Top Up Now 2 ภาคบุรุษหมื่นเหรียญ - ตอนที่ 23 เป็นเจ้า ?
เหนือภพหันไปมองขุนศรีไชยะที่จ้องมองมาด้วยความแค้น
“เจ้ามองข้าทำไม ถ้าเจ้ายังคงเป็นเหมือนพี่เจ้า ก็จึงระลึกไว้ว่า เจ้าก็จะลงเอยแบบมัน”
“ทำไม ทำไมไม่ฆ่าพี่ข้า ทำไมต้องปล่อยให้เขาทรมาน”
ทันใดนั้นเสียงกรีดร้องอย่างทุกข์ทรมานของพันศรีวะราก็ดังออกมาจากห้องใต้ดิน น้ำเสียงนั้นแหบแห้งและก็อ่อนแรงลงทุกที แต่เขาก็ยังไม่ตาย เขายังสามารถเรียกใช้เกราะอาคมได้บางจังหวะ
“นั่นเป็นสิ่งที่มันควรรู้ ในเมื่อมันทำคนอื่นได้ แล้วคนอื่นจะทำมันกลับไม่ได้งั้นเหรอ ?”
คำพูดของเหนือภพ ทำให้ขุนศรีไชยะพูดไม่ออก เขารู้ดีว่าสักวันมันจะต้องเกิดเรื่องแบบนี้ แต่ความเป็นจริงมันน่ากลัวกว่าสิ่งที่เขาคิดไว้มากนัก
“ข้าขอใช้ชีวิตของข้าแลกกับพี่ชายข้า”
“หืม ?”
ดวงตาของเหนือภพเริ่มสั่นไหว
“ทำไม เจ้าอยากให้มันรอดแล้วออกมาทำร้ายผู้คนอีกงั้นเหรอ ?”
ขุนศรีไชยะยังคงไม่ยอมแพ้ เขากัดฟันฝืนตอบ
“ได้โปรดเถอะ อย่างน้อยก็อย่าได้ทรมานเขาอีกเลย ใช้ชีวิตของข้าเพื่อหยุดความทรมานนั้น ให้พี่ชายข้าตายอย่างสงบได้หรือเปล่า ได้โปรด แม้ข้าจะไม่ได้ร่ำรวย แต่ข้าก็มีทรัพย์สินมากมาย ขอเพียงท่านช่วยให้พี่ชายข้าไปอย่างสงบ ทุกอย่างของข้าจะเป็นของท่าน”
ขุนศรีไชยะขอร้องพร้อมเอากระดาษที่ซ่อนอยู่ในสาบเสื้อออกมายื่นให้กับเหนือภพ จากนั้นเขาก็ดึงดาบเหล็กไหลคู่กายตัดสะบั้นคอตัวเองอย่างรวดเร็ว โดยไม่มีสัญญาณเตือนใดใด
ภาพในความทรงจำของเขาย้อนกลับมาพร้อมกับความรู้สึกที่กำลังดำดิ่งลึกลงไปยังเหวลึกของความตาย
ภาพในวัยเด็กของเขานั้นช่างสวยงาม มันเป็นช่วงเวลาที่เด็กชายศรีไชยะมีความสุขที่สุด พี่ชายแท้ ๆ ของเขาคือเด็กชายศรีวะรา พวกเขาทั้งสองเกิดมาในครอบครัวขุนนางที่มียศถาบรรดาศักดิ์ แต่แล้วในวัยเด็กพ่อของเขาที่เป็นขุนนางได้ถูกคู่อริทางการเมืองใส่ร้ายและถูกทรมานในคุกจนตาย ส่วนแม่ก็ถูกศัตรูจับตัวไปทรมานต่าง ๆ นานาเพื่อให้บอกความลับ จนในที่สุดก็ตายตามพ่อไป
เขาและพี่ชายต้องระหกระเหินเอาชีวิตรอดไปตามประสา และเพื่อหาเงินมาเลี้ยงเขา พี่ชายเขาจึงทำทุกอย่าง ไม่ว่าจะขโมย หลอกลวง เมื่อโตขึ้นก็เรียนรู้ที่จะฆ่า ข่มขู่ กรรโชก ขณะที่ตัวเขาถูกพี่ชายปกป้องดังไข่ในหิน เขาไม่เคยรับรู้ถึงแหล่งที่มาของเงินแต่ละเหรียญ อาหารแต่ละมื้อ หน้าที่ของเขาก็คือเรียนหนังสือเพื่อตอบแทนพี่ชายเพียงเท่านั้น
ในที่สุดเขาก็เป็นฮันเตอร์ที่สร้างผลงานมากมาย จนถูกทาบทามเข้าสู่รั้วพระราชวัง ได้มียศตำแหน่ง จนสามารถทวงคืนความเป็นธรรมที่ตระกูลได้รับไปได้สำเร็จ ความอัปยศในอดีตที่ได้รับถูกชำระล้าง
