พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - ตอนที่ 1222 ผู้วางค่ายกล
<p>ภายนอกของเคล็ดวิชาสามารถปลอมแปลงกันได้ แต่สูตรท่องจำของเคล็ดวิชากลับไม่สามารถปลอมแปลงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลานี้ สมาชิกของตำหนักสวรรค์ที่เข้าร่วมการทดสอบบุกเข้ามาพอดี เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายกำลังป้องกันว่าพวกเขาเป็นสายลับที่ตำหนักสวรรค์ส่งมาหรือไม่</p>
<p>ถ้าไม่ตอบตกลงก็จะฆ่าอย่างไม่ปรานี ไม่มีที่เหลือให้เจรจาต่อรองใดๆ ซือถูเซี่ยวสามารถปฏิเสธได้เหรอ? ไม่มีทางปฏิเสธได้!</p>
<p>เขานำหน้ากากใส่ไว้บนหน้าอีกครั้งอย่างช้าๆ แล้วบอกว่า “ข้าท่องทั้งหมดไม่ได้หรอก ข้าฝึกแค่ภาคดิน”</p>
<p>“ข้าก็ฝึกแค่ภาคดินเหมือนกัน ท่องของภาคดินมาแค่ส่วนหนึ่งก็พอ” ชายชราชุดดำกล่าว</p>
<p>“ท่านพูดคำไหนคำนั้นนะ?” ซือถูเซี่ยวถาม</p>
<p>“เจ้ามีทางเลือกด้วยเหรอ?” ชายชราชุดดำตอบ</p>
<p>“ไม่มี!” ซือถูเซี่ยวส่ายหน้า แล้วถามอีกว่า “ท่องต่อหน้าคนเยอะๆ จะเหมาะเหรอ?”</p>
<p>“ถ่ายทอดเสียงท่อง” ชายชราชุดดำตอบ</p>
<p>ซือถูเซี่ยวถอนหายใจอย่างอับจนปัญญา จะไม่เชื่อฟังก็ไม่ได้ เพราะไม่มีทางหนีทีไล่ใดให้รับมือ ทำได้เพียงเริ่มถ่ายทอดเสียงท่อง</p>
<p>พวกเหมียวอี้ล้วนกำลังจ้องมองมาทางนี้ ทุกคนล้วนจ้องมาทางนี้</p>
<p>พอสูตรของเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางถูกถ่ายทอดเสียงท่องออกมาจากปากซือถูเซี่ยว ก็เห็นชายชราชุดดำทำสีหน้านิ่งขรึมทันที สายตาจ้องเขม็งที่ตัวซือถูเซี่ยว ในแววตาเต็มไปด้วยความสับสนประหลาดใจ</p>
<p>ยังไม่ทันรอให้ซือถูเซี่ยวท่องจบ ชายชราชุดดำก็ถอนหายใจเบาๆ แล้ว เขาบอกต่อหน้าทุกคนว่า “ไม่ต้องท่องแล้ว! ชายชราผู้นี้คือเหลิ่งจัวฉุน ขุนพลของประมุขปราชญ์ลัทธิผี เจ้าชื่ออะไร?”</p>
<p>“ซือถูเซี่ยว!” ซือถูเซี่ยวตอบ แล้วถามว่า “ตอนนี้ปล่อยพวกเราไปได้รึยัง?”</p>
<p>ชายชราชุดดำมองซ้ายมองขวาพร้อมบอกว่า “นั่นก็ต้องถามความเห็นพวกเขาก่อน”</p>
<p>พอพูดจบ พระที่สวมจีวรสีเทาก็พลันยื่นมือออกมา ฉางเหลยถูกอีกฝ่ายดูดเข้ามาหาอย่างจนใจมาก พระชราไม่พูดพร่ำทำเพลง บอกเพียงว่า “ถ่ายทอดเสียงท่องหฤทัยสูตรสุขาวดีให้ข้าฟังหน่อย”</p>
<p>ขณะมองดูพระตรงหน้าที่ผิวกายค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีทองแดงประหลาด ฉางเหลยก็หันมองซือถูเซี่ยวที่อยู่ข้างกาย เมื่อมีบทเรียนให้ดูเป็นตัวอย่างแล้ว แล้วเขาจะทำอย่างไรได้อีก ทำได้เพียงถ่ายทอดเสียงท่องหฤทัยสูตรสุขาวดีเช่นกัน</p>
