Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก - ตอนที่ 17
ทันทีที่ฮาจุนเข้าไปในออฟฟิศ เขาก็ยืนพิงประตูอยู่เงียบๆ ไม่ได้เข้าไปนั่งประจำที่ โค้ชจองที่ยังอยู่ในห้องมองฮาจุนยืนอยู่ตรงนั้นและถามอย่างสงสัย
“โค้ชอี เป็นอะไรไปล่ะ”
“ครับ?”
“ยังไม่กลางฤดูร้อนสักหน่อย หน้าแดงก่ำเชียว แต่จะว่าไปตอนนี้อากาศก็ร้อนขึ้นเอาเรื่องอยู่นะ”
“อ่า ครับ บางทีผมก็หน้าแดงแบบนี้น่ะครับ”
ฮาจุนรีบก้าวเท้ากลับเข้ามานั่งที่เดิม เขาเปิดกระเป๋าเก็บสมุดโน้ต แฟ้ม ปากกา และสิ่งของอื่นๆ เพื่อเตรียมเลิกงาน แต่เมื่อตั้งสติได้ก็พบว่าสิ่งของต่างๆ ที่วางไว้บนโต๊ะถูกกวาดใส่กระเป๋าไปหมดแล้ว
ฮาจุนส่ายหัวและหยิบสิ่งของต่างๆ ที่ไม่ต้องการออกจากกระเป๋า พร้อมสูดหายใจเข้าลึกๆ อยู่หลายครั้ง การหายใจเป็นสิ่งสำคัญในการควบคุมจิตใจ เขาได้เรียนรู้ขณะที่ไล่เข้าคลาสเรียนหลายๆ คลาส หลังจากที่เข้าคลาสฝึกสอน เพื่อฟื้นฟูตัวเองและเพื่อเริ่มฝึกฝนใหม่อีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นนักกีฬาหรือตัวเขาเอง ในยามที่จำเป็นต้องสงบจิตลงก็จะเริ่มที่การสูดลมหายใจอย่างถูกต้อง
…มันต้องเป็นมุกหยอกเล่นหรืออะไรบางอย่างที่ไม่ใช่ความหมายนั้นแน่ๆ วันนี้นายนั่นเพิ่งมีข่าวอื้อฉาวกับผู้หญิงคนหนึ่งออกมาแท้ๆ แต่มายึดติดกับเขาได้อย่างไรกัน ไม่เข้าท่าเลยสักนิด
หลังจากที่นอนด้วยกันครั้งเดียววันนั้นก็ไม่เห็นพูดอะไร ทำไมจู่ๆ วันนี้ก็… เป็นไปไม่ได้
“จู่ๆ ก็พูดขึ้นมา อะไรเนี่ย”
“หืม”
“เอ่อ เปล่าครับ ไม่มีอะไรครับ”
แม้ว่าฮาจุนจะจัดกระเป๋าแล้ว แต่ก็ไม่สามารถออกจากออฟฟิศได้ทันที เขาจึงนั่งเสียเวลาไปเปล่าๆ เพราะกลัวว่าถ้าออกไปข้างนอกก็จะเจอมูคยอมรออยู่
ดูจากสภาพของช่วงนี้แล้ว ไม่ว่าคำนั้นจะหมายความว่าอย่างไรก็ตาม หากฟังเข้าก็น่าจะตอบโอเคอย่างแน่นอน เขากังวลว่าตัวเองจะเข้าใจผิดและเขินเก้อไปไกลราวกับตอนจูบครั้งแรก ฮาจุนไม่อยากทำตัวเหมือนเป็นคนโง่เง่า ที่จริงจังกับคำพูดหยอกเล่นอยู่คนเดียว หลงกลและรู้ไม่เท่าทันเพียงครั้งเดียวยังพอไหว แต่ถ้ามีครั้งที่สอง…
‘ถ้ามีแล้วจะทำไม’
ทันใดนั้น คำถามก็แวบเข้ามาในหัวของฮาจุนราวกับแสงไฟสว่างวาบ
ฮาจุนนึกถึงจูบในวันนั้นที่เวลาล่วงเลยไปนานมากแล้ว จูบของมูคยอมซึ่งยากที่จะจินตนาการได้ เพราะปกติ ก็ไม่เคยแม้แต่จะได้สัมผัสผิวของมูคยอม จูบนั้นมันช่างนุ่มนวลและอ่อนโยนกว่าที่คิดไว้