แต่ว่าเวลากว่า 20 ปีที่พี่ชายของเขาดำดิ่งอยู่ในความมืดมานาน จิตใจของเขาจึงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป แม้เขาจะพยายามเตือนสติเช่นไรแต่มันก็สายไปแล้ว นี่เป็นความผิดของเขา เขาควรจะใช้ชีวิตตัวเองชดเชยให้กับบาปของพี่ชาย มันสมควรแล้ว
ศีรษะที่หลุดลอยของขุนศรีไชยะนั้นไม่ได้ลืมตาขึ้นอีกเลย ใบหน้าไม่ปรากฏรอยเคียดแค้น แต่กลับดูผ่อนคลาย มุมปากเหมือนยกยิ้มอย่างโล่งใจ
เหนือภพมองอย่างเศร้าใจ ถึงเป็นพี่น้องกันแต่นิสัยกลับต่างกันถึงเพียงนี้ ตอนแรกเขาคิดว่าเขาควรฆ่าขุนศรีไชยะ ด้วยเหตุผลที่ว่าพี่น้องกันก็ต้องรู้เห็นเป็นใจกัน แต่พอเห็นแบบนี้แล้ว เขาก็รู้สึกสะเทือนใจเช่นกัน
“หรือเขาจะเป็นคนดีกว่าที่ข้าคิด”
เหนือภพเดินไปใกล้เพื่อหยิบกระดาษอาคมที่ถูกพับครึ่งหนึ่ง จากนั้นก็คลี่ออกมาอ่าน มันคือพินัยกรรม เป็นจดหมายที่เหล่าฮันเตอร์มักพกติดตัว เพื่อให้คนที่พบศพเขา ทำเรื่องสุดท้ายให้แก่เขา
ภายในจดหมายพินัยกรรม สิ่งที่ขุนศรีไชยะเขียนไว้ส่วนใหญ่มีแต่เรื่องฝากฝังให้ดูแลพี่ชายเพียงคนเดียวของเขา แล้วเขาจะมอบทรัพย์สมบัติที่ตัวเองเก็บซ่อนไว้ให้
สุดท้ายสิ่งที่ศรีไชยะเป็นห่วง ก็ยังเป็นเพียงพี่ชายที่ชั่วช้าคนหนึ่ง
เหนือภพเห็นแบบนี้แล้วจะไม่ทำอะไรเลย เขาก็รู้สึกผิด เขาจึงเคลื่อนตัวไปทางห้องใต้ดินหวังจะยุติความทรมานให้พันศรีวะรา
แต่ทันใดนั้นเขาก็หรี่ตาลง มีดหมอที่ถูกซ่อนไว้ในเสื้อคลุมถูกเหวี่ยงออกไปยังทิศทางหนึ่ง ทิศทางที่เต็มไปด้วยจิตมุ่งร้าย
เคล้ง !!
เสียงโลหะปะทะกัน มีดหมอถูกเบนออกไปทางหนึ่ง แต่เหนือภพก็สามารถพุ่งตัวไปรับมันไว้ได้ทัน จากนั้นภาพชายรูปร่างคุ้นตาก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าเหนือภพ แม้เสื้อผ้าและทรงผมจะเปลี่ยนไป แต่ใบหน้านั้นกลับยังคงเหมือนเดิม และเหนือภพไม่มีทางลืมมันแน่
“ขุนภาม !”
แววตาของขุนภามเบิกขึ้นพร้อมกับขมวดคิ้ว ก่อนจะยิ้มกว้าง ดวงตาครุ่นคิด
“เจ้ารู้จักข้าด้วย หืม แปลกนะ ทำไมข้าถึงไม่รู้จักเจ้า”
เหนือภพไม่สนใจอะไรทั้งนั้น อาคมที่เขาไม่เคยคิดใช้มาตลอด ก็ถูกเรียกใช้ในทันที
“ย่นระยะทาง”
คำร่ายหลุดออกมาจากปากของเหนือภพ พร้อมร่างกายที่เรืองรองไปด้วยแสงสีส้ม ปรากฏพรึบเบื้องหน้าของขุนภามที่ยังคงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่ขุนภามก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อได้ยินเสียงพำพึมต่อมา
“เถรกวาดลาน”
ร่างของขุนภามถูกแข้งขวาของเหนือภพเตะต่ำ กวาดจากขวาไปซ้ายอย่างรุนแรงจนร่างกายสูญเสียสมดุล แต่ยังไม่ทันที่ร่างกายจะตกกระแทกพื้น ขุนภามก็ต้องอ้าปากค้างร้องครางออกมาอย่างเจ็บปวดเมื่อเข่าซ้ายขวาของเหนือภพกระแทกใส่สีข้างและแผ่นหลังอย่างต่อเนื่อง
จากร่างกายที่ควรจะตกพื้นกลับเด้งขึ้น ก่อนจะถูกกำปั้นขวาเหนือภพที่ง้างออกไปด้านหลังก่อนเหวี่ยงกลับมาทุบลงบนหน้าอกของขุนภามเต็ม ๆ
อั๊ก !
