Special District 9 เขตพิเศษที่ 9 - ตอนที่ 301 หนึ่งภารกิจอันใหญ่หลวง
ตอนที่ 301 หนึ่งภารกิจอันใหญ่หลวง
เมื่อเปยเตอหยงคุยโทรศัพท์เสร็จก็รู้สึกกินข้าวไม่ลง เพราะตอนนี้ทั้งสองฝ่ายกําลังปะทะกันอย่างดุเดือดและกําลังใช้กลยุทธ์ทุกอย่างบนสังเวียน ฉะนั้นทุกการกระทําที่เป็นความลับบางอย่างต่างก็สามารถยั่วยุอารมณ์ของอีกฝ่ายได้ทั้งนั้น
เป่ยเตอหยงเดินไปเดินมาอยู่ในห้องรับแขกก่อนจะโทรหาหยวนเค่อทันที เมื่อคุยโทรศัพท์กับเขาเสร็จก็เดินออกจากอพาร์ทเม้นทันที
ตอนเช้าประมาณสิบโมงกว่า เป่ยเตอหยงรีบไปยังเขตเจียงหนานและเจอกับหยวนเค่อในห้องทํางานของเขา
ใจร้อนได้เหรอ?” สีหน้าของเปียเตอหยงไม่ค่อยดีนัก “คนอย่างไอ้ฉินอวี่ต้องลงมือ อย่างโหดเหี้ยมและอํามหิตแน่นอน ฉันรู้สึกได้ว่า ตอนนี้มันต้องไม่หลับไม่นอนและคิดจะทําทุกวิถีทางให้ฉันอยู่ไม่สุข ต้องคิดจะเล่นงานฉันทั้งเวลากินข้าวและเวลาขี้แน่นอนเลย”
“จู่ๆ ก็จับคนไปถึงสองคนแล้วยังปิดเรื่องเงียบขนาดนี้ ต้องมีอะไรผิดปกติแน่นอน” หยวนเค่อยื่นบุหรี่ให้เป่ยเตอหยงหนึ่งมวลก่อนจะนั่งลงบนโซฟา
“นายอยู่ในรัฐพื้นทมิฬมานานขนาดนั้น เรื่องสืบข่าวแค่นี้ยังยากอยู่อีกเหรอ?” เป่ยเตอหยงพูดอย่างใจร้อน “นายก็แค่ไปถามใครสักคนว่าคนที่มันจับเป็นใครกันแน่ก็แค่นั้น”
“ฉันถามแล้ว” หยวนเค่อดูดบุหรี่ “ตอนนี้รู้แค่ว่าสองคนนี้เป็นคนนอกเขตที่เพิ่งจะเข้ามาในเขตซึ่งเจียงแต่ถูกจับซะก่อน”
“คนนอกเขตเหรอ?” เปียเตอหยงนิ่งไป “แบบนั้นยิ่งผิดปกติเข้าไปใหญ่ รัฐพื้นทมิฬก็มีสิทธิ์ปกครองดูแลได้แค่ไม่เท่าไหร่ แล้วมันจะจับสองคนนี้ๆไปทําไม?”
“ไม่รู้เหมือนกัน” หยวนเค่อส่ายหน้า
“งั้นนายก็ไปสืบมาสิ” “ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากสืบหรอก แต่ตอนนี้รัฐพื้นทมิฬไม่ได้เหมือนเมื่อก่อนแล้ว” หยวนเค่อตอบกลับด้วยความท้อแท้ “ก่อนเฒ่าหลี่จะออกก็ยังเหวินหยงกังไว้ ทางทีมที่หนึ่งสองและสามต่างพากันฟังเฒ่าต่งกันหมด คําพูดของเหวินหยงกังไม่ได้มีประโยชน์อีกต่อไปแล้ว บวกกับคนในทีมของฉินอวี่ต่างก็เป็นคนที่เคยรับใช้เฒ่าหลีกันและเป็นคนที่ตัวเองเสนอขึ้นมาใหม่ ตอนนี้เฉันเลยเหมือนกับกลืนไม่เข้าคายไม่ออก นายเข้าใจไหม?”
เป่ยเตอหยงได้ยินแล้วจึงโมโหและคําพูดคําจาก็เต็มไปด้วยความขมขื่น
“นี่ สองคนนั้นเพิ่งจะเข้ามาในเขตซึ่งเจียงเมื่อคืน ถ้าอย่างงั้นก็ต้องมีรายชื่อบันทึกอยู่ในด่านผ่านทางสิ” เสี่ยวจิ๋วที่เงียบมาโดยตลอดเอ่ยปาก ขณะนั่งอยู่บนเก้าอี้ “ไปหาสายสืบแล้วสืบหาคนที่เข้ามาเมื่อคืนว่ามีคนที่นายรู้จักไหมก็สิ้นเรื่องแล้วไม่ใช่เหรอ?”
