กระบี่จงมา - ตอนที่ 884.2 เตรียมสุรา
เฉาฉิงหล่างพูดเสียงเบา “ยังเป็นห่วงอาจารย์อยู่หรือ?”
เผยเฉียนส่ายหน้ากล่าว “มีอาจารย์แม่อยู่ด้วย แล้วนับประสาอะไรกับที่ข้างกายอาจารย์พ่อยังมีผู้อาวุโสสี่จู๋ ไม่มีอะไรให้ต้องเป็นห่วงหรอก”
อีกอย่างใต้หล้านี้คนที่ทำให้คนอื่นวางใจที่สุดก็คืออาจารย์พ่อของตน
เฉาฉิงหล่างทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด
อาจารย์เป็นคนรอบคอบมากไป หลายๆ เรื่องล้วนคิดไว้ได้ตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว
ยกตัวอย่างเช่นตอนอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่เคยได้พูดกับเฉาฉิงหล่างเป็นการส่วนตัวว่า หากวันหน้าพวกเจ้าสองคนยืนอยู่ด้วยกัน ข้าจะแสดงออกว่าลำเอียงรักเผยเฉียนมากกว่า
อันที่จริงนี่ยังไม่เท่าไร
ที่ทำให้เฉาฉิงหล่างไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดีก็คืออาจารย์พูดเสริมประโยคหนึ่งมาอย่างรวดเร็วว่า ‘อย่าโทษอาจารย์เลยนะ ใครใช้ให้นางเป็นเด็กผู้หญิง เจ้าเป็นเด็กผู้ชายเล่า ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยไม่ได้แล้ว เจ้าก็ใจกว้างหน่อยแล้วกัน’
เผยเฉียนคืนสติกลับมา นางสัมผัสได้ถึงสภาพผิดปกติในใจของเฉาฉิงหล่างอย่างเฉียบไว จึงถามกลับประโยคหนึ่งว่า เป็นอะไรไป?
เฉาฉิงหล่างยิ้มเอ่ย “ไม่มีอะไร”
บนเรือข้ามฟากลำนี้มีคนใช้วิธีการรวมเสียงให้เป็นเส้นของผู้ฝึกยุทธเอ่ยขึ้นว่า
“ขอละลาบล้วงถามสักคำ ใช่ปรมาจารย์เจิ้งหรือไม่?”
เผยเฉียนขมวดคิ้วน้อยๆ หันหน้าไปมองจุดหนึ่ง
เห็นสายตาสอบถามของเฉาฉิงหล่างมองมา เผยเฉียนก็อธิบายว่า “เป็นอวี๋หงผู้นั้น ไม่รู้ว่าสังเกตเห็นข้าได้อย่างไร”
เฉาฉิงหล่างถาม “อีกฝ่ายจงใจสะกดรอยตามมาหรือ?”