ร่างของขุนภามจมลึกลงไปในพื้นดินเกือบครึ่งเมตร พื้นที่โดยรอบแตกร้าวราวกับใยแมงมุมรอบตัวเขา ขุนภามร้องครางออกมา ไม่ใช่เขาไม่อยากตอบโต้ แต่เขาไม่มีโอกาสต่างหาก เจ้าหนุ่มคนนี้ไวมาก
เหนือภพฉวยโอกาสที่ขุนภามยังเคลื่อนไหวไม่ได้ เขาเกร็งกล้ามเนื้อง้างค้างไว้ เขามีโอกาสใช้กำลังมากกว่าเดิม แม้ไม่มั่นใจว่าจะฆ่ามันได้ แต่เขามั่นใจว่าหากมันโดนหมัดนี้เข้าไปต้องเจ็บหนักแน่
ทว่าเหนือภพเริ่มเกร็งกล้ามเนื้อได้เพียงแค่ระดับ 2 ขุนภามก็เริ่มเคลื่อนไหว เหนือภพจึงจำเป็นต้องออกหมัดตามขุนภามไปในทันที
คลื่นกระแทกที่ถูกซัด กระแทกร่างขุนภามที่กำลังเคลื่อนตัวหลบ ขุนภามถึงกับเสียหลักล้มไถลไปกับพื้น ขณะที่เหนือภพพุ่งขึ้นฟ้าทิ้งตัวลงมาด้วยท่าถุงเงินร่วงหล่น
ตู้ม !!
แต่ขุนภามใช้คาถาย่นระยะทางเพื่อถอยหนีสำเร็จ เขายังคงมีรอยยิ้มและเริ่มจำได้ว่าเจ้าหนุ่มนี่เป็นใคร จากนั้นก็ถอดดาบที่สะพายอยู่ด้านหลังออกมา
“เป็นเจ้านี่เอง”
ขุนภามยิ้มและก็แปลกใจไปพร้อม ๆ กัน เจ้าเด็กนี่เป็นผู้ไร้พรสวรรค์ไม่ใช่เหรอ แต่ท่าโจมตีของมันกลับแฝงเร้นไปด้วยปราณอาคม หรือว่ามันจะเป็นคนของกลุ่มภราดาที่สายข่าวรายงานให้เขาฟัง
ในใจเหนือภพตอนนี้เดือดดาลอย่างมาก แต่สิ่งที่เขาควรทำคือดับไฟแค้นในใจตัวเอง ไฟแค้นมันไม่ได้ช่วยอะไร มันจะทำให้สติสัมปชัญญะสูญสิ้น เขาต้องเย็นให้มากกว่ามัน หากเขาทำตามเกมของมัน เขานี่ล่ะที่จะเป็นฝ่ายแพ้
“ขุนภามเจ้าจำข้าได้ช้าเกินไปไหม แบบนี้ผู้เสียหายอย่างข้าเสียใจแย่”
น้ำเสียงใจเย็นผ่อนคลายของเหนือภพทำให้ขุนภามประหลาดใจเล็กน้อย
“จุ๊ ๆ”
ขุนภามใช้นิ้วชี้ส่ายไปส่ายมา ขณะที่เดินวนรอบตัวเหนือภพ รอยยิ้มของเขากว้างขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อได้พิจารณาเหนือภพอย่างละเอียด เมล็ดพันธุ์แห่งความแค้นที่เขาปลูกไว้ ในที่สุดก็กลายเป็นไม้ใหญ่ที่น่าเก็บเกี่ยว
“ข้าไม่ใช่ขุนแล้วนะ ข้าเลื่อนเป็นหลวงแล้ว เรียกข้าว่าหลวงภามดีกว่า เจ้าจะมาลดตำแหน่งให้ข้าแบบนี้ไม่ได้นะ”
หลวงภามอมยิ้มน้อย ๆ อย่างคนใจดี
“โอ้ ดีใจด้วยนะ แบบนี้ข้าคงต้องฉลองให้เจ้าเสียหน่อย”
เหนือภพพูดขณะดึงมีดหมอทั้งหมดออกมาจากถุงหนังใบใหญ่ที่เขาพกไปมา เขาเอามาแปะติดไว้ตามตัว เพื่อง่ายต่อการใช้งาน ต้นขาทั้งสองข้างแปะติดไว้ข้างละ 3 เล่ม หน้าแข้งอีกข้างละ 2 เล่ม รอบเอวส่วนข้างและส่วนหลัง 6 เล่ม ปีกหลังอีก 2 เล่ม
เขาไม่จำเป็นต้องใช้เชือกรัด เพราะส่วนประกอบของมีดหมอเหล่านี้มีโลหะเป็นวัตถุดิบหลัก ทันทีที่มันอยู่ใกล้ร่างกายของเขา มันก็ดูดติดกันจนแน่น ขอเพียงเขาไม่ตั้งใจถอดมันออก มันก็ไม่มีวันหลุดออกมา