ความเจ็บปวดที่หายไปจากร่างกายเลือนรางราวกับความฝันที่ถูกลืมเลือน สัมผัสจากการจูบและสัมผัสของมูคยอมกลับมามีชีวิตซ้ำแล้วซ้ำเล่าในจิตใจของเขา ความทรงจำกลับกลายเป็นกลุ่มก้อนความรู้สึกที่เข้มข้น ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาจิตใจของฮาจุนก็มักจะว้าวุ่นเป็นครั้งคราว
หลังจากที่ผู้จัดการทีมล้มป่วย เขาเองก็อยากให้กำลังใจกับมูคยอมมาตลอดอย่างน้อยก็คำพูดดีๆ สักคำ ถ้าหากว่าสนอกสนใจเขาสักเล็กน้อย คงไม่มีทางที่จะไม่รู้ว่ามูคยอมคิดกับผู้จัดการทีมพัคจุนซองลึกซึ้งขนาดไหน
ฮาจุนก็แค่อยากปลอบโยนและเป็นกำลังใจให้ก็เท่านั้น เพียงแค่นั้นเอง แต่มันเกิดความชัดเจนอะไรจากคำพูดนั้นกันนะ มันไปอุดรอยรั่วในใจส่วนไหน ถึงทำให้มูคยอมกลับมามองเขาใหม่ ถ้าแค่ปลอบโยนแล้วมันยังทำให้เขารู้ได้ขนาดนี้ ถ้าหากต้องอยู่ใกล้กันขึ้นอีก การที่อีกฝ่ายจะรู้ความรู้สึกในใจของเขาปัญหาก็อยู่แค่เวลาเท่านั้น ไม่ว่าจะพูดอะไรก็ดูจะไร้ประโยชน์
ฮาจุนเอาแต่หลบหน้ามูคยอมมาตลอดตั้งแต่สมัยเป็นนักกีฬาแล้ว มองหน้าเขาทีไรหัวใจก็เต้นแรง แค่ไปอยู่ใกล้ๆ เขาเมื่อไหร่ก็เกรงว่าจะพลาดท่าทำหัวใจสั่นระรัวเลยรักษาระยะห่างเอาไว้ ฮาจุนหลบหน้าเขาตั้งแต่นาทีที่เขาเข้าไปในห้องล็อกเกอร์จนถึงเวลาอยู่ในหอพัก ไม่เว้นแม้กระทั่งเวลาทานอาหาร
ฮาจุนเลือกที่จะอยู่ห่างจากมูคยอมให้มากที่สุดแม้แต่ในสนามซ้อม เวลาว่าง หรือกระทั่งเวลาที่เขาไปรวมตัวกับนักกีฬาคนอื่นๆ วันที่ฮาจุนพบว่าในที่สุดก็จะได้พบกันในทีม เขาถึงกับฝึกทักทายให้ดูปกติดีตั้งสามวันก่อนที่จะไปเยี่ยมเยียนที่สนามฝึกซ้อม
การสร้างทีมเวิร์กที่เหนี่ยวแน่นในทีมชาติเป็นเรื่องที่ยากกว่าที่คิด ในทีมชาติที่เป็นเช่นนั้นจะขาดมูคยอมที่เป็นเอชของทีมไปไม่ได้ ซึ่งหากไม่ติดธุระอะไรมูคยอมก็จะถูกนำตัวเข้าสู่การแข่งทันที หลังจากที่หยุดพักแค่ไม่กี่สัปดาห์หรือเพียงไม่กี่วัน และในขณะเดียวกันก็เป็นคนที่ใครหลายคนไม่พอใจด้วย การยอมรับในทักษะกับท่าทางจองหองเป็นสิ่งที่แยกออกจากกันต่างหาก
ในช่วงต้นของการเซ็นสัญญากับกรีนฟอร์ด สโมสรจะไม่ยอมส่งมูคยอมมาง่ายๆ เว้นแต่จะเป็นการแข่งขันครั้งใหญ่ มูคยอมจึงมีความคาดหวังสูงกัลเวิลด์คัพที่ตนเองรอคอยมาตลอด แต่ว่าในความเป็นจริง มูคยอมได้เปิดเผยถึงความไม่พอใจในลักษณะที่ว่าเพราะความแตกต่างของเพื่อนร่วมทีมชาติทำให้มูคยอมรู้สึกว่ามีภาระหน่วงเหนี่ยว