พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - ตอนที่ 1219 หมายความว่าอะไร
<p>“พวกเราซาบซึ้งในน้ำใจของท่านแล้ว ไม่ต้องคุ้มกันส่งหรอก ถ้าไม่มีเรื่องอื่นแล้ว ก็ขอกล่าวอำลาตรงนี้”</p>
<p>ซือถูเซี่ยวตอบกลับเสียงดัง พวกเขาไม่มีเจตนาจะพัวพันกับอีกฝ่ายต่อไป สถานการณ์ไม่ชัดเจน เห็นๆ กันอยู่ว่าอาจจะเกิดอันตรายก็ได้</p>
<p>“ช้าก่อน!” กวนหลงซานยกฝ่ามือห้าม “ทำให้รู้ชัดก่อนว่าเป็นศัตรูหรือเป็นสหาย แล้วค่อยไปก็ยังไม่สาย”</p>
<p>“ไม่ใช่ทั้งศัตรูและสหาย เอาเป็นว่าไม่ใช่ลูกน้องของประมุขชิง เพียงแค่จะอาศัยทางเดินเท่านั้น ได้โปรดให้ความสะดวก” ซือถูเซี่ยวกล่าว</p>
<p>“ทุกท่านไม่จำเป็นต้องป้องกันขนาดนี้ ข้าแค่อยากจะรู้ที่มาที่ไปของทุกท่าน หลังจากจบเรื่องจะรับรองว่าจะไม่ทำให้พวกท่านลำบาก แบบนี้ดีไหม?” กวนหลงซานถาม</p>
<p>ซือถูเซี่ยวตอบว่า “การรับรองโดยปากเปล่าจะได้ความเชื่อใจจากคนอื่นได้อย่างไร ถ้ามีความตั้งใจว่าจะไม่ทำให้ลำบากจริงๆ การไม่รบกวนกันและกันก็คือหลักการที่ถูกต้อง”</p>
<p>เพิ่งจะพูดจบ จู่ๆ ก็มีเสียงดังมาจากด้านข้าง “ถ้าไม่เชื่อในการรับรองของเขา เดี๋ยวข้าจะรับรองให้เองเป็นอย่างไร?”</p>
<p>พวกเหมียวอี้หันขวับ เห็นเพียงเงาคนคนหนึ่งถลันตัวมาถึง ชายหนุ่มผมยาวสยายไร้หนวดที่สวมชุดคลุมสีดำพลันปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าพวกเหมียวอี้ แล้วใช้สายตามองสำรวจพวกเขาด้วยความรวดเร็ว</p>
<p>พวกเหมียวอี้ตกใจมาก พวกเขาคอยระแวดระวังรอบด้านมาโดยตลอด แค่เผลอพูดไปไม่กี่ประโยคแล้วมีคนเข้ามาใกล้ ไม่น่าเชื่อว่าพวกเขาจะไม่สังเกตเห็น ด้วยความเร็วแบบนี้ คนคนนี้ต้องมีวรยุทธ์เท่าไรกัน?</p>
<p>สายตาของทั้งหกไปหยุดจ้องอยู่บนลายเมฆสีเลือดตรงหว่างคิ้วของอีกฝ่าย ทำให้แต่ละคนแอบร้องว่าแย่แล้วทันที พบว่าฝ่ายตัวเองติดกับดักแล้ว สงสัยคนแซ่กวนคงจะกำลังจงใจถ่วงเวลา ดึงให้นักพรตระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพมาสู้กับพวกเขา</p>
<p>แต่คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าไม่ใช่ ในเมื่อเบื้องหลังคนแซ่กวนมีนักพรตระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพอยู่ด้วย ต่อให้ไม่ถ่วงเวลาก็สามารถตามมาทันได้อย่างรวดเร็ว พวกเขาไม่มีทางหนีพ้นได้เลย</p>
<p>สรุปก็คือทุกเรื่องที่เกิดขึ้นตรงหน้าทำให้ทั้งหกคนคิดไม่ตก ถึงอย่างไรครั้งนี้ก็เลิกคิดที่จะหนีไปได้เลย</p>
