Special District 9 เขตพิเศษที่ 9 - ตอนที่ 293 ขอผ่อนจ่ายก่อนได้ไหม?
ตอนที่ 293 ขอผ่อนจ่ายก่อนได้ไหม?
เว่ยจือหรี่ตามองหวังหงพลางตอบกลับด้วยท่าทางดูหมิ่น “เดี๋ยวนี้นายเก่งแล้วนี่ เป็นถึงมือขวาที่อยู่ข้างพี่เบี้ย ใครจะไม่เชื่อฟังนายได้ล่ะ?”
“นายประชดประชันฉันให้มันน้อยๆ หน่อยนะ” หวังหงถูกประชดจนรู้สึกทนไม่ไหวจึงสบถคําหยาบออกไป “ฉันคุยกับนายดีๆ นายมาพูดเรื่องไร้สาระทําไม?”
เป็นเรื่องธรรมดาที่คนเรามักจะถูกกระทบกระทั่งจากความรู้สึกของคนอื่น ยกตัวอย่างเช่น สมมติว่ามีเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับเรามาก แต่เขาก็เอาแต่พูดใส่ร้ายคนอื่นให้ฟังอยู่เรื่อย ทั้งที่เราไม่เคยรู้จักกับคนคนนั้น แต่เพื่อนร่วมงานคนนี้พูดให้ฟังบ่อยๆ พอนานเข้าๆ เมื่อฟังจนชินแล้ว ในจิตใต้สํานึกของเราก็จะมีความอคติกับคนที่เพื่อนร่วมงานพูดให้ฟังแน่นอน
อีกอย่างที่น่าแปลกใจก็คือเมื่อเกิดความอคติ แล้วความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ของอีกฝ่ายก็จะกลายเป็นความผิดครั้งใหญ่ทันที อย่างเช่นถ้าเพื่อนร่วมงานของคุณบอกว่าคนคนนี้ตระหนี้มาก เมื่ออีกฝ่ายเกิดคิดเลขต่อหน้าคุณโดยไม่รู้ตัวจิตใต้สํานึกของคุณก็จะผุดขึ้นมารับรองทันที
เราจะรู้สึกได้ว่าคนคนนี้ไม่น่าคบและคิดว่า เหนียวตระหนี่อย่างที่คนอื่นเขาพูดจริงๆ ด้วย
ความรู้สึกที่แปลกๆ แบบนี้ เกิดขึ้นแทบจะทุกวันในสังคมของผู้ใหญ่ ปัญหาระหว่างเว่ยจือกับหวังหงในทุกวันนี้ก็มีที่มาจากเรื่องนี้เช่นกัน
ถ้าไม่ใช่เพราะฉวีหยางพูดถึงความไม่ได้เรื่องของหวังหงขณะดื่มเหล้าพูดคุยกับทุกคน ไม่อย่างงั้นเว่ยจือไม่มีทางขัดแย้งกับเขาแน่นอน เพราะ ถ้าพูดถึงเรื่องตําแหน่งแล้วก็ต่ํากว่าหวังหงอยู่บ้าง
เป็นเพราะหลายวันก่อน ฉวีหยางเคยบอกกับทุกคนว่าหวังหงเป็นหมาตัวท็อปของเป่ยเตอหยง เดี๋ยวนี้ชีวิตดีขึ้นเลยดูถูกเขาจึงทําให้เว่ยจือมองอีกฝ่ายแล้วก็รู้สึกว่าคนคนนี้เป็นคนขี้เก๊กและมีเล่ห์เหลี่ยมอยู่ตลอด
เมื่อเกิดความรู้สึกนี้ขึ้น ความบาดหมางจึงอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม
เว่ยจือยืนอยู่ที่เคาน์เตอร์พลางเหล่ตามอง “งั้นนายก็บอกมาสิว่าอะไรที่มีสาระหรือไม่มีสาระ? ที่สินค้านี้ขายไม่ออกเพราะฉันกักเอาไว้ในโกดัง ย่างนั้นเหรอ?”
“ฉันบอกแล้วเหรอว่านายกักสินค้าไว้ในโกดัง? ฉันบอกว่านายขายสินค้าไม่ออกก็ต้องหาต้นเหตุด้วยตัวเอง แล้วแกมากร่างใส่ฉันทําไมวะ?”
“ให้ฉันไปหาเหตุผลอะไรล่ะ?” เว่ยจือถามด้วยแววตาแดงก่ํา “แกจ่ายเงินเดือนให้ฉันเหรอหรือว่าซื้อบ้านให้ฉัน? ฉันขายสินค้าฉันก็ต้องทํายอดเหมือนกัน ถ้าขายของได้เยอะฉันก็ได้เงินเยอะ แกคิดว่าแกร้อนใจแล้วฉันไม่ร้อนใจรึไง? เงินเยอะแล้วมันร้อนมือเหรอ?”
