แผนรักสยบใจบอสสาวตัวร้าย - ตอนที่ 1029 คู่รักข้าวใหม่ปลามันทำคนสะเทือนใจ
อาเพียวสงสัยสุดขีด เขาเคยเจอคนเก่งๆมาก็เยอะ แต่ไม่มีคนไหนเลยที่จะเทพแบบนี้ ใช้เวลาวินิจฉัยไวมาก อีกทั้งดูจากท่าทางของพี่หลี่เมื่อครู่ การวินิจฉัยของเสี่ยวเชี่ยนก็น่าจะถูกต้อง!
“ประสบการณ์การรักษาเป็นตัวตัดสินทุกอย่าง ตอนที่พวกนายยังนั่งท่องตำรากันอย่างเอาเป็นเอาตาย อาจารย์ของฉันก็พาฉันนั่งศึกษาเคสคนไข้ต่างๆแล้ว ฉันพูดแบบไม่เว่อร์เลยนะ เคสคนไข้ที่ฉันรักษาเคยศึกษาวางกองรวมกันสูงหลายเมตรเลยล่ะ เรื่องแค่นี้จิ๊บจ๊อย”
ท่าทางตอนพูดของเสี่ยวเชี่ยนต้องให้คะแนนความมั่นใจเต็มร้อย เธอเห็นพวกอาเพียวดูเชื่อจริงจัง ถึงทุกคนจะเรียนด้านจิตวิทยามาเหมือนกัน แต่สาขาของพวกเขาไม่เหมือนกับเธอ พูดเว่อร์ๆไปก็หลอกได้หมด
“อาจารย์ของคุณคือ—” อาเพียวเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
“อาจารย์ของฉันชื่อหลิวหลินหลิน ถึงฉันจะเพิ่งได้เจอเขาตอนเรียนมหาวิทยาลัย แต่ในความเป็นจริงก่อนหน้านั้นหลายปีพวกเราเคยมีวาสนาได้เจอกันแล้ว เขามอบสมุดบันทึกประจำตัวให้ฉัน”
พูดไปแบบนี้ทุกคนยิ่งเชื่อเข้าไปใหญ่
ชื่อเสียงของหลิวหลินหลินในแวดวงการรักษาโด่งดังมาก เสี่ยวเชี่ยนพูดไปชัดเจนแล้ว ศาสตราจารย์หลิวได้รับเธอเป็นลูกศิษย์ตั้งแต่ก่อนเธอเข้ามหาวิทยาลัย ประสบการณ์การรักษาจึงหาใครเปรียบได้
สิ่งที่ได้จากการเรียนในมหาวิทยาลัยคือท่องจำแบบเอาเป็นเอาตาย แต่ถ้าเจออาจารย์ที่ปรึกษาดี ยอมถ่ายทอดวิชาให้ลูกศิษย์ ประสิทธิภาพในการเรียนก็จะมากขึ้นเป็นเท่าตัว เพราะทฤษฎีมากมายที่ตายตัวอยู่ในหนังสือมีเหรอจะสู้ประสบการณ์จากการปฏิบัติจริงได้ อักษรเป็นแสนเป็นล้านตัวมีเหรอจะจำได้แม่นเท่าอาจารย์พูดเพียงครั้งเดียว
ตอนนี้เองอาเพียวถึงได้เข้าใจว่าแชมป์ระดับประเทศของเสี่ยวเชี่ยนไม่ได้ได้มาด้วยความบังเอิญ
ตอนที่เขารู้ว่าจะมีผู้ช่วยจากภายนอกเข้ามาเขารู้สึกไม่โอเคเป็นอย่างมาก ไม่คิดว่าเสี่ยวเชี่ยนจะเก่งสมกับที่ได้รางวัลมา แต่ความสามารถของเสี่ยวเชี่ยนที่แสดงให้เห็นในช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้ก็ทำให้เขาได้ปรับเปลี่ยนมุมมองใหม่ และในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าเธอเก่งสมคำร่ำลือจริง การที่เบื้องบนส่งเธอมาก็มีเหตุผล
“ช่วงแบ่งปันประสบการณ์จากการวินิจฉัยของคุณเมื่อกี้หน่อยได้ไหม?” อาเพียวทำตัวเกรงใจขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด
เสี่ยวเชี่ยนคิดในใจ พี่หลี่เป็นโรคอารมณ์แปรปรวนมีเหรอที่เธอจะมองออกในครั้งแรกที่เจอ?