<p>“ขุนพล!” กวนหลงซานรีบถลันตัวเข้ามากุมหมัดคารวะผู้ที่มา</p>
<p>สายตาของขุนพลไปหยุดอยู่บนปีกข้างหลังอวิ๋นอ้าวเทียนครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “ที่ท่านฝึกคือเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานเหรอ?”</p>
<p>อีกฝ่ายถามถึงเคล็ดวิชาฝึกตนของพวกเขาซ้ำแล้วซ้ำอีก อวิ๋นอ้าวเทียนไม่รู้ว่าควรจะตอบเขาอย่างไร ได้แต่นิ่งเงียบไม่พูดจา</p>
<p>ผู้ที่มาไม่ได้ถามกดดันอะไรมาก สายตาไปหยุดอยู่บนตัวซือถูเซี่ยวที่เป็นนักพรตผีอีก จ้องมองครู่หนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็ถลันตัวออกมาตรงหน้าพวกเขา แล้วยื่นมือไปคว้าซือถูเซี่ยวไว้</p>
<p>พวกเขาตกใจมาก ความเร็วในการลงมือครั้งนี้เร็วจนเหมียวอี้ง้างสายของธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ที่อยู่ในมือไม่ทัน</p>
<p>พวกเขาตอบสนองอย่างรวดเร็ว คนที่ไหวตัวลงมือเร็วที่สุดก็คือมู่ฝานจวิน พอนางพลิกฝ่ามือ ก็เห็นอัสนีบาตหลายสายก็ไขว้กันออกมา ชั่วพริบตาเดียวอัสนีบาตก็มาขวางอยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้ว</p>
<p>ขณะเดียวกัน ทั้งหกก็ถลันตัวถอยหลังอย่างรวดเร็ว แต่ใครจะคิดว่าขุนพลจะไม่เห็นสายฟ้าที่มู่ฝานจวินปล่อยอยู่ในสายตาเลย บุกฝ่าเข้ามาในอัสนีบาตอย่างเหี้ยมหาญ ปล่อยให้สายฟ้าเลื้อยบนตัว เพียงแค่ตัวสั่นเล็กน้อยเท่านั้นเอง ยังคงยื่นมือไปจับซือถูเซี่ยวต่อ</p>
<p>เหมียวอี้ฉวยโอกาสนี้ง้างสายธนูแล้ว เกิดเสียงดังปั้ง ลูกธนูดาวตกสามดอกยิงออกไปพร้อมกัน ส่วนอวิ๋นอ้าวเทียนก็พลิกมือนำดาบออกมา แล้วฟันออกไปอย่างบ้าคลั่ง</p>
<p>มือใหญ่ที่ยื่นไปหาซือถูเซี่ยวพลันโบกหนึ่งครั้ง นิ้วทั้งห้าขยุ้มกลางอากาศ ลูกธนูดาวตกสามดอกที่ยิงเข้ามาถูกขยุ้มค้างไว้กลางอากาศ ลูกธนูดาวตกปรากฏร่างเดิมในชั่วพริบตาเดียว ราวกับเอาชีวิตดูดวิญญาณ ลูกธนูดาวตกสามดอกพลันดูดเข้าไปในนิ้วมือทั้งห้าแล้ว</p>
<p>ลูกธนูดาวตกถูกขุนพลควบคุมไว้ในมือจนขยับไม่ได้แม้แต่น้อย เหมียวอี้จะเรียกกลับได้อย่างไรกัน</p>
<p>แล้วก็เห็นขุนพลยื่นมืออีกข้างออกมาอีก ดาบใหญ่ที่อวิ๋นอ้าวเทียนฟันออกมาพลันค้างอยู่กลางอากาศ ไม่น่าเชื่อว่าจะโดนขุนพลใช้นิ้วสามนิ้วคีบคมดาบไว้จนขยับไม่ได้อีก</p>
<p>ซือถูเซี่ยวแยกร่างออกมาหลายสิบร่างแล้ว หมายจะทำให้อีกฝ่ายสับสน</p>