“นี่แกกําลังใช้ฉันกับใครอยู่?”
“นายด่าฉันแล้วฉันด่านายบ้างไม่ได้ไง? นายคิดว่านายใหญ่กว่าคนอื่นเหรอ?”
“ไอ้บ้านี่” หวังหงชี้หน้าเว่ยจือด้วยความโมโห
“แม่งเอ๊ย!” เว่ยจือไม่ใช่คนว่าใจเย็นอะไรจึงยืนตะโกนด่าอยู่ที่เคาน์เตอร์ “แกคิดว่าแกเป็นใครถึงวิ่งถ่อมาด่าฉันถึงที่นี่? ตอนหนิวเจินอยู่ข้างนอก ยังไม่เคยมายุ่งกับเราเลยสักนิด แล้วแกเป็นใคร? ฉันจะบอกให้นะ…”
“เคร้ง!”
เสียงดังสนั่นขึ้นหลังจากขวดเหล้าเปล่าที่วางอยู่บนเคาน์เตอร์ได้ถูกฟาดลงไปบนหัวของเว่ยจือ
“พลั่ก!”
เว่ยจือยังไม่ทันตั้งตัวก็ถูกตีจนมึนไปก่อนจะล้มลงไปในเคาน์เตอร์ แล้วก็ยังล้มฟาดไปที่เก้าอี้ไม้อีกด้วย
ทันใดนั้น แขกที่อยู่ในร้านต่างพากันตื่นตระหนก แม้แต่หวังหงที่เป็นคนตีเว่ยจือเองก็อึ้งนิ่งไปเหมือนกัน เมื่อครู่ที่เขาได้ลงมือไป เป็นเพราะเวลาเขาพูดไปหนึ่งคําหวังหงก็เถียงกลับมาหนึ่งคํา เขาถูกเถียงจนโมโหและทนไม่ไหวจริงๆ ถึงได้ลงมือทําร้ายคนไปแบบนั้น
เมื่อทําร้ายหวังหงไปแล้วจึงรู้สึกผิด เพราะถึงยังไงทั้งสองก็อยู่บริษัทเดียวกันการเอาขวดเหล้าไปฟาดหัวอีกฝ่ายแบบนั้น ไม่ว่าจะพูดยังไงก็รู้สึกว่าทําเกินไปหน่อย
เว่ยจือฟุบอยู่ในเคาน์เตอร์ไปสักพักก่อนจะลุกขึ้นมาพร้อมกับเลือดที่อาบเต็มใบหน้าและแววตาที่แดง… “เอาปืนออกมาแล้วจัดการมัน”
“แกเจอดีแน่!”
หวังหงเห็นว่าเรื่องไม่ปกติและเห็นว่ามีการใช้วิธีล็อกตัวไม่ให้ไปไหนจึงหันตัวเปิดประตูบ่อนก่อนจะวิ่งออกไปเป็นคนแรก
เว่ยจือถูกฟาดด้วยขวดเหล้าจนโมโหสุดๆ จึงหยิบมีดข้างเคาน์เตอร์ออกมาและไล่ตามอย่างดุเดือด แต่หวังหงวิ่งเร็วราวกับว่ากําลังวิ่งมินิมาราธอนอยู่ เขารีบวิ่งพุ่งไปบนถนนโดยไม่ทันได้นึกถึงรถ
“ถ้าฉันเอาคืนมันไม่ได้ก็ถือว่าฉันเสียชาติเกิดแล้ว” เว่ยจือด่าอย่างดุเดือดพลางตะโกนเข้าไปในบ่อน “ไปเอาปืนแล้วรีบตามมันไปซะ”
ในชานเมือง
ซงเจียงที่เย็นเป็นน้ําแข็ง มีลมเหนือเย็นยะเยือกพัดผ่าน เกล็ดหิมะบนแผ่นน้ําแข็งถูกลมพัดขึ้นมาหลงเหลือถ้ําหิมะและสันเขาหิมะจนดูเหมือนเป็นปราสาทหิมะ
เกล็ดหิมะปลิวว่อน พี่เซียวยืนอยู่บนชั้นน้ําแข็งที่ตัวเองได้เลือกไว้และกําลังใช้สว่านเจาะน้ําแข็งที่มีความยาวเกือบหนึ่งเมตรค่อยๆ เจาะชั้นน้ําแข็งลงไป
ฉินอวี่ยืนอยู่ข้างๆ ยิ้มพลางเอ่ยปากถาม “พี่อยู่ ซ่งเจียงมาตลอดเลยเหรอ?”