<p>หลังจากท่องไปได้ส่วนหนึ่ง พระที่ผิวสีทองแดงก็พยักหน้าพูดตัดบทว่า “ไม่ต้องท่องแล้ว” จากนั้นก็หันซ้ายหันขวา “ทางข้าไม่ผิดพลาด” จากนั้นหันมามองฉางเหลยอีก “อาตมามีฉายานามว่ากุยอู๋ ท่านล่ะ?”</p>
<p>“ฉางเหลย!” ฉางเหลยประนมมือตอบ</p>
<p>“ตูหยวนฮ่าว คนไหนฝึกเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทาน?” ชายชราชุดดำที่ปล่อยผมกระเซิงเหมือนคนบ้าพลันเอ่ยถาม</p>
<p>ตูหยวนฮ่าวชี้ไปที่อวิ๋นอ้าวเทียน “เขา ชื่อว่าอวิ๋นอ้าวเทียน”</p>
<p>ชายชราที่สภาพเหมือนคนบ้ากลับไม่ได้ลากตัวอวิ๋นอ้าวเทียนเข้ามา แต่ตะโกนสั่งโดยตรงว่า “ข้าคือตานฉิง ถ่ายทอดเสียงท่องเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานให้ข้าฟังหน่อย”</p>
<p>อวิ๋นอ้าวเทียนเอียงหน้าเล็กน้อยมองเหมียวอี้ที่กำลังเหลียวซ้ายแลขวาเหมือนวางแผนร้ายอะไรอยู่ เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นก็หันมาท่องเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานให้คนที่ชื่อตานฉิงฟัง</p>
<p>หลังจากท่องไปได้ส่วนหนึ่ง ตานฉิงก็พูดตัดบท “พอแล้ว! ของข้าก็ไม่ผิดพลาดเหมือนกัน”</p>
<p>นักพรตปีศาจคนหนึ่งที่ตาโตเหมือนระฆังทองแดงยื่นกรงเล็บเข้ามา จีฮวนที่เป็นนักพรตปีศาจเช่นเดียวกันไถลตัวไปตรงหน้าเขาอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ ตูหยวนฮ่าวเป็นฝ่ายแนะนำเองว่า “คนนี้ชื่อจีฮวน”</p>
<p>ชายชราที่ตาโตเหมือนระฆังกล่าวเสียงหยาบทุ้มว่าว่า “ข้าชื่อจ่างหง ท่อง!”</p>
<p>จีฮวนยังไม่ทันท่องจบ ตูหยวนฮ่าวก็แนะนำเหมียวอี้กับมู่ฝานจวินแล้ว ทั้งสองถูกร่ายอิทธิฤทธิ์ดึงออกไปพร้อมกัน</p>
<p>ชายชราชุดขาวดุจหิมะที่เรียกตัวเองว่า ‘เมิ่งหรู’ มองสำรวจมู่ฝานจวินศีรษะจดเท้าแวบหนึ่ง แล้วถามว่า “เจ้าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย?”</p>
<p>เห็นได้ชัดว่ามองออกแล้วว่ามู่ฝานจวินเป็นผู้หญิง แต่เป็นเพราะเคยเข้าใจผิดซือถูเซี่ยว ท่านนี้จึงดูเหมือนไม่ค่อยกล้าแน่ใจ</p>
<p>“ผู้หญิง” มู่ฝานจวินตอบ</p>
<p>เมิ่งหรูเอียงหน้ามองซือถูเซี่ยวแวบหนึ่ง แล้วขมวดคิ้วพึมพำว่า “สังคมภายนอกเป็นอะไรไปหมดแล้ว? ทำไมผู้ชายถึงไม่เหมือนผู้ชาย ผู้หญิงถึงไม่เหมือนผู้หญิง…ท่อง!”</p>
<p>ส่วนเหมียวอี้ก็โดนชายชราชุดคลุมเหลือที่ชื่อว่า ‘สืออวิ๋นเปียน’ จ้องแล้ว สั่งคำเดียวว่า “ท่อง!”</p>
<p>“ท่องอะไร?” เหมียวอี้ถามด้วยท่าทางกินปูนร้อนท้อง</p>
<p>อวิ๋นอ้าวเทียน จีฮวน ฉางเหลย ซือถูเซี่ยวที่ท่องเสร็จแล้วหันมามองเหมียวอี้ที่อยู่ทางนี้พร้อมกัน</p>