อย่าว่าแต่เธอเลย ต่อให้เป็นศาสตราจารย์หลิวมาเอง หรือแม้แต่เรียกชีอวี่เซวียนปีศาจปรมาจารย์ระดับโลกมา ก็ไม่มีทางจะวินิจฉัยได้ในแวบแรกที่เจอ
แน่นอนว่ามันมาจากประสบการณ์เมื่อชาติก่อน
ถึงพี่หลี่คนนี้ถึงจะเป็นนักวิจัยที่ก้าวหน้า แต่ตัวเขาเองกลับเป็นโรคอารมณ์แปรปรวนมาหลายปี
วงการนี้มีกฎที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรอยู่ว่า ถ้าตัวเองเป็นโรคจิตเวชก็เตรียมไว้อาลัยให้กับใบอนุญาตประกอบโรคศิลปะได้เลย ถ้าแม้แต่หมอยังป่วยแล้วคนไข้ที่ไหนจะวางใจให้ตรวจ? ขนาดนักวิจัยยังป่วยแล้วใครจะเชื่อผลงานวิจัยที่ทำออกมา?
แต่ในความเป็นจริงคือ คนที่ทำงานในวงการนี้ส่วนใหญ่ล้วนมีปัญหาด้านสภาพจิตใจหรือถึงขนาดที่เป็นโรคจิตเวชเลยก็มี เพียงแต่จะมากหรือน้อยเท่านั้น
หลังจากพี่หลี่ป่วยก็ไม่กล้าทำกระโตกกระตาก ทำได้แค่ไปหาเสี่ยวเชี่ยนหมอที่เก็บค่ารักษาสูงแต่เก็บความลับเป็นเลิศ แต่นั่นก็เป็นเรื่องหลังจากนี้อีกหลายปี เสี่ยวเชี่ยนดูจากอารมณ์ขึ้นๆลงๆของเขาในวันนี้ คาดคะเนอาการที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต พูดปัญหาของเขาให้เบาลงหน่อย แค่นั้นก็หลอกพี่หลี่ได้แล้ว
การประชุมยังไม่ทันเริ่มก็ทำสงครามกันไปก่อนแล้วหลายยก กลิ่นดินระเบิดเคยโชยอย่างรุนแรงเป็นทุนเดิม แต่พอพี่หลี่หัวหน้าของอีกฝ่ายถูกเสี่ยวเชี่ยนปราบแบบยกเดียวจอด ตอนประชุมจริงพี่หลี่จึงทำตัวเจี๋ยมเจี้ยมเป็นพิเศษ บรรยากาศในห้องประชุมจึงสามัคคีมากกว่าแต่ก่อน
พี่ใหญ่ของทางศูนย์วิจัยถูกปราบจนหงอไปแล้ว เหลือเพียงแต่หลิวเหมียวมองเสี่ยวเชี่ยนอย่างไม่สบอารมณ์และก็ไม่มีเหตุผล ก็แค่เป็นการเหม็นขี้หน้าตามสัญชาตญาณของเพศเมียเหมือนกัน
ยามที่ในสังคมกลุ่มหนึ่งมีผู้หญิงอยู่คนเดียวเป็นดาวเด่นและได้รับการปฏิบัติเป็นอย่างดีมาเป็นเวลานานอยู่ๆก็มีผู้หญิงสวยกว่าเด็กกว่าโผล่มา ทำให้ตัวเองถูกเบียดตกก็ย่อมไม่พอใจเป็นธรรมดา
หลิวเหมียวจงใจยิงคำถามใส่เสี่ยวเชี่ยนตอนประชุมหลายคำถาม ซึ่งล้วนเป็นคำถามที่จ้องเล่นงานโดยเฉพาะไม่ได้เกี่ยวข้องกับงานที่คุยกันอยู่ แต่เสี่ยวเชี่ยนก็ตอบได้ทั้งหมดอย่างคล่องแคล่ว สุดท้ายหลิวเหมียวสู้ไม่ได้ก็ยอมเงียบไป
หลิวเหมียวยกแก้วชาดอกไม้ที่แสนประณีตขึ้นมาดื่มด้วยท่าทางอันงามสง่า แต่เสี่ยวเชี่ยนกลับโยนคำถามเฉพาะทางที่เกี่ยวข้องกับคดีไปให้ ดูเป็นคำถามง่ายๆ แต่หลิวเหมียวกลับคิดนาน
เมื่อเทียบกันแล้ว คนละชั้น
ตอนหลิวเหมียวแกล้งเสี่ยวเชี่ยนหาแต่คำถามที่ไม่เกี่ยวข้องกับคดี แต่เสี่ยวเชี่ยนกลับตั้งแต่คำถามที่เกี่ยวข้องกับคดี ถึงขนาดที่ว่าเล่นเอานักวิจัยเฉพาะทางถึงกับนิ่งไปหลายวินาที นี่เป็นชัยชนะครั้งประวัติศาสตร์
อีกฝ่ายคิดหนัก แต่ทางด้านหมอตี๋มีคำตอบแล้ว
“หมอเฉินหมายถึงทฤษฎีเชาว์ปัญญาของสเติร์นเบิร์กใช่ไหมครับ? คุณอยากจะอธิบายถึงผลคะแนนทดสอบเชาว์ปัญญาที่สูงและข้อได้เปรียบในเรื่องความสามารถของคนร้ายคนนี้ใช่ไหมครับ”
“ประมาณนั้นแหละค่ะ” เสี่ยวเชี่ยนหันไปสบตากับหมอตี๋ ภูตจิ๋วในใจคนอื่นๆในทีมจิตวิทยาปรบมือเกรียวกราวพร้อมโปรยดอกไม้!