เป็นท่าทีที่แสดงออกว่าการจัดลำดับของรุ่นพี่รุ่นน้องนั้นจะมีไปเพื่ออะไร แม้จะเป็นนักกีฬาที่มีความสามารถโดดเด่นยากจะหาใครมาเปรียบแต่มันจะต้องมีเหตุผลที่ทำให้เกิดการถกเถียงเกี่ยวกับการเรียกตัวเข้าประจำทีมด้วยอย่างแน่นอน ต่างฝ่ายต่างมีหนามยอกอกกันอยู่แล้ว แต่มูคยอมก็ยังวิ่งอยู่ในสนามเดียวกันกับผู้คนที่เขาไม่ยอมรับ หากมูคยอมจะจำข้อมูลของเพื่อนร่วมทีมได้ก็คงมีแค่ ‘ข้อมูลส่วนบุคคล’ ตามชื่อ เพื่อการเคลื่อนไหวที่มีประสิทธิภาพซึ่งเหมาะสมกับกลยุทธ์เท่านั้น โดยเฉพาะนักกีฬาที่พอมีอายุหน่อยก็ได้แสดงความไม่พอใจต่อเอซวัยหนุ่มจากการที่พวกเขาถูกปฏิบัติเหมือนเป็นระยะสุดท้าย คำพูดที่ว่า ‘เป็นนักกีฬาน่ะ แค่เล่นกีฬาเก่งๆ ก็พอ เรื่องอื่นช่างมัน’ ใช้ไม่ได้กับกลุ่มหุ้นส่วนทั้งหลาย
เพราะฉะนั้นการที่เขาจะจำฮาจุนไม่ได้ก็ไม่ได้เกินจริงเลย อีกอย่างฮาจุนก็ไม่ใช่สมาชิกที่จะได้ลงสนามแข่งเป็นคนต้นๆ ด้วย แต่เขาก็ไม่ได้คิดว่ามูคยอมจะจำกันไม่ได้จริงๆ…
แน่นอนว่าฮาจุนเองก็ไม่ได้เอาแต่หลบหน้ามูคยอมมาตั้งแต่ครั้งแรกหรอก เขาก็เคยคิดอยากเผชิญหน้าอยู่เช่นกัน การประชุมที่เอเชียนคัพก่อนอายุยี่สิบปีบริบูรณ์ ฮาจุนยังจำความรู้สึกที่หัวใจเต้นแรงอย่างน่าประหลาดเมื่อได้เจอเขาตัวเป็นๆ หลังจากที่ไม่ได้เจอมานานได้อยู่เลย
ถึงอย่างนั้นแล้ว มูคยอมที่ตัวสูงก็เติบโตเป็นคนที่โดดเด่นและมีใบหน้าที่ดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น จองคยูนั่งถัดไปจากมูคยอมพร้อมพูดคุยอย่างเป็นกันเองตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา นั่นเป็นสิ่งที่น่าอิจฉาเสียจริงๆ
ลองเข้าไปทักทายดีกว่า แค่ถามว่านายจำฉันได้ไหมนะแบบนั้นก็พอแล้วนี่
ด้วยความแน่วแน่ขนาดนั้น เขาจึงเดินวนไปใกล้ๆ จึงได้ยินบทสนทนาของทั้งสอง
‘อะไรนะ จริงเหรอ พวกผู้ชายกับนายเนี่ยนะ’
‘ก็ใช่น่ะสิ ไม่มั่วนิ่มเลย จะไปล้อเล่นกับเรื่องแบบนี้ทำไม’
‘คงเพราะเป็นต่างประเทศเลยเปิดกว้างล่ะมั้ง แล้วนายทำยังไงล่ะ’
‘จะทำอะไรได้ล่ะ ปฏิเสธไปน่ะสิ ในใจขนลุกแทบบ้า เวลาไปงานเลี้ยงหรือปาร์ตี้ ฉันโดนทางตัวแทนบ่น ไม่ให้ออกตัวแรงแบบนั้นเป็นร้อยรอบได้แล้ว’
สองคนกำลังพูดคุยเรื่องที่มูคยอมโดนผู้ชายรุกใส่ที่ลอนดอน ฮาจุนหันหลังให้พวกเขาแล้วนั่งลงบนม้านั่ง ขณะฟังเรื่องราวของที่สองคนพูดคุยกันสักพัก