เผยเฉียนส่ายหน้า “น่าจะเดินทางลงใต้โดยบังเอิญเหมือนกันพอดี”
อันที่จริงตอนที่อวี๋หงกำลังขึ้นเรือ เผยเฉียนก็สัมผัสได้แล้ว ผู้มีชื่อเสียงแห่งยุทธภพที่มีชาติกำเนิดจากราชวงศ์จูอิ๋งเก่าผู้นี้จงใจเก็บภาพบรรยากาศของปรมาจารย์ส่วนนั้นเอาไว้ กดขอบเขตไว้ที่ขอบเขตเดินทางไกล
เพียงแต่เผยเฉียนไม่คิดจะไปสนิทสนมด้วย ยิ่งไม่มีความคิดจะประลองฝีมือกับอีกฝ่าย
ผู้ฝึกยุทธคนหนึ่งที่อยู่บนสนามรบของเมืองหลวงแห่งที่สอง มองดูเหมือนลงมือด้วยพลังอำนาจอันน่าครั่นคร้าม แต่แท้จริงแล้วกลับหลีกเลี่ยงหนักเลือกเบา
สามารถเข้าใจได้ แต่ยอมรับไม่ได้
ดังนั้นทั้งสองฝ่ายแค่เดินกันไปคนละทางก็พอแล้ว ไม่ต้องมาทำความรู้จักสนิทสนมอะไรกัน
เผยเฉียนอธิบาย “ได้ยินมาว่าในอดีตอวี๋หงมีลูกศิษย์ผู้สืบทอดคนหนึ่ง ดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์ชู้สาวคลุมเครือกับเหนียงเนียงเทพวารีของแม่น้ำอวี้เย่ผู้นั้น และยังมีข่าวลือที่ประหลาดยิ่งกว่า บอกว่าลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจของอวี๋หงคนนี้มีคนรู้ใจที่เป็นคู่รักกันแท้จริง แต่กลับไม่มีสถานะเป็นสามีภรรยา สตรีผู้นั้นคือเซียนดินโอสถทองของบนภูเขาคนหนึ่ง เชี่ยวชาญเวทน้ำ เนื่องจากถ้ำตระกูลเซียนแห่งหนึ่งที่อยู่ข้างจวนวารีแม่น้ำอวี้เย่คือพื้นที่ฮวงจุ้ยมงคลที่เหมาะกับการฝึกวิชาน้ำ ผลคือไม่รู้ว่าทำไมท้ายที่สุด ผู้ฝึกยุทธ เซียนดินและเทพวารีสามฝ่ายนี้ถึงกลายเป็นศัตรูที่ต่อให้ตายก็จะไม่ไปมาหาสู่กันอีก แต่เรื่องวุ่นวายพวกนี้ล้วนเป็นข่าวลือเล็กๆ ในยุทธภพเท่านั้น อาจไม่เป็นความจริง ดังนั้นอวี๋หงนั่งโดยสารเรือลำนี้มาจึงสมเหตุสมผล ไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดอะไร”
เฉาฉิงหล่างพยักหน้า “ความเป็นไปได้ของอย่างหลังมีมากกว่า”
เมืองหงจู๋คือสถานที่ที่แม่น้ำสามสายมารวมตัวกัน และทุกวันนี้ก็ยิ่งเป็นหนึ่งในจุดศูนย์กลางเส้นทางน้ำที่สำคัญที่สุดของต้าหลี ถูกขนานนามว่าเป็นสถานที่ที่มีกระแสเงินทองไหลริน แต่แม่น้ำทั้งสามสายมีธาตุน้ำที่ต่างกัน แม่น้ำซิ่วฮวาธาตุน้ำอ่อนโยน ปราณวิญญาณเปี่ยมล้นอีกทั้งยังมั่นคง นอกจากนี้ก็คือแม่น้ำชงตั้นที่แม้จะชื่อว่าชงตั้น (ชะล้างให้เจือจาง) แต่แท้จริงแล้วโชคชะตาน้ำกลับโหมซัดรุนแรง ธาตุน้ำดุดัน กระแสน้ำขุ่นมัว นับแต่โบราณมาก็มักจะมีภัยทางน้ำเกิดขึ้นหลายครั้ง กลางวันแสกๆ ก็ยังมีฟ้าร้องฟ้าผ่า