“ไม่มีประโยชน์หรอก” เบี้ยเตอหยงส่ายหน้า “ข้อมูลการเข้าเมืองของทางฝั่งด่านคัดกรองหละหลวมอยู่พอสมควร ขอแค่นายเสียเงินให้พวกมันสักร้อยสองร้อยก็เข้ามาได้แล้ว อีกอย่างคนที่ฉันรู้จักต่างเป็นคนที่ทําอะไรไม่ได้มาก เคร่งมากจนต้องมีเอกสารทางการพวกมันถึงจะให้ผ่านได้ นายเข้าใจไหม?”
เสี่ยวจิ๋วได้ยินก็รู้สึกหมดคําพูด
ในบ้านหลังเล็ก ตรงทางตันของถนนฟูอาน
ฉินอวี่นั่งไขว่ห้างอยู่ในห้องรับแขกหลักก่อนจะเอ่ยปากถาม “รู้ไหมว่าฉันจับพวกนายมาทําไม?”
“ไม่รู้” ในห้องรับแขก ชายร่างอ้วนท้วมตอบกลับพลางสูดน้ํามูก
“ไม่รู้เหรอ? แกไม่รู้เหรอว่าแกทําความผิดอะไรตรงนอกเขตซึ่งเจียง?” ฉินอวี่ด่าแทรก “แกลองใช้ตูดแกคิดดูนะว่าการที่ฉันเอาตัวแกเข้ามาในเขตได้แบบนี้ ฉันจะไม่มีหลักฐานอะไรเหรอ?”
ชายหนุ่มนิ่งไป
“แกไม่ได้ตาบอดใช่ไหม? แกเงยหน้าขึ้นมาดูสิว่าที่นี่คือที่ไหน ใช่สถานีตํารวจรึเปล่า?” น้ําเสียงของฉินอวี่ดูใจเย็น “เขตกักกันตัว แกรู้ไหมว่าแบบนี้มันหมายความว่ายังไง?”
“พี่ ฉะ…ฉัน…”
“อย่าแก้ตัวเลยไม่มีประโยชน์หรอก รีบพูดความจริงมาเถอะ” ฉินอวี่พูดตัดบทยกแก้วน้ําขึ้นพลางพูดตัดบท
“ความจริงอะไรเหรอ พี่บอกใบ้ให้ฉันหน่อยได้ไหม?”
“เรื่องส่งสินค้าในฮ่งเจียง” ฉินอวี่มองชายหนุ่ม ด้วยแววตาโมโห
ชายหนุ่มลังเลสักพักก่อนจะพยักหน้าพลางตอบกลับ “ได้ ฉันรู้แล้วว่าเรื่องอะไร”
“งั้นก็รีบบอกมา” ฉินอวี่ขมวดคิ้ว
ติงถั่วเซ็นจับสมุดบันทึกเตรียมจะบันทึกคําสารภาพ
สองวันผ่านไป
เป่ยเตอหยงที่กําลังร้อนรนใจ เขาพยายามสืบเรื่องอย่างถึงที่สุดแล้วแต่ก็ยังไม่รู้ว่าคนที่ฉินอวี่จับได้เมื่อคืนคือใครกันแน่รวมถึงตอนนี้สองคนนั้นถูกกักกันอยู่ที่ไหน
คนเราก็เป็นกันแบบนี้ ถ้าเรายิ่งอยากจะรู้เรื่องอะไรแล้วยิ่งเราสืบหาเรื่องนั้นไม่ได้ มันง่ายมากที่เราจะถูกคนอื่นทําให้ตื่นตระหนก แม้แต่ตอนกําลังมีเซ็กส์ก็คงจะต้องคิดกังวลแต่เรื่องนี้อยู่ แน่นอนว่าจะต้องทํายังไงถึงจะทําให้เรื่องนี้เปิดเผยออกมาได้
เป่ยเตอหยงเป็นคนแบบนี้อยู่แล้ว เมื่อเขาพยายามตรวจสอบทั่วทุกที่แล้วและไม่ได้ผล ในใจของเขาจะมีความคิดสุดโต่งพุ่งขึ้นมา
ตอนกลางวันของวันนี้
หวังหงรีบเข้าไปที่บริษัท เปิดประตูและเดินเข้าไปในห้องทํางานของเปียเตอหยง “มีอะไรเหรอ?”
“ปิดประตูด้วย ฉันจะปรึกษาหารือกับแกหน่อย” เป่ยเตอหยงพูดสั่งพลางพ่นควันบุหรี่
หวังหงเอื้อมมือไปดันประตูก่อนจะเดินไปนั่งข้างๆ เป่ยเตอหยง “เกิดอะไรขึ้น?”
“เฒ่าหวัง ฉันคิดว่าฉันจะให้แกทําภารกิจอันใหญ่หลวงสักหน่อย” เป๊ยเตอหยงพูดอย่างจริงจัง
“ภารกิจอะไรเหรอ?”