<p>ขุนพลเหล่ตามองการเปลี่ยนแปลงของซือถูเซี่ยวแวบหนึ่ง พอพลิกนิ้วที่คีบคมดาบของอวิ๋นอ้าวเทียนเอาไว้ ก็ดีดนิ้วหนึ่งครั้ง ทำให้เกิดเสียงดังสะเทือน อวิ๋นอ้าวเทียนกระเด็นออกไปพร้อมกับดาบ</p>
<p>สิ่งที่เหนือความคาดหมายของพวกเขาก็คือ ขุนพลไม่ได้ลงมือต่อ แต่หันตัวถอยกลับไปแล้ว</p>
<p>ตอนพูดเหมือนช้า แต่ที่จริงเป็นการประมือกันเพียงชั่วพริบตาเดียว ตอนนี้ถึงได้เห็นขุนพลที่ลอยอยู่กลางอากาศกดแขนสองข้าง กระแสไฟฟ้าบนร่างกายถึงได้หายไป มีเกลียวควันลอยขึ้นมาบนร่างกายพักหนึ่ง</p>
<p>เดิมทีกระแสไฟฟ้าก็มีบทบาทข่มนักพรตผีอยู่แล้ว แต่วรยุทธ์ของคนคนนี้สูงเกินไปจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะใช้วรยุทธ์ต้านทาน อาศัยวรยุทธ์ของมู่ฝานจวินในตอนนี้ ถ้าอยากจะทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บก็ไม่น่าจะเป็นไปได้</p>
<p>ถ้าจะหนีก็ไม่มีทางหนีพ้นเงื้อมมือคนคนนี้ พวกเหมียวอี้รีบถลันตัวเข้าไปหลบอยู่ระหว่างร่างแยกหลายสิบร่างของซือถูเซี่ยว แต่ละคนเครียดกังวลถึงขีดสุด สีหน้าจริงจังหนักแน่น สถานการณ์ตึงเครียดแบบพร้อมจะระเบิดได้ทุกเมื่อ</p>
<p>เมื่อเผชิญหน้ากับยอดฝีมือที่ตัวเองไม่มีโอกาสชนะ ทั้งหกคนต่างก็ไม่กล้าลงมือก่อนง่ายๆ ทำได้เพียงเตรียมป้องกันอย่างสูง</p>
<p>บางคนแอบด่าเหมียวอี้ในใจว่ามีเรื่องดีๆ ดันไม่ทำ ดึงดันจะถ่อมาถึงนี่ให้ได้ เกลี้ยกล่อมอย่างไรก็ไม่ฟัง จะมาร้องไห้ตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว</p>
<p>ตั้งแต่ต้นจนจบกวนหลงซานลอยอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน เห็นได้ชัดว่ามั่นใจในตัวขุนพลที่สุด</p>
<p>ขุนพลที่กำจัดกระแสไฟฟ้าบนตัวทิ้งแล้วจ้องมองมู่ฝานจวิน พร้อมกล่าวเน้นว่า “สวรรค์เก้าชั้นฟ้า!”</p>
<p>จากนั้นก็กลอกตากวาดมองไปยังซือถูเซี่ยวหลายสิบร่างอีกครั้ง ที่เขาไม่ลงมือตอนนนี้ก็เพราะไม่แน่ใจว่าคนไหนคือซือถูเซี่ยวตัวจริง ได้แต่โยนลูกธนูดาวตกสามดอกในมือทิ้งไป</p>
<p>ลูกธนูสามดอกที่โยนกลับมาไม่ได้เร็วมาก เหมียวอี้ที่รับกลับมาไว้ในมือประหลาดใจไม่หาย ไม่เข้าใจว่าหมายความว่าอย่างไร ดูจากสถานการณ์แล้วเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้มีเจตนาเป็นศัตรูสักเท่าไร</p>
<p>พวกอวิ๋นอ้าวเทียนมองหน้ากันเลิกลั่ก</p>
<p>หลังจากขุนพลจ้องพวกเขาพักหนึ่ง ก็กล่าวอย่างเนิบนาบว่า “ข้าคือตูหยวนฮ่าว ขุนพลของประมุขปราชญ์ลัทธิผี ไม่ทราบว่าทุกท่านมีที่มาอย่างไร เป็นผู้เข้าร่วมการทดสอบของตำหนักสวรรค์ในครั้งนี้หรือ?”</p>