“เปล่าหรอก เฒ่าหลี่โทรหาฉัน ฉันเลยกลับมาต่างหาก” พี่เซียวส่ายหน้าพลางยกขัดเบ็ดที่อยู่ข้างรถขึ้นจากนั้นก็หย่อนลงไปในรูน้ําแข็ง
“ฉันนึกว่าพวกพี่อยู่ซ่งเจียงตลอดซะอีก”
“ก่อเรื่องใหญ่แล้วก็ต้องชดใช้กรรมสักหน่อยเป็นธรรมดา” พี่เซียวควักบุหรี่ออกมาพลางเอาหลังพิงรถออฟโรด “สักมวนไหม?”
“ได้” ฉินอวี่พยักหน้าพลางยื่นมือรับมวนบุหรี่ก่อนจะก้มหน้าใช้เสื้อคลุมทหารบังลมไว้และจุดตั้งสี่ถึงห้ารอบถึงจะจุดได้
“นายมาหาฉันมีเรื่องอะไรล่ะ?” พี่เซียวก็จุดและสูบบุหรี่เช่นเดียวกัน
“อยากวานให้พี่ช่วยไปที่เมืองชางจีหน่อยน่ะ” ฉินอวี่ตอบอย่างตรงไปตรงมา
พี่เซียวหันมองป่าไม้ทางขวามือที่ปกคลุมไปด้วยหิมะก่อนจะครุ่นคิดสักพัก “ได้ หนึ่งแสน”
“หนึ่งแสน?” ฉินอวี่นิ่งไป
“ทําไม ฉันไม่คู่ควรกับราคานี้เหรอ?” พี่เซียวถามพลางยิ้ม
“ไม่ใช่แบบนั้น…”
“ก็เป็นเพราะเฒ่าหลี่โทรหาฉันและฉันก็ทําอะไรไม่ได้เลยกลับมา” พี่เซียวอธิบาย “ตั้งแต่เกิดเรื่องครั้งก่อนฉันก็บอกลูกน้องข้างล่างไปแล้ว ว่าจะยังไม่รับงานนอกชั่วคราว”
“อ่อ แบบนี้นี่เอง” ฉินอวี่ทําตัวไม่ถูกและครุ่นคิดอยู่นาน “พี่เซียว งานนี้สามารถผ่อนจ่ายได้ไหม?”
เยี่ยจือเซียวนิ่งไปก่อนทําหน้าตาเคร่งขรึม “นายว่ายังไงนะ?”
“…ช่วงนี้ขัดสนหน่อยน่ะ เลยอยากผ่อนจ่ายพี่เป็นงวดๆ จะได้ไหม? ”
“นี่ นายคิดว่าในวงการนี้มีการติดหนี้ด้วยเหรอ?” เยี่ยจือเซียวนิ่งไป “ถ้าแกบอกว่าคนอื่นขัดสนเงิน ฉันเชื่อนะ แต่พอเป็นนาย…ทําไมฉันไม่ค่อยอยากจะเชื่อเลยล่ะ?”
“ธุรกิจยาเพิ่งจะกลับมาฟื้นฟูก็เกิดปัญหาขึ้นอีกแล้ว สินค้ารอบที่แล้วฉันต้องชดใช้ตั้งสามสิบตัน” ฉินอวี่ถูมือ “เงินเลยไม่คล่องมือสักเท่าไหร่”
“เหอะๆ” พี่เซียวมองดูท่าทางของฉินอวี่แล้วจึงหัวเราะ “ไอ้น้องชาย การทํางานในเส้นทางนี้น่ะ เงินอะไรก็ขาดได้ทั้งนั้น แต่ที่ขาดไม่ได้คือเงินที่ขายชีวิต”
ฉินอวี่ครุ่นคิดอยู่นาน “ได้ เดี๋ยวฉันจะคิดหาวิธีหาเงินให้พี่เอง”
“งั้นเดี๋ยวฉันไปแทนนายเอง” พี่เซียวพยักหน้าด้วยความร่าเริง
“บุ๋ง!”
ทันใดนั้น เบ็ดตกปลาที่อยู่ในถ้ําน้ําแข็งก็ขยับพี่เซียวหันมายิ้มก่อนจะยกคันเบ็ดขึ้น “ปลาติดเบ็ดแล้ว”
“ฉันขอคุยโทรศัพท์ก่อน” ฉินอวี่เดินไปอยู่อีกฝั่งก่อนจะก้มหน้ากดโทรไปที่เบอร์ของหม่าเหลาเอ๋อ
อีกฝั่งหนึ่ง
ฉวี่หยางรีบไปยังบ่อนที่เกิดเรื่องขึ้นและเข้าไปถามทันที “เกิดอะไรขึ้น ทําไมถึงต่อยกันได้?”