ยากจะจัดการที่สุด อีกทั้งหากอิงตามบันทึกของอักขรานุกรมภูมิศาสตร์ท้องถิ่นของต้าหลี รวมไปถึงประวัติศาสตร์ เกร็ดพงศาวดารของแคว้นเสินสุ่ยโบราณหลายเล่มที่เฉาฉิงหล่างรวบรวมมา ในตำราก็มีบันทึกอันน่าอัศจรรย์ที่บอกไว้ว่า ‘น้ำนี้เชื่อมโยงกับปราณแห่งทะเล’ ตำแหน่งเทพของแม่น้ำสายนี้ว่างมานานหลายปี เถ้าแก่ร้านหนังสือที่ใช้นามแฝงว่าหลี่จิ่นคือเทพวารีองค์ใหม่ของแม่น้ำชงตั้น ถือว่าเป็นคนที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับภูเขาลั่วพั่วมากที่สุดคนหนึ่ง
แม่น้ำอวี้เจียงมีท้องน้ำคดเคี้ยวที่สุด ธาตุของน้ำจึงแปรปรวน โชคชะตาน้ำในช่วงของแม่น้ำที่แตกต่างจะมีระดับความเข้มข้นที่ต่างกันมาก ดังนั้นจึงมีทั้งช่วงแม่น้ำที่ปราณวิญญาณแร้นแค้นเหมือน ‘สถานที่ไร้อาคม’ แล้วก็มีทั้งพื้นที่ลับที่ปราณวิญญาณเปี่ยมล้น ซึ่งสถานที่เหล่านี้ล้วนถูกเย่ชิงจู๋เหนียงเนียงเทพวารีบุกเบิกสร้างเป็นสถานที่สำหรับการฝึกตนหลายแห่ง แล้วก็เป็นรายรับก้อนที่ไม่เล็กก้อนหนึ่งของแม่น้ำอวี้เจียง
เผยเฉียนเหลือบมองเฉาฉิงหล่าง
เจ้าเป็นวิญญูชนผู้เที่ยงตรงคนหนึ่ง กลับรู้เรื่องเรื่องซุบซิบในยุทธภพมากกว่าข้าอีกหรือ?
เฉาฉิงหล่างจึงได้แต่อธิบายว่า “ข้าเองก็ฟังท่านอาเจิ้งเล่ามาอีกที สตรีสองคนที่เดิมทีสนิทสนมกัน สุดท้ายกลับกลายมาเป็นศัตรู ส่วนใหญ่มักจะเป็นเรื่องของความรัก เป็นเพราะบุรุษคนหนึ่งเสมอ”
เกี่ยวกับคำเรียกขานเจิ้งต้าเฟิง หากอิงตามคำกล่าวของเจิ้งต้าเฟิงก็คือเขาอายุห่างกับเฉาฉิงหล่างแค่ไม่กี่ปีเท่านั้น รูปโฉมก็ยิ่งดูคล้ายกัน ยืนอยู่ด้วยกันก็ง่ายที่จะถูกคนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นพี่น้องแท้ๆ ที่พลัดพรากจากกันไปนานหลายปี ดังนั้นแค่เรียกเขาว่าพี่ใหญ่เจิ้งก็พอแล้ว หากเรียกท่านอาเจิ้งจะทำให้เขาดูแก่เกินไป ไม่มีใครเชื่อ
ต้องรู้ว่าเฉาฉิงหล่างในเวลานั้นเพิ่งจะออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัว แล้วยังเป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งด้วย
ถึงอย่างไรเฉาฉิงหล่างก็ตัดสินใจแล้วว่าหากเจอหน้ากันก็จะเรียกแค่ท่านอาเจิ้งเท่านั้น
กลับเป็นเฉินหลิงจวินที่เรียกคำแล้วคำเล่าว่าพี่น้องต้าเฟิง เรียกเสียจนคล่องปาก กอดคอเกี่ยวไหล่ คุยกันได้แค่ไม่กี่คำก็มักจะหันมาสบตากัน จากนั้นหนึ่งคนตัวโตหนึ่งคนตัวเล็กก็เท้าเอวหัวเราะดังลั่น