<p>“ก็ต้องเป็นมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงอยู่แล้ว” สืออวิ๋นเปียนกล่าว</p>
<p>“อ๋อ!” เหมียวอี้คิดเงียบๆ ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ถ่ายทอดเสียงท่อง ตอนแรกที่เขาอยากจะฝึกวิชาสวรรค์เก้าชั้นฟ้ากับมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยง เขาก็จดจำได้บ้างเล็กน้อย นึกไม่ถึงว่าตอนนี้จะได้นำออกมาใช้งานแล้ว</p>
<p>สืออวิ๋นเปียนกำลังหรี่ตาฟัง แต่ใครจะคิดว่าหลังจากเหมียวอี้ท่องไปได้นิดหน่อย ก็เป็นฝ่ายหยุดท่องเองโดยที่เขาไม่ได้สั่งให้หยุด</p>
<p>สืออวิ๋นเปียนลืมตาขึ้น แล้วถามว่า “ทำไมไม่ท่องแล้ว?”</p>
<p>พวกอวิ๋นอ้าวเทียนได้ยินแล้วหัวใจกระตุกวูบ</p>
<p>เหมียวอี้อบร้องในใจว่าซวยแล้ว เขาฝึกมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงไม่สำเร็จ จำได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้ฝึกช่วงหลังจึงไม่ได้ท่องไว้ เขาพยายามท่องอย่างช้าๆ แล้ว หวังว่าจะสามารถตบตาได้ แต่ใครจะคิดว่าตาแก่ที่อยู่ตรงข้ามจะไม่สั่งให้หยุด เขาทำได้เพียงหยุดเอง ประเด็นสำคัญคือถ้าท่องมั่วก็จะตบตาอีกฝ่ายไม่ได้</p>
<p>โชคดีที่ยามหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้เขาไม่ได้อ่อนด้อยฝีมือ กล่าวด้วยท่าทางสบายใจไร้กังวลว่า “ข้าไม่ได้ฝึกมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงเสียหน่อย อ่านแล้วรู้สึกว่าไม่มีอะไรน่าสนใจก็เลยล้มเลิก จะไปจำหมดได้ยังไง ผู้อาวุโสสือ ท่านจะให้ข้าท่องสิ่งนี้ไปทำไม?”</p>
<p>ชั่วพริบตานั้น ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นเงียบกริบ ทุกสายตาจับจ้องไปที่เหมียวอี้คนเดียว</p>
<p>หลังจากสืออวิ๋นเปียนชะงักไปพักหนึ่ง ก็ถามเสียงต่ำว่า “มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยง หนึ่งในหกเคล็ดวิชาพิเศษ เจ้าบอกว่าไม่สนใจงั้นเหรอ?”</p>
<p>เหมียวอี้รีบแก้คำพูด “ก็ไม่เชิงว่าไม่สนใจ แค่ตอนนี้ยังไม่ได้ฝึกก็เท่านั้นเอง”</p>
<p>สืออวิ๋นเปียนทำสีหน้าเหมือนโดนตะคริวกิน ยื่นมือกล่าวว่า “งั้นเอาเคล็ดวิชาออกมาให้ข้าดูหน่อย”</p>
<p>เหมียวอี้จะกล้านำเคล็ดวิชาติดตัวไว้ได้อย่างไรกัน ตอนเข้านรกจะต้องถูกค้นตัว หากถูกพบว่าบนตัวมีมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงก็แย่แล้ว เขาย่อมไม่ได้พกมาด้วย จะนำออกมาได้อย่างไรกัน เขาตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า “ไม่ได้พกติดตัว ซ่อนเอาไว้แล้ว”</p>