<p>มู่ฝานจวินทำหน้านิ่งพร้อมกล่าวว่า “ขุนพลตู ท่านวางใจได้เลย พวกเราไม่ใช่คนของตำหนักสวรรค์แน่นอน มาที่นี่ไม่ได้มีเจตนาร้าย ได้โปรดใจกว้างปล่อยไปสักครั้ง”</p>
<p>“ถ้าไม่ใช่คนของตำหนักสวรรค์ แล้วจะบุกเข้ามาในแดนอเวจีได้อย่างไร?” ตูหยวนฮ่าวถาม</p>
<p>พวกเหมียวอี้สบตากันแวบหนึ่ง มาถึงขั้นนี้แล้ว ถ้าปิดบังต่อไปเกรงว่าอาจจะเกิดเรื่องราวใหญ่โต ลูกน้องเก่าของหกมหาราชันพวกนี้เป็นศัตรูคู่แค้นของตำหนักสวรรค์</p>
<p>หลังจากส่งสายตาขอความคิดเห็นแล้ว มู่ฝานจวินก็ตอบว่า “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่ปิดบังขุนพลตู พวกเราเข้ามาในแดนอเวจีตั้งแต่ร้อยปีก่อน ร้อยปีก่อนพวกเราดักปล้นฆ่าผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ไปสามคน ตอนที่โดนคนของตำหนักสวรรค์ไล่ฆ่า พวกเราก็บังเอิญบุกเข้ามาในประตูดวงดาวบานหนึ่ง พวกเราก็นึกไม่ถึงเช่นกันว่าที่นี่จะเป็นแดนอเวจี โดนขังอยู่ในนี้ไม่กล้าขยับไปไหน ใครจะคิดว่าครั้งนี้จะมีคนกลุ่มใหญ่ของตำหนักสวรรค์โผล่มาทดสอบที่นี่อีก บุกเข้ามาในที่ซ่อนตัวของพวกเรา หลังจากต่อสู้กันไปยกหนึ่งพวกเราก็ถูกกดดันจนอับจนปัญญา เพื่อที่จะหลบกำลังพลของตำหนักสวรรค์ พวกเราถึงได้หนีมาที่นี่ ใครจะคิดว่าจะบังเอิญล่วงเกินขุนพลเข้าแล้ว ไม่ใช่คนที่ตำหนักสวรรค์ส่งมาสู้กับขุนพลตูที่นี่อย่างที่ขุนพลตูคิดแน่นอน”</p>
<p>ผู้หญิงคนนี้ช่างโกหกกลบเกลื่อนเก่งจริงๆ เหมียวอี้แอบพึมพำในใจ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำแบบนี้แล้วจะตบตาอีกฝ่ายได้หรือเปล่า</p>
<p>“เป็นพวกท่านเองเหรอ?” ตูหยวนฮ่าวตะลึงอย่างเห็นได้ชัด แล้วถามอย่างแปลกใจว่า “พวกท่านก็คือคนที่ฆ่าผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์เมื่อร้อยปีก่อนเหรอ?”</p>
<p>เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา ก็เท่ากับพิสูจน์แล้วว่าในนรกมีการติดต่อกับคนนอก หรือไม่ก็รู้สถานการณ์มาจากปากคนของตำหนักสวรรค์ที่มาเข้าร่วมการทดสอบ แต่แบบแรกมีความเป็นไปได้มากกว่า ด้วยสถานการณ์ในปีนั้น เป็นไปไม่ได้ที่กำลังพลของหกมหาราชันจะหนีเข้ามาในนรกทั้งหมดได้ และก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่ตำหนักสวรรค์จะจับคนที่เหลืออยู่มาได้ทั้งหมด ถึงอย่างไรหกมหาราชันก็ครองพิภพใหญ่มาหลายปี แม้จะพ่ายแพ้แต่พลังอำนาจยังคงอยู่</p>