เผยเฉียนกล่าว “ท่านอาเจิ้งเป็นเถ้าแก่อยู่ที่ร้านเหล้าของนครบินทะยานต้องไม่มีทางเหงาแน่นอน”
เฉาฉิงหล่างยิ้มเอ่ย “เห็นได้ชัดเลยล่ะ”
เผยเฉียนขมวดคิ้วอีกครั้ง ใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “อีกฝ่ายมาหาถึงที่แล้ว นอกจากอวี๋หงยังมีอีกสี่คน ล้วนเป็นผู้ฝึกยุทธ แต่ขอบเขตต่างก็ไม่สูง สองคนในนั้นฟังจากเสียงลมหายใจและเสียงฝีเท้าแล้วน่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธสายเดียวกับอวี๋หง ส่วนสถานะของพวกเขาเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดหรือเป็นศิษย์หลานของอวี๋หง ตอนนี้ยังบอกได้ยาก”
ใช้ความคิดเล็กน้อย ตรวจสอบความทรงจำอย่างละเอียด เผยเฉียนก็คล้ายจะตกตะลึงเล็กน้อย นางลังเลไปพักหนึ่งก่อนจะปลดหน้ากากลงมา เผยให้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริง
คนทั้งกลุ่มเดินจากดาดฟ้าเรือมาถึงระเบียงของชั้นหนึ่ง
ผู้นำมีเส้นผมขาวโพลน เรือนกายแข็งแกร่งกำยำ พลังอำนาจน่าเกรงขาม ผู้เฒ่าตัวสูงกว่าบุรุษแดนเหนือถึงครึ่งศีรษะ ก็คือหนึ่งในสี่ปรมาจารย์ใหญ่ที่ได้รับการประเมินด้านวรยุทธของแจกันสมบัติทวีป อวี๋หง
การประลองยุทธบนเวทีของศาลเทพอัคคีเมืองหลวงที่เลื่องลือกันไปทั้งทวีปครั้งนั้น อวี๋หงเอาชนะโจวไห่จิ้งไปได้
ทำให้ชื่อเสียงในยุทธภพของปรมาจารย์ผู้เฒ่าท่านนี้ไต่ทะยานถึงขีดสูงสุดทันใด
ว่ากันว่ามีพรรคบนภูเขาไม่ต่ำกว่าสิบแห่งที่เชื้อเชิญอวี๋หงให้ไปเป็นผู้ถวายงานหรือไม่ก็เค่อชิงด้วยความกระตือรือร้น
อวี๋หงอายุมากถึงหนึ่งร้อยห้าสิบปีแล้ว มีชื่อเสียงอยู่ในราชวงศ์จูอิ๋งเก่ามานาน ทั้งบนและล่างราชสำนักไม่มีใครไม่รู้จัก ชื่อเสียงไม่ด้อยไปกว่าเซียนกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิดพวกนั้นเลย
ศิษย์ลูกศิษย์หลานมีมากมาย เพียงแต่ว่าทุกวันนี้ยังไม่มีลูกศิษย์คนสุดท้าย โดยทั่วไปแล้วผู้เฒ่าที่อายุปูนนี้แล้ว หากไม่รับลูกศิษย์ปิดสำนักก็มีแค่สองสถานการณ์เท่านั้น หากไม่คิดว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่ได้อีกนานหลายปีก็เป็นเพราะยังหาลูกศิษย์ที่ถูกใจไม่ได้ หาผู้สืบทอดวิชาที่สามารถเอามาใช้ในงานใหญ่ไม่ได้
ไม่ว่าจะบนหรือล่างภูเขา ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้านธรรมดาหรือเชื้อพระวงศ์ชนชั้นสูง ลูกคนเล็กมักจะได้รับความรักที่สุด นี่แทบจะเป็นข้อกำหนดที่แน่นอนแล้ว