ไม่จำเป็นต้องนั่งฟังนานๆ มันเป็นเรื่องราวที่มูคยอมปฏิเสธคนที่เข้าหาเขาด้วยเรื่องเพศสภาพ จนเขารู้สึกขนลุกและเกลียดจนเกือบพ่นคำด่าแต่ต้องพยายามเก็บท่าทีตามที่ตัวแทนกำชับไว้กับเรื่องนั่นนี่อีกพอประมาณ
แล้วมันเป็นปัญหาใหญ่ตรงไหนนะ เขาไม่ได้กำลังพูดถึงฮาจุนอยู่
เป็นช่วงเวลาที่ฮาจุนเองก็ไม่สามารถแยกแยะได้อย่างชัดเจนว่าการที่ตัวเขาโอบกอดความรู้สึกดีๆ ที่มีต่อมูคยอมเป็นความชื่นชมในตัวเด็กหนุ่มอัจฉริยะวัยเดียวกันหรือเป็นความรู้สึกที่พัฒนาเป็นความรักไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม ฮาจุนก็กลับมาตรวจเช็กหัวใจทั้งดวงของเขา หลังจากที่ฟังบทสนทนาระหว่างมูคยอมกับจองคยู ในวันนั้นหากความรู้สึกที่มีต่อเขาเป็นเพียงแค่ความชื่นชม หากทั้งหมดเป็นแค่ความริษยาที่จะได้ใกล้ชิดกับนักกีฬาที่ชื่นชม ตัวเขาจะได้ไม่ลองดีกับความรู้สึกเจ็บปวดในหัวใจราวกับเป็นบาปกรรมหรือรู้สึกหวั่นวิตกหลังจากที่ฟังบทสนทนาเหล่านั้น ฮาจุนลุกขึ้นจากม้านั่งและมุ่งหน้าไปยังที่ที่นักกีฬาคนอื่นรวมตัวกันอยู่
แม้จะอยู่ใกล้กับเขาฮาจุนก็ไม่มั่นใจเลยว่าความรู้สึกในใจของตนจะไม่ถูกจับได้ ฮาจุนชอบมูคยอมถึงขนาดที่ว่ารู้ทั้งนิสัย และแม้แต่สไตล์การเล่นที่ว่องไวของเขาอย่างแจ่มแจ้งเลยทีเดียว ส่วนคิมมูคยอมดูเหมือนจะไม่แยแสผู้คนรอบข้าง แต่เมื่อเขาตั้งอกตั้งใจอยู่ในสนามแข่งขัน เขากลับเคลื่อนไหวราวกับอ่านความคิดอีกฝ่ายได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
ดูเหมือนเขาจะไม่ตกหลุมพรางกับการแสดงที่เงอะงะเลยสักนิดเดียว มันน่าจะดีกว่าถ้าคงสถานะไว้เป็นแค่เพื่อนร่วมงานที่ได้พบเจอกันเป็นครั้งคราว แทนที่จะกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าขนลุกสำหรับเขาจนสายตาที่จับจ้องมาที่เขายังจับสังเกตได้
ตอนฮาจุนอายุสิบหกปี วันที่ได้เล่นให้กับทีมชาติเยาวชนโดยถูกเรียกตัวเป็นครั้งแรก ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา วิญญาณของฮาจุนเหมือนจะถูกจำนองให้กับชายผู้ที่ไม่น่าจะชายตามองเขา จากวันนั้นจนเวลาล่วงเลยเป็นสิบปีมาแล้ว ฮาจุนก็ไม่เคยตกหลุมรักใครเลยสักครั้ง
ไม่เคยพยายามถนอมหัวใจที่ไม่หวังผลตอบแทนเลยสักครั้ง ไม่สิ ถ้าเป็นไปได้ เขาก็ต้องการหลุดพ้นจากพันธนาการ ด้วยความสมัครใจโดยไม่มีใครมาชี้สั่ง มีคนรักเหมือนคนอื่น และแลกเปลี่ยนความรู้สึกพร้อมกระซิบว่ารักได้อย่างธรรมดาและมั่นใจ แต่ทว่าเขาแค่ไม่แม้แต่จะรู้สึกเปี่ยมล้นหรือเกิดอาการคล้ายๆ ใจเต้นแรงและหวั่นไหวกับใครๆ เหมือนที่รู้สึกเวลามองมูคยอม จนในระหว่างนั้นก็ล่วงเลยมาเป็นสิบปีไปแล้วเท่านั้นเอง