<p>“…” สืออวิ๋นเปียนพูดไม่ออกนิดหน่อย ได้แต่จ้องเหมียวอี้ และไม่มีทางแน่ใจด้วยว่าสิ่งที่เหมียวอี้พูดเป็นความจริงหรือโกหก ถึงอย่างไรเหมียวอี้ก็ท่องออกมาส่วนหนึ่งแล้วจริงๆ</p>
<p>ตอนนี้เหมียวอี้กังวลมากว่าเจ้าหมอนี่จะมาค้นตัวเขา เพราะบนร่างกายเขามีของของตำหนักสวรรค์อยู่ ถ้าถูกค้นและจับได้ว่าตัวเองเป็นคนของตำหนักสวรรค์ โจรกบฏกลุ่มนี้จะต้องจับเขาถลกหนังทั้งเป็นแน่นอน</p>
<p>จู่ๆ สืออวิ๋นเปียนก็ยื่นมือมาดึงคอเสื้อของเหมียวอี้เอาไว้ แล้วถามด้วยน้ำเสียงเดือดดาลว่า “เจ้าไม่ได้ฝึกมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงแล้วถ่อมาทำอะไรที่นี่?”</p>
<p>เหมียวอี้ชี้ไปที่ตูหยวนฮ่าว พลางตอบอย่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “พวกเราก็ไม่ได้อยากมาหรอก เป็นขุนพลที่จับพวกเรามา</p>
<p>ตูหยวนฮ่าวอ้าปากค้างพูดไม่ออก</p>
<p>“เจ้า…” สืออวิ๋นเปียนเดือดดาลมาก</p>
<p>“เฒ่าสือ!” กลับเป็นเมิ่งหรูที่เพิ่งตรวจสอบมู่ฝานจวินเสร็จที่เอ่ยห้ามเขาไว้ “อย่าบุ่มบ่าม”</p>
<p>สืออวิ๋นเปียนกล่าวเสียงต่ำว่า “คนคนนี้มีปัญหา ใครจะไปรู้ว่าเขาพูดจริงหรือโกหก ดีไม่ดีอาจจะมีปัญหากันหมดทั้งหกคน”</p>
<p>เมื่อกล่าวมาแบบนี้ ก็ทำให้พวกอวิ๋นอ้าวเทียนอกสั่นขวัญแขวนทันที</p>
<p>เมิ่งหรูโบกมือ แล้วชี้ไปด้านนอกท้องฟ้า เหมือนกำลังบอกใบ้อะไรสักอย่าง</p>
<p>สืออวิ๋นเปียนพ่นเสียงทางจมูก แล้วใช้มือผลักเหมียวอี้ออกไป</p>
<p>เมิ่งหรูมองเหมียวอี้ศีรษะจดเท้าแวบหนึ่ง แล้วก็กวาดสายตามองพวกอวิ๋นอ้าวเทียนอีก “ทุกคนตามข้ามา”</p>
<p>เขาเหาะขึ้นฟ้านำไปก่อน แล้วสืออวิ๋นเปียนก็ตะคอกสั่งพวกเหมียวอี้ที่กำลังมองหน้ากันเลิกลั่กว่า “ยังไม่รีบตามไปอีก”</p>
<p>สิ่งที่เรียกว่า ‘อีกฝ่ายมีอำนาจชี้เป็นชี้ตาย แต่ตัวเองเป็นเนื้อบนเขียง’ คืออะไรล่ะ? พวกเหมียวอี้มีควารู้สึกแบบนี้แหละ แต่ก็ช่วยไม่ได้ ทำได้เพียงพุ่งตัวขึ้นฟ้าตามไป</p>
<p>ไม่ใช่แค่พวกเขาเท่านั้น คนหลายสิบคนที่ยืนอยู่นอกตำหนักก็พุ่งขึ้นฟ้าเช่นกัน</p>
<p>ทุกคนพุ่งฝ่าเมฆดำ เหาะฝ่าชั้นบรรยากาศออกไปอยู่ในดาราจักร ยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์หกคนเหาะนำทางอยู่ข้างหน้า พวกเหมียวอี้ตามอยู่ข้างหลัง พอหันกลับมามองข้างหลัง แต่ละคนก็เรียกได้ว่าอกสั่นขวัญแขวน ตอนนี้ถึงได้พบว่าสามสิบกว่าคนที่ตามอยู่ข้างหลังล้วนเป็นนักพรตที่มีระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพ</p>
<p>พวกเขาไม่ได้เหาะไปไกลนัก หยุดลอยอยู่ในท้องฟ้านอกดาวรองดวงหนึ่งที่โคจรรอบดาวหลัก ที่ดาวรองดวงนั้นมีดาวเสริมสิบเอ็ดดวงโคจรอยู่รอบๆ ดาวเคราะห์สิบสองดวงนี้ล้วนถูกหมอกสีเลือดปกคลุม มองเห็นสถานการณ์บนดาวเคราะห์ได้ไม่ชัดเจน</p>