อวี๋หงขึ้นเรือมาครั้งนี้ การที่ไม่ได้กลับจากเมืองหลวงต้าหลีไปยังพรรคของตัวเองที่อยู่ภาคกลางโดยตรงก็เพราะตั้งใจจะไปภูเขาพีอวิ๋นกับแม่น้ำอวี้เย่ หลังจากนั้นค่อยไปที่อาณาเขตขุนเขาตะวันตก อวี๋หงเลื่อมใสในตัวเว่ยป้อซานจวินแห่งขุนเขาเหนือที่ยังไม่เคยพบเจอกันมานานแล้ว ส่วนความรักความแค้นระหว่างเย่ชิงจู๋เหนียงเนียงเทพวารีกับลูกศิษย์คนหนึ่งของตน ครั้งนี้ไปเยือนจวนวารีเพราะตั้งใจจะไปพูดคุยเรื่องการทำการค้า ทางฝั่งทิศใต้มีสหายบนภูเขาอยู่สองสามคนที่คิดอยากจะร่วมมือกันฝึกตนที่แม่น้ำอวี้เย่สิบปี รอกระทั่งเหมาถ้ำเทพเซียนทั้งหลายของแม่น้ำอวี้เย่มาได้แล้ว หากให้คนอื่นมาเป็นคนกลางช่วยประสานงาน เย่ชิงจู๋อาจไม่ยอมไว้หน้าเสมอไป แต่ตนปรากฏตัวด้วยตัวเอง ไม่กล้าพูดว่าจะต้องทำสำเร็จแน่นอน แต่ถึงอย่างไรก็ยังพอจะมีความมั่นใจอยู่ไม่น้อย
ระหว่างนี้ก็สามารถไปเยี่ยมเยียนเซียนกระบี่หนุ่มของภูเขาลั่วพั่วคนนั้นได้พอดี
หนึ่งคือบุคคลผู้สง่างามที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งแจกันสมบัติทวีป เรียกได้ว่าเป็นดั่งดวงตะวันกลางนภา
อีกหนึ่งคือผู้ฝึกตนที่สามารถแลกหมัดกับวานรเฒ่าย้ายภูเขา ย่อมต้องเป็นผู้ฝึกยุทธบนยอดเขาคนหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางแบกรับหมัดที่ดุร้ายของผู้ถวายงานพิทักษ์ภูเขาของภูเขาตะวันเที่ยงคนนั้นได้
เพราะถึงอย่างไรเจ้าขุนเขาหนุ่มผู้นั้นก็ยังเป็นอาจารย์ของ ‘เจิ้งชิงหมิง’ ด้วย
แต่หากจะบอกว่าอีกฝ่ายคือผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางในตำนาน ตอนนี้อวี๋หงยังคลางแคลงอยู่บ้าง
เป็นทั้งเซียนกระบี่ แล้วยังเป็นขอบเขตปลายทางด้วย? เรื่องดีๆ ในใต้หล้าคงไม่ถูกคนผู้หนึ่งยึดครองไปได้หมดเพียงลำพังหรอกกระมัง
ความเป็นไปได้ที่มากกว่านั้นยังคงเป็นเพราะเฉินผิงอันมีโชควาสนาสูงเทียมฟ้า ทำให้เขาเจอ ‘เจิ้งซาเฉียน’ ที่เป็นครามเกิดจากต้นครามแต่สีเข้มกว่าครามแล้วรับมาเป็นลูกศิษย์
ดังนั้นหากเป็นไปได้ล่ะก็ อวี๋หงคิดอยากจะประลองฝีมือกับเจ้าขุนเขาหนุ่มคนนั้นสักหน่อย
แน่นอนว่าเงื่อนไขก็คืออีกฝ่ายยอมตอบตกลง แต่หากไม่ยินดี อวี๋หงก็คงได้แต่ล้มเลิกความคิด ต่อให้จะประมาทแค่ไหน อวี๋หงก็ยังไม่ถึงขั้นรู้สึกว่าผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของต้าหลีอย่างตนจะสามารถทำให้เจ้าขุนเขาหนุ่มคนหนึ่งของใต้หล้าไพศาลมองผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้าที่อายุมากแล้วสูงส่งไปยังไงได้