<p>กลับเป็นเหมียวอี้ที่ได้ยินแล้วรู้สึกกินปูนร้อนท้องนิดหน่อย เมื่อร้อยปีก่อนเขาไม่ได้มีส่วนร่วมกับเรื่องที่พวกอวิ๋นอ้าวเทียนทำไม</p>
<p>“ใช่แล้ว!” มู่ฝานจวินพยักหน้าเอ่ยรับ</p>
<p>“ไม่ถูกสิ!” ตูหยวนฮ่าวกล่าวเสียงต่ำว่า “จากที่ข้ารู้มา โจรที่หนีเข้ามาในแดนอเวจีปีนั้นมีห้าคน”</p>
<p>หัวหอกพุ่งมาถึงตัวเหมียวอี้แล้วจริงๆ มีเกินมาหนึ่งคน</p>
<p>มู่ฝานจวินตอบว่า “นั่นเป็นเพราะฝั่งตำหนักสวรรค์เห็นแค่ห้าคน ที่จริงไม่ได้มีแค่ห้าคน แต่ทั้งหมดอยู่ในกระเป๋าสัตว์ของพวกเรา” พูดจบก็โบกมือ เรียกอันหรูอวี้และบรรดาลูกศิษย์ของตัวเองออกมา</p>
<p>พวกอันหรูอวี้ยังไม่ทันเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร เรียกออกมาเพื่อพิสูจน์สิ่งที่พูดเฉยๆ จากนั้นมู่ฝานจวินก็โบกมือเก็บพวกเขาเข้าในกระเป๋าสัตว์อีก</p>
<p>เห็นได้ชัดว่าตูหยวนฮ่าวไม่ได้มีเจตนาจะถามซักไซ้เรื่องนี้ ตอนนี้สายตาไปหยุดอยู่บนตัวจีฮวนแล้ว “นักพรตปีศาจท่านนี้ฝึก ‘มหาเคล็ดวิชาหมื่นปีศาจ’”</p>
<p>ก่อนหน้านี้ถึงแม้จีฮวนจะไม่ได้ลงมือ แต่ก็เตรียมตัวจะลงมือแล้ว ปราณปีศาจที่ก่อตัวออกมาแบบนั้น เขาก็มองออกแล้วเช่นกัน</p>
<p>แล้วสายตาก็ไปหยุดอยู่บนตัวฉางเหลยอีก “พระภิกษุ! ถ้าข้าเดาไม่ผิด ท่านคงจะฝึก ‘หฤทัยสูตรสุขาวดี’”</p>
<p>จากนั้นก็ย้ายสายตาไปที่ตัวเหมียวอี้ “คนที่เหลือก็คงจะฝึก ‘มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยง’”</p>
<p>เหมียวอี้ค่อนข้างพูดไม่ออก อาศัยอะไรมาตัดสินว่าข้าฝึกมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยง?</p>
<p>“เคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยาง เคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทาน สวรรค์เก้าชั้นฟ้า มหาเคล็ดวิชาหมื่นปีศาจ หฤทัยสูตรสุขาวดี มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยง! ผู้สืบทอดเคล็ดวิชาพิเศษของประมุขปราชญ์ทั้งหกท่านอยู่กันครบแล้ว โลกนี้มีเรื่องบังเอิญขนาดนี้เสียที่ไหนกัน ที่บอกว่าดักฆ่าผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์สามคนแล้วเข้าใจผิดบุกเข้ามาที่แดนอเวจี ข้าไม่เชื่อหรอก! หนึ่งแสนปีแล้ว พวกเราเชื่อฟังเขาและรอคอยมาหนึ่งแสนปีกว่าแล้ว เขาถูกสยบอยู่ในเจดีย์สยบปีศาจ เกรงว่าคงจะทำตามสัญญาที่ให้ไว้ตอนแรกไม่ได้ เป็นใครกันที่ให้พวกท่านมาที่นี่?” ตูหยวนฮ่าวเม้มริมฝีปากพูดด้วยน้ำเสียงโศกาอาดูร</p>