“ไปลักพาตัวสมาชิกในสถานีตํารวจมาหน่อย” เปียเตอหยงพูดด้วยแววตาที่เป็นประกาย
หวังหงได้ยินก็ถึงกับนิ่งไป “พะ..พี่จะเล่นอะไรเนี่ย?!”
“ตอนนี้ฉันสืบข่าวของไอ้ฉินอวี่นั่นไม่ได้จริงๆ” เป็นเตอหยงพูดเสียงต่ํา “แกไปลักพาตัวสมาชิกตํารวจของพวกมาแล้วเค้นมันให้บอกออกมาให้ได้”
“เดี๋ยวนะ…ลักพาตัวตํารวจเหรอ? แบบนี้มัน เสี่ยงไปหน่อยรึเปล่า?” หวังหงรู้สึกกลัวเล็กน้อย “ถ้าพลาดขึ้นมาเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่แน่”
“แกก็แค่จับมาแล้วถามข่าวจากมันไม่กี่คําก็แค่นั้น จะเกิดเรื่องใหญ่อะไรได้ล่ะ?” เปุ๋ยเตอหยงขมวดคิ้ว “ฉันไม่ได้บอกให้แค่ไปฆ่าคนสักหน่อย”
ในใจของหวังหงอยากจะปฏิเสธสุดๆ แต่ก็ไม่กล้าจะเอ่ยปาก ดังนั้นจึงทําได้แค่ตั้งใจถาม “พี่เป้ย พี่เคยคิดไหมว่าถ้าเรื่องฉินอวี่จับคนร้ายนั่นไม่เกี่ยวอะไรกับเรา แล้วพี่ไปลักพาตัวตํารวจมาแบบนั้น มันจะไม่ดูตลกไปหน่อยเหรอ?”
“อย่างน้อยก็มีความเป็นไปได้ที่คนสองคนที่ถูกจับจะเกี่ยวข้องกับเรา” เป่ยเตอหยงตอบกลับอย่างจริงจัง “ถ้าเป็นคดีธรรมดา แล้วทําไมฉินอวี่ถึงต้องปิดบังขนาดนี้ล่ะ ยิ่งไปกว่านั้นก็คือเรื่องนอกเขตไม่ได้อยู่ในการดูแลของรัฐพื้นทมิฬ อยู่ดีๆ มันจะว่างมาจับสองคนนี้ได้ยังไง? อีกอย่างช่วงนี้พวกของเราที่อยู่นอกเขตก็เกิดเรื่องไม่น้อยเหมือนกัน ความสนใจของฉินอวี่ก็อยู่ที่ฉัน…ถ้าเอาเรื่องเล็กๆ พวกนี้มาโยงเข้าด้วยกันล่ะ นายยังไม่เข้าใจอีกเหรอ?”
หวังหงมองเป่ยเตอหยงและนี่เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าตัวเองได้รับผลประโยชน์จากคนอื่นมามากมายแค่ไหน สุดท้ายก็ต้องชดใช้กลับไปเท่านั้น
ช่วงนี้เปยเตอหยงยกย่องหวังหงเป็นพิเศษ แล้วหวังหงจะเอ่ยปากปฏิเสธได้ยังไง? แล้วจะกล้าปฏิเสธไหม?
ในรัฐพื้นทิฬ
ฉินอวี่สูดหายใจเข้าพลางโทรศัพท์ไปหาฉวีหยาง
สิบวินาทีผ่านไป “ฮัลโหล?”
“สองวันนี้เป่ยเตอหยงมีความเคลื่อนไหวอะไรไหม?” ฉินอวี่ถาม
จากนั้นฉวีหยางก็ตอบตามความจริง “มันแทบจะเป็นบ้าไปแล้วล่ะ มันอยากจะรู้ใจจะขาดว่านายจับใครมากันแน่”
“แล้วมันสืบอะไรที่เป็นประโยชน์เจอบ้างไหม?” เฉินอวี่ถามอีกครั้ง
“น่าจะยังไม่เจอ ไม่งั้นคนนิสัยอย่างมันก็คงจะเคลื่อนไหวตั้งนานแล้วล่ะ” ฉวีหยางส่ายหน้า “อีกอย่างฉันเพิ่งจะได้รับโทรศัพท์และได้ยินว่าหวังหงก็เข้าไปที่บริษัทอย่างกะทันหัน”
ฉินอวี่ครุ่นคิดอยู่นาน “หลังจากนี้หนึ่งชั่วโมง นายไปหาสถานที่มาแล้วเรามาเจอกัน”
“จะทําอะไรเหรอ?” ฉวีหยางถาม
“ฉันจะบอกแกเองว่าฉันจับใครมา” ฉินอวี่หัวเราะ
ฉวีหยางนิ่งไป