<p>พวกอวิ๋นอ้าวเทียนไม่รู้ว่าโจรกบฏกลุ่มนี้พาพวกเขามาทำอะไรที่นี่ มีเพียงเหมียวอี้ที่พอกวาดสายตาเจอดาวเคราะห์สิบสองดวงแล้ว สายตาก็ไปหยุดอยู่ตรงดาวรองตรงกลางที่ถูกโคจร ในใจแอบมีความสุขเล็กน้อย</p>
<p>ตำแหน่งคร่าวๆ ของภาพพิกัดดาวบนแผนที่ซ่อนสมบัติ เมื่อเจอตำแหน่งคร่าวๆ แล้วถึงจะหาตำแหน่งที่เฉพาะเจาะจงได้</p>
<p>แค่มองปราดเดียวเขาก็รู้แล้วว่าเป็นที่ซ่อนเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางภาคดิน มันอยู่บนดาวรองที่มีดาวเสริมสิบสองดวงโคจรรอบๆ นั่นเอง พยายามหาแทบตายแต่ไม่เจอ พอเลิกหาเลิกสนใจ กลับได้มาง่ายๆ แบบคาดไม่ถึงเสียอย่างนั้น</p>
<p>มองซ้ายก็แล้วมองขวาก็แล้ว ก็ยังไม่เข้าใจว่าการที่โจรกบฏกลุ่มนี้พาตัวเองมาถึงที่ซ่อนสมบัติหมายความว่าอย่างไร</p>
<p>เมิ่งหรูที่จ้องมองอยู่พักหนึ่งหันตัวมามองพวกเหมียวอี้ แล้วชี้ไปยังดาวเคราะห์สิบสองดวงพร้อมถามว่า “เห็นดาวเคราะห์สิบสองดวงนั่นหรือยัง?”</p>
<p>พวกเหมียวอี้สบตากันแวบหนึ่ง แล้วพยักหน้าตอบพร้อมกันว่า “เห็นแล้ว”</p>
<p>เมิ่งหรูกล่าวอธิบายว่า “หลังจากประมุขปราชญ์หกท่านตายแล้ว พวกเราก็ล่าถอยมาที่แดนอเวจี เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้กระจัดกระจายจนติดต่อกับโจรกบฏภายนอกได้ยาก ทั้งหกลัทธิจึงเลือกประมุขขุนพลหนึ่งคนมาบัญชาการพวกเรา ตอนนี้ประมุขขุนพลหกท่านถูกขังบนบนดาวรองที่มีดาวเสริมสิบเอ็ดดวงโคจร และบนดาวสิบสองดวงนั้นก็ถูกใครบางคนใช้พลังอิทธิฤทธิ์อันแข็งแกร่งวางค่ายกลขนาดใหญ่ไว้ ค่ายกลใหญ่กับชีวิตของประมุขขุนพลหกท่านมีความสัมพันธ์กันอย่างแนบแน่น ถ้าอยากจะช่วยชีวิตประมุขขุนพลหกท่านออกมาจากดาวรอง ก็ต้องทำลายค่ายกลที่เกี่ยวโยงกันบนดาวเสริมสิบเอ็ดดวงก่อนถึงจะเข้าไปได้ ที่พาพวกเจ้าหกคนมาที่นี่ ก็เพราะต้องการจะให้พวกเจ้าทำลายค่ายกล ถ้าสามารถทำลายค่ายกลได้ เราก็จะไว้ชีวิตพวกเจ้า แต่ถ้าพวกเจ้าทำลายค่ายกลไม่ได้ ข้าก็จะเอาชีวิตพวกเจ้า!”</p>
<p>ทั้งหกคนเหม่อทันที อวิ๋นอ้าวเทียนถามว่า “ขนาดอาศัยวรยุทธ์ของพวกท่านยังไม่สามารถทำลายค่ายกลได้เลย ให้พวกเราไปทำลายค่ายกลนี่กำลังล้อเล่นรึเปล่า แบบนี้ต่างอะไรกับการกดดันให้พวกเราเอาชีวิตไปทิ้ง?”</p>
<p>“ในปีนั้นคนที่เคยวางค่ายกลนี้เคยบอกเอาไว้ ว่าให้รอจนผู้สืบทอดมหาเคล็ดวิชาพิเศษของประมุขปราชญ์หกท่านมาถึง ก็จะเป็นเวลาที่ประมุขขุนพลหกท่านจะได้เห็นเดือนเห็นตะวันอีกครั้ง” เมิ่งหรูกล่าว</p>
