครื่องยิงหินจึงเรียงรายอยู่เต็มแนวกำแพง ท้องฟ้าในเวลานี้มีก้อนหินปลิวว่อนประดุจห่าฝน ทหารทมิฬล้มลงดุจใบไม้ร่วงแทบทุกวินาที
เห็นอานุภาพการโจมตีเช่นนี้ กระทั่งไพร่พลที่ประจำการอยู่บนกำแพงก็ยังตะลึง
“เครื่องยิงบาริสต้าหลุ่มที่หนึ่ง ยิงได้!”
“เครื่องยิงบาริสต้าหลุ่มที่สอง….ยิงได้!”
แม้เครื่องยิงหินจะทรงอำนาจและสามารถสังหารทหารทมิฬจำนวนนับไม่ถ้วนได้ในคราวเดียว กระนั้นที่เบื้องหน้ากลับมีทหารทมิฬมากเกินไป พวกมันยังคงเคลื่อนตัวมาดุจฝูงมด
ดังนั้นคราวนี้จึงถึงเวลาของเครื่องยิงบาริสต้า ลูกธนูจำนวนนับไม่ถ้วนแหวกฝ่าอากาศก่อนจะปักตามร่างของพวกทหารทมิฬที่วิ่งเข้ามาจนกลายเป็นตัวเม่น
ฆ่า ฆ่า…….
พวกทหารทมิฬยังคงบุกขึ้นหน้าอย่างไม่มีเกรงกลัว แม้จะเผชิญห่าธนูที่ปลิวว่อนเต็มผืนฟ้า พวกมันก็ยังวิ่งไปข้างหน้าอย่างไม่ลังเล
ในใจของพวกมันไม่มีความรู้สึกที่เรียกว่าความกลัว
เพียงเริ่มต้นสงครามก็เดือดระอุ โลหิตไหลนองกลบหน้าดินจนแดงฉาน พวกทหารทมิฬบางส่วนเริ่มพาดบันไดกับกำแพงได้แล้ว
แนวกำแพงด่านที่ทอดยาวนับร้อยกิโลเมตรล้วนถูกคลื่นสีดำบุกจู่โจมไม่ว่างเว้น แนวการรบที่ทอดยาวเช่นนี้ ขอเพียงมีช่องโหว่ปรากฏขึ้นแม้เพียงเล็กน้อยก็สามารถนำไปสู่จุดสิ้นสุดของสงคราม
เซียวอวี๋ขี่มังกรน้อยบินสังเกตการณ์อยู่บนท้องฟ้า ขณะที่บางเวลาก็สั่งการทัพอากาศและทัพพยัคฆ์ให้เข้าช่วยเหลือตำแหน่งที่เพลี่ยงพล้ำ
กองทัพอากาศและทัพพยัคฆ์เป็นสองทัพที่มีความคล่องตัวสูง ทั้งสองสามารถเคลื่อนไปกลับได้ตลอดแนวกำแพง
ไพร่พลทางฝั่งจักรวรรดิเมฆาถูกแบ่งออกเป็นหลายระลอกผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันขึ้นไปป้องกันกำแพงด่าน
เพราะนี่คือสงครามยืดยื้อ การออมกำลังเอาไว้จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ชนะในสงคราม
ครั้งนี้มีชาวเมฆาเข้าร่วมจำนวนมาก มีไพร่พลทหารกว่าหนึ่งล้าน และผู้ที่ทำหน้าที่คอยสนับสนุนสูงมากกว่าสิบล้านคน ด้วยเหตุนี้นี่จึงเป็นแนวกำแพงที่เพรียบพร้อมไปด้วยปัจจัยต่างๆ
ความจริงได้พิสูจน์แล้วว่าการเสริมแกร่มแนวป้องกันของเซียวอวี๋ก่อนที่สงครามครั้งใหญ่จะเริ่มนั้นถูกต้อง แนวป้องกันอันไร้ที่ตินี้ทำให้ประชาชนชาวเมฆาทุกคนมีความหวัง
ท่ามกลางกลุ่มทหารทมิฬที่เข้าโจมตีก็มีนักรบแดนใต้หรือกระทั่งสัตว์ประหลาดร่างยักษ์ บ้างก็เป็นสัตว์ประหลาดสี่แขนที่ปีนกำแพงเมื่อครั้งก่อน บ้างก็เป็นพวกสัตว์ประหลาดตาเดียวที่ถือค้อนขนาดใหญ่ บ้างก็เป็นปีศาจมีปีก
กองทัพที่โถวปากุ้ยขนออกมาคราวนี้นับว่ายิ่งใหญ่กว่าครั้งก่อนมากนัก
อย่างไรก็ตาม เซียวอวี๋ได้จัดเตรียมหน่วยเครื่องยิงบาริสต้าเอาไว้รับมือกับพวกมันอยู่ก่อนแล้ว หน่วยเครื่องยิงบาริสต้าแต่ละหน่วยจะมีเครื่องอยู่หน่วยละสิบเครื่อง กำลังคนห้าสิบคน แต่ละเครื่องจะใช้คนดูแลห้าคน เมื่อเห็นสัตว์ประหลาดร่างยักษ์ปรากฏในระยะยิง เครื่องบาริสต้าทุกเครื่องก็จะเปลี่ยนเป็นบรรจุลูกธนูเวทและยิงไปยังสัตว์ประหลาดยักษ์เหล่านั้น
การเตรียมการเช่นนี้ทำให้พวกสัตว์ประหลาดยักษ์ทำอะไรไม่ได้มาก
แม้เซียวอวี๋จะมีหน่วยรบแข็งแกร่งอื่นๆที่สามารถจัดการกับพวกสัตว์ประหลาดเหล่านี้ หากแต่จำนวนนั้นน้อยเกินไป พวกเขาย่อมไม่อาจแบ่งไปประจำการตามแนวกำแพงที่ยาวนับร้อยกิโลเมตรนี้ได้
ดังนั้นหน่วยเครื่องยิงบาริสต้าจึงถูกจัดเตรียมไว้เพื่อการนี้
พวกสัตว์ประหลาดยักษ์นั้นเป็นภัยคุกคามอย่างมาก หากไม่ระวังป้องกันไว้ก่อนคงต้องมีกำแพงบางส่วนถูกยึดไปเป็นแน่…….