<p>กวนหลงซานที่อยู่ไม่ไกลก็ทำสีหน้าเศร้าสลดเช่นกัน</p>
<p>พวกเหมียวอี้มองหน้ากันเลิกลั่ก ไม่ค่อยเข้าใจว่าหมายความว่าอะไร หนึ่งแสนปีอะไรกัน แล้วใครถูกสยบอยู่ในเจดีย์สยบปีศาจ?</p>
<p>แม้แต่เหมียวอี้เองก็ยังพึมพำในใจ เจดีย์สยบปีศาจเหรอ? หรือว่าจะหมายถึงประมุขไป๋หรือประมุขปีศาจ? เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับที่ประมุขไป๋และประมุขปีศาจถูกขังอยู่ในเจดีย์สยบปีศาจล่ะ? ประมุขไป๋กับประมุขปีศาจให้สัญญาอะไรไว้กับคนพวกนี้?</p>
<p>มู่ฝานจวินอึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง สุดท้ายก็แข็งใจบอกว่า “พวกเราไม่เข้าใจว่าที่ขุนพลตูพูดหมายความว่าอะไร” นี่ไม่ใช่คำโกหก แต่ฟังไม่เข้าใจจริงๆ</p>
<p>ตูหยวนฮ่าวกล่าวว่า “ฟังไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร ถ้าอยากจะรอดชีวิตก็ไปกับข้า” พูดจบก็เด็ดกระเป๋าสัตว์ใบหนึ่งยื่นไปทางพวกเขา บอกใบ้ให้พวกเขาเข้ามาในกระเป๋าสัตว์</p>
<p>พวกเหมียวอี้ทำสายตาระวังตัวทันที ใครจะกล้าเข้าไปล่ะ ถ้าเข้าไปแล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นมา พวกเขาจะตายอย่างไรก็ยังไม่รู้เลย อยู่แบบนี้อย่างน้อยก็ได้ดิ้นรนขัดขืนบ้าง ถ้าจะตายก็ขอตายแบบไม่คาใจ</p>
<p>“ขุนพลตู ถ้าท่านอยากจะฆ่าพวกเราก็ง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ พวกเราล้วนเป็นนักพรตผีเหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องกลั่นแกล้งกันแบบนี้!” ซือถูเซี่ยวกล่าว</p>
<p>สายตาของตูหยวนฮ่าวไปหยุดอยู่บนหน้ากากผีของเขา หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ก็ไม่ได้กดดันอะไรต่อ เก็บเกระเป๋าสัตว์เอาไว้แล้ว “ถ้าไม่อยากเข้ามาก็ไปกับข้า” จากนั้นกันมากำชับกวนหลงซานว่า “ตรงนี้ฝากเจ้าจัดการด้วย!”</p>
<p>“ขอรับ!” กวนหลงซานกุมหมัดเอ่ยรับคำสั่ง</p>
<p>“ไปกันเถอะ!” ตูหยวนฮ่าวกวักมือเรียกพวกเหมียวอี้อีกครั้ง</p>
<p>“ไปไหน?” ซือถูเซี่ยวถาม</p>
<p>“ไปยังสถานที่ที่จะตัดสินความเป็นความตายของพวกเจ้า ถ้าอยากรอดชีวิตก็ไปกับข้า อย่ากดดันให้ข้าต้องลงมือ!”</p>
<p>ตูหยวนฮ่าวพูดทิ้งท้าย แล้วหันตัวเหาะไปยังทิศทางหนึ่งโดยกดความเร็วเอาไว้ ไม่อย่างนั้นพวกเหมียวอี้จะตามวรยุทธ์ของเขาไม่ทัน</p>
<p> …………………………</p>