<p>ทั้งหกคนเข้าใจทันทีว่าทำไมโจรกบฏกลุ่มนี้จึงพิสูจน์ยืนยันเคล็ดวิชาฝึกตนของพวกเขา ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง</p>
<p>เหมียวอี้ที่เหลือบมองชายชราสามคนถามหยั่งเชิงว่า “ผู้อาวุโสทั้งหกท่านก็ฝึกหกเคล็ดวิชาพิเศษไม่ใช่เหรอ? ทำไมไม่ทำลายเองล่ะ?”</p>
<p>เมิ่งหรูส่ายหน้าบอกว่า “พวกเราฝึกแค่หกเคล็ดวิชาพิเศษภาคดิน และเป็นผู้วางค่ายกลท่านนั้นที่ถ่ายทอดวิชาให้เรา เป้าหมายในการถ่ายทอดวิชาก็เพื่อให้ต้อนรับและนำทางคนทำลายค่ายกล พวกเราก็เคยลองทำลายค่ายกลแล้วเหมือนกัน แต่จนใจที่หาวิธีการไม่ได้ ไม่กล้าฝืนทดลอง ไม่กล้าเอาชีวิตประมุขขุนพลหกท่านมาเสี่ยงอันตราย”</p>
<p>มีคนที่กุมหกเคล็ดวิชาพิเศษไว้ในมือเหรอ? เหมียวอี้ตาเป็นประกาย นึกเชื่อมโยงอะไรบางอย่าง รีบถามต่อว่า “ไม่ทราบว่าคนวางค่ายกลคือใคร ในมือถึงมีมหาเคล็ดวิชาพิเศษของประมุขปราชญ์หกท่านได้?”</p>
<p>“ประมุขไป๋!” เมิ่งหรูตอบเสียงดัง</p>
<p>เป็นเขาจริงๆ ด้วย! เหมียวอี้ถามอีกว่า “ในมือประมุขไป๋มีหกเคล็ดวิชาพิเศษได้อย่างไร?”</p>
<p>เมิ่งหรูค่อยๆ หลับตาสองข้าง แล้วถามว่า “เจ้าถามเยอะเกินไปหรือเปล่า?”</p>
<p>หลายปีมานี้ถูกหกเคล็ดวิชาพิเศษที่ประมุขไป๋ซ่อนคอยจูงจมูกให้เดินมาตลอด เหมียวอี้ย่อมอยากคลายปริศนาในใจอยู่แล้ว จึงอธิบายว่า “พวกท่านบังคับให้พวกเราทำลายค่ายกล ถ้าพวกเราไม่รู้แม้แต่ต้นสายปลายเหตุ แล้วจะให้พวกเราทำลายค่ายกลได้อย่างไร?”</p>
<p>หลังจากตรงนั้นเงียบไปครู่หนึ่ง กุยอู๋ พระที่ผิวสีทองแดงก็ถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “หกเคล็ดวิชาพิเศษเป็นสิ่งที่ประมุขปราชญ์หกท่านมอบให้ประมุขไป๋”</p>
<p>เหมียวอี้ยิ่งฟังยิ่งแปลกใจ “ประมุขไป๋กับประมุขปราชญ์หกท่านเป็นศัตรูคู่แค้นกันไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงมอบเคล็ดวิชาให้เขาได้?”</p>
<p>กุยอู๋กล่าวด้วยน้ำเสียงขื่นขมว่า “ในปีนั้นประมุขพุทธะ ประมุขชิง ประมุขไป๋ระดมกำลังพลกลุ่มใหญ่เพื่อร่วมมือกันก่อกบฏ หลังจากศึกใหญ่ผ่านไป ประมุขไป๋ก็คาดคะเนเส้นทางหนีของพวกเราได้อย่างแม่นยำ จึงดักซุ่มสกัดพวกเราไว้ แต่ประมุขปราชญ์หกท่านร่วมมือกันก็ยังสู้ประมุขไป๋ไม่ได้ ภายใต้ความจนตรอกไร้ทางไป ประมุขปราชญ์หกท่านสละหกเคล็ดวิชาพิเศษให้แล้วปลิดชีพตัวเอง ประมุขไป๋ซาบซึ้งใจจึงปล่อยให้พวกเรารอดชีวิต เป็นประมุขปราชญ์หกท่านที่สละชีวิตตัวเอง พวกเราถึงได้ถอยทัพเข้ามาในแดนอเวจี ไม่อย่างนั้นคงพินาศย่อยยับไปหมดตั้งนานแล้ว จะมีวันนี้ได้อย่างไรกัน!”</p>
<p>…………………………</p>