เจ๋ง! ชิงตอบก่อนหนึ่งวิ เพื่อที่จะได้ฉวยโอกาสตบหน้าอีกฝ่าย ตบหน้าทั้งทีก็ต้องเพียะๆๆ สะใจโว้ย
หลิวเหมียวออกอาการหน้าเสียเล็กน้อย ยัยเฉินเสี่ยวเชี่ยนนี่มันเป็นใครมาจากไหนกัน?
จบการประชุม พวกอาเพียวสะใจแบบที่ไม่เคยรู้สึกกันมาก่อน เจอหน้าคนในศูนย์วิจัยมาตั้งหลายครั้ง แต่ครั้งนี้มีความสุขสุดๆ
พอเสร็จประชุมอาเพียวก็ตัดสินใจอยากไปปลดปล่อยเลี้ยงข้าวมื้อใหญ่ทุกคน เมื่อเดินไปถึงรถหลิวเหมียวก็วิ่งมาหา
“หัวหน้าอาเพียวคะ ฉันมีเรื่องอยากจะถามคุณหน่อย” หลิวเหมียวทำเป็นมองไม่เห็นเสี่ยวเชี่ยนแล้วส่งยิ้มหวานอย่างไร้ที่ติให้อาเพียว
“อะไรเหรอครับ?”
“ฉันอยากถามว่ารักษาการหัวหน้าใหญ่ของพวกคุณจะว่างเมื่อไร ได้ยินว่าเขาเป็นคนจับคนร้ายคนนี้มาเอง ฉันมีเรื่องงานบางอย่างที่อยากถามเขา คุณจะสะดวกช่วยถามให้ฉันหน่อยได้ไหมคะ?”
อาเพียวกะพริบตาปริบๆ “เรื่องนี้อย่าถามผมเลยครับ เขาจะว่างเมื่อไรคงต้องถามหมอเฉินครับ”
“ใครนะคะ?”
มือของทีมจิตวิทยาที่ยืนกันคนละตำแหน่งพากันชี้ไปที่เสี่ยวเชี่ยนเป็นจุดเดียว “ถามเธอดูครับ!”
“เขา…?” ในใจหลิวเหมียวรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี หรือว่า…
“การที่หมอเฉินมาปรากฏตัวในฐานะผู้ช่วยชั่วคราวของพวกเราได้นั้น ไม่ใช่แค่เพราะความรู้ความสามารถขั้นเทพเพียงอย่างเดียว ยังแสดงให้เห็นถึงความห่วงใยจากทางกองทัพอีกด้วย เธอกับหัวหน้าใหญ่เพิ่งแต่งงานกัน เบื้องบนเห็นแก่ที่ทั้งสองคนถูกรบกวนตอนช่วงลาหยุดแต่งงานก็เลยออกคำสั่งพิเศษให้หมอเฉินมาเป็นผู้ช่วยชั่วคราวที่หน่วยเรา ดังนั้นถ้าอยากรู้ว่าหัวหน้าใหญ่ว่างเมื่อไรต้องถามเธอครับ”
เปรี้ยง
เสียงฟ้าผ่ากลางใจผู้หญิงวัยเริ่มแก่ หัวใจแหลกสลายในพริบตา
หลังเลิกงานอวี๋หมิงหลางรู้สึกได้ถึงรังสีอำมหิต
เมียที่เก่งกาจล้ำเลิศในปฐพีของเขาอยู่ในชุดนอน ใบหน้ามีมาร์คสีดำเหมือนเอาขี้ดินมาแปะหน้า ดวงตาสุกใสแต่เฉียบคมกำลังถลึงจ้องเขา
“เมียจ๋า ไหนว่าข้าวเย็นออกไปกินกับบ้านพี่รองไงจ๊ะ? ไม่แต่งตัวแต่งหน้าเหรอ?”
“หึหึ ฉันไม่อยากแต่งหน้า มีปัญหามะ?” เสี่ยวเชี่ยนพูดกวนประสาท
“อ่อ งั้นก็ไม่ต้องแต่งเนอะ” ยังไงเมียเขาจะแต่งหน้าหรือไม่แต่งก็สวยอยู่แล้ว
“ฉันรู้อยู่แล้วว่านายเห็นหน้าฉันจนเบื่อแล้ว จะแต่งหน้าหรือไม่แต่งมันก็ไม่มีค่าอะไรในสายตานาย”
อวี๋หมิงหลางหยุดเท้าที่กำลังจะเดินไปเข้าห้องน้ำแล้วกลับไปนั่งข้างเธอ ทั้งสองคนสบตากัน เสี่ยวเชี่ยนส่งสัญญาณแสดงความไม่พอใจออกไปอย่างรุนแรง