แล้วนับประสาอะไรกับที่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะอารมณ์ร้ายไม่เบา บนภูเขามีข่าวลือที่แพร่สะพัดไปทั่ว บอกว่าคนผู้นี้ถึงกับทำเรื่องอย่างการเด็ดหัวหยวนเจินเย่ต่อหน้าต่อตาผู้คนมากมาย
เรื่องนี้ก็โชคดีที่ภูเขาตะวันเที่ยงปิดบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำได้ทันเวลา ไม่อย่างนั้นทุกวันนี้ผู้ฝึกตนของภูเขาตะวันเที่ยงคงโงหัวไม่ขึ้นมากกว่าเดิม
ลูกศิษย์ผู้สืบทอดสองคนของอวี๋หง หนึ่งชายหนึ่งหญิงล้วนอายุน้อยกันมาก อายุสามสิบกว่าปี
ข้างกายยังมีคนในยุทธภพอีกสองคน ต่อให้ต่างก็เป็นคนแก่ที่ผมขาวโพลนไปทั้งศีรษะแล้ว แต่อยู่กับอวี๋หงก็ยังคงเป็นผู้เยาว์อย่างจริงแท้ พอๆ กับวีรบุรุษของแต่ละฝ่ายที่ตอนนี้ต่างก็ถูกเรียกตัวมา กลายมาเป็นคนในพรรคของอวี๋หง
คนกลุ่มของอวี๋หงเดินมาถึงระเบียงก็ได้เจอหญิงสาวคนหนึ่งที่รออยู่ข้างนอก
อวี๋หงก้าวเร็วๆ ขึ้นไปด้านหน้า กุมหมัดยิ้มกล่าว “ครั้งนี้มาโดยไม่ได้รับเชิญ ละลาบละล้วงมาเยี่ยมเยือน หวังว่าปรมาจารย์เจิ้งจะให้อภัย”
เผยเฉียนกวาดตามองผู้ฝึกยุทธเต็มตัวสี่คนที่เหลือ แล้วกุมหมัดคารวะโดยไม่แสดงสีหน้ากระโตกกระตาก “รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้พบผู้อาวุโสอวี๋”
อวี๋หงเข้าใจผิดคิดว่าอีกฝ่ายได้ยินข่าวลือที่ตนจะประลองฝีมือกับโจวไห่จิ้งเลยปลอมกายแฝงเข้ามาในเมืองหลวงเพื่อชมศึกอยู่เงียบๆ
หมัดกลัวคนอายุน้อยแข็งแรง อวี๋หงจำต้องยอมรับว่าตัวเองแก่แล้ว
ไม่พูดถึงเผยเฉียนที่มีสีหน้าสำรวมตรงหน้า ต่อให้เอาชนะโจวไห่จิ้งได้ครั้งหนึ่ง แต่อวี๋หงกลับรู้ดีอยู่แก่ใจว่าไม่ถึงสิบปี ตนต้องไม่ใช่คู่ต่อสู้ของโจวไห่จิ้งอีกต่อไปแล้ว
ดังนั้นฉวยโอกาสตอนที่กระดูกแก่ๆ ของตนยังพอจะมีแรงกายแรงใจเหลืออยู่ พยายามปูทางให้กับพวกลูกศิษย์ผู้สืบทอดให้ได้มากที่สุด ไม่ว่าจะในยุทธภพ ในวงการขุนนางหรือบนภูเขา
อวี๋หงยิ้มพลางยื่นมือออกมา “ขอแนะนำสักหน่อย นี่คืออวี่ชางหมางแห่งพรรคหลงซาน จู๋เฟิ่งเซียนแห่งพรรคต้าเจ๋อ พวกเขาล้วนเป็นสหายในยุทธภพที่ข้ารู้จักมานาน ก่อนหน้านี้ไม่นานได้ถูกข้าเชื้อเชิญให้มาเป็นผู้อาวุโสในสำนักด้วยตัวเอง”
คนทั้งสองต่างก็เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทอง
อันที่จริงนี่ก็คือการที่อวี๋หงช่วยพาดสะพานสูงให้กับคนอื่นแล้ว อวี่ชางหมางกับจู๋เฟิ่งเซียนสองคน แม้ว่าต่างก็เป็นผู้ฝึกยุทธที่หมัดสามารถสยบหลายแคว้น ชื่อเสียงขจรขจายไกล ทว่าเจอกับอวี๋หงก็ไม่จำเป็นต้องให้เขาไปเชื้อเชิญด้วยตัวเองอะไรเลยจริงๆ ไม่เหมือนกับพรรคในยุทธภพแปดแห่งที่ลูกศิษย์ในสำนักสิบกว่าคนออกจากสำนักไปก่อตั้งสำนักของตัวเองอยู่ภายนอก หอฝูสู่ที่อวี๋หงสร้างขึ้นด้วยตัวเองมีธรณีประตูที่สูงมาก แต่ไหนแต่ไรมาก็เน้นในคุณภาพไม่เน้นปริมาณ รวมผู้สืบทอด ผู้อาวุโสและสมาชิกในแต่ละฝ่ายงานแล้วก็มีแค่ห้าสิบกว่าคนเท่านั้น เหมือนกับศาลบรรพจารย์ในจวนเทียนซือบนภูเขาแห่งหนึ่งมากกว่า
อวี๋หงเอ่ยแนะนำต่อว่า “ส่วนเด็กสองคนนี้คือลูกศิษย์ที่ไม่ได้เรื่องของข้าเอง เหยียนกวาน หวงเหมย”
ชายหนุ่มหญิงสาวคู่นั้นเอ่ยขึ้นพร้อมกันว่า “คารวะผู้อาวุโสเจิ้ง”
พวกเขาเปี่ยมไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ในตัวของสตรีที่มีชื่อจริงว่า ‘เผยเฉียน’ ผู้นี้
และยังมีความเลื่อมใสที่แฝงไว้ด้วยความเคารพยำเกรงอย่างหนึ่งด้วย
เผยเฉียนกล่าว “คำว่าผู้อาวุโสนั้นมิกล้ารับ พวกเจ้าเรียกข้าว่าเผยเฉียนก็พอแล้ว”
ชายหนุ่มหญิงสาวสองคนที่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตหกไหนเลยจะกล้าเรียกชื่อของสตรีออกมาตรงๆ
ปรมาจารย์ผู้อาวุโสเกรงใจเจ้า หากผู้เยาว์ไม่เกรงใจกันจริงๆ นั่นไม่เรียกว่าซื่อ แต่เรียกว่าโง่
เกี่ยวกับอายุของปรมาจารย์ใหญ่หญิงที่มีฉายาว่า ‘เจิ้งซาเฉียน’ ผู้นี้ เป็นปริศนามาโดยตลอด
บ้างก็บอกว่าอายุสี่สิบกว่าปี แล้วก็มีบอกว่าอายุครึ่งร้อยปีแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นมีคนบอกว่าอันที่จริงนางอายุเกือบร้อยปีแล้ว คล้ายคลึงกับหวงอีอวิ๋นของใบถงทวีปคนนั้น เพียงแค่เพราะดูแลตัวเองได้ดี มีศาสตร์คงความเยาว์วัย
สรุปก็คือคนที่จู่ๆ ก็ผุดขึ้นมาบนโลก ตอนนั้นนางใช้ท่วงท่าที่แทบจะไร้ศัตรูมาปรากฎตัวอยู่ในสนามรบของลำน้ำใหญ่ภาคกลาง ออกหมัดหนักหน่วง วิธีการอำมหิต
บนสนามรบของลำน้ำใหญ่ ดูเหมือนนางจะอยู่ตัวคนเดียวตลอดกาล จงใจเลือกสถานที่อันตรายที่มีกองทัพใหญ่ของเปลี่ยวร้างรวมตัวกันอยู่หนาแน่นมากที่สุด
เพราะกลัวว่าจะทำร้ายให้ผู้ฝึกตนฝ่ายของตัวเองได้รับบาดเจ็บ
ข้อยกเว้นเพียงหนึ่งเดียวก็คือนางออกหมัดช่วยคนมักจะบุกทะลวงเปิดเส้นทางนองเลือดขึ้นมาสายหนึ่ง ก่อนจะพาคนออกไปจากสนามรบด้วยกัน
ดังนั้นชื่อเสียงของ ‘เจิ้งเฉียน’ ในทุกวันนี้จึงดีมาก คาดว่าพวกอวี๋หงสามคนก็ยังเทียบไม่ได้