ถ้ามันได้แล้วจะทำไม ถ้าถูกจับได้แล้วจะเป็นอะไรไป
ถึงไม่ใช่คำพูดที่มีความหมายจริงจังแล้วยังไง…
ตัวเองอีกร่างกำลังกระซิบสิ่งล่อใจแสนอันตรายอยู่ในหัว ก่อนจะได้ลองเข้าไปคุยกับมูคยอม ฮาจุนเองก็รู้สึกเหมือนตัวเองไปยืนอยู่ริมหน้าผา รักข้างเดียวที่อยู่ตรงหน้าคือเป้าหมายที่ชื่นชอบ มันทำให้เปิดโชว์ฉายเดี่ยว ตีกลองและตีจังกูไม่รู้กี่ครั้งต่อวัน ถึงแม้ว่าคนอื่นๆ อาจจะมองไม่ออก แต่ในหัวใจของฮาจุนอยู่ในสถานะเตือนภัยพายุเข้าอยู่เสมอตั้งแต่เขามาเข้าทีมนี้แล้ว
“โค้ชอี ไม่ไปเหรอครับ”
“ไปครับ”
จบคำถามสุดท้ายจากพนักงานที่ยังคงอยู่ ฮาจุนลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปที่ประตู เหลียวมองไปยังห้องล็อกเกอร์รอบหนึ่ง แล้วเดินไปตามทางเดินเงียบๆ
“เจอกันพรุ่งนี้นะครับ”
“ครับ ลาก่อนครับ”
ฮาจุนกล่าวอำลาและเร่งก้าวเท้ามายังทางเข้าสนามฝึก ในสนามฝึกนั่นเอง ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ไม่ได้เจอกับมูคยอมเลยสักครั้งเดียว เขาน่าจะกลับไปแล้วล่ะ หลังจากออกมาจากสนามฝึก ฮาจุนถอนหายใจเบาๆ แล้วก้าวเท้าเอื่อยๆ ไปยังป้ายรถเมล์ ดูเหมือนวันนี้จะหลบหน้ามูคยอมได้อย่างปลอดภัยแล้วละ
สุดท้ายแล้วพรุ่งนี้ก็เป็นแค่อีกวันหนึ่ง วันพรุ่งนี้ความคิดที่โลเลของมูคยอมก็น่าจะเปลี่ยนไปเช่นกัน วันพรุ่งนี้เราอาจจะทำเหมือนบทสนทนาของวันนี้ไม่ได้เกิดขึ้น ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างหลังจากวันนั้น
ฮาจุนย้ำกับตัวเองอย่างหนักว่ามันไม่มีอะไร โชคหล่นทับเฉยๆ แต่หลังจากวันนั้นท่าทางที่ดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ของมูคยอมก็ทำให้รู้สึกเสียใจนิดหน่อยอยู่เช่นกัน ฮาจุนเองก็เคยลองเสแสร้งทำแบบบนั้น แต่มันไม่ง่ายเลย
ไม่ว่าบทสรุปจะเป็นเช่นไร เขาแค่ต้องการหลีกหนีอาการลิงโลดเพียงลำพังกับมุกหยอกอันยั่วยุ ของชายผู้ไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนไปอย่างไรในวันพรุ่งนี้ มันเหมือนกับจัดแสดงโชว์เดี่ยวอยู่ลึกๆ ข้างในใจวันละสิบสองครั้ง และนั่นก็น่าอับอายเพียงพอแล้ว อย่างน้อยครั้งนี้ เขาจะไม่พลาดทำอะไรน่าอายเหมือนอย่างตอนจูบแรกหรอก
‘ปี๊น’
ตอนนั้นเอง ที่ได้ยินเสียงบีบแตรรถยนต์ ฮาจุนที่ก้มลงมองแต่พื้น และจมอยู่แต่ในความคิดของตัวเองเงยหน้าขึ้นทันที ไม่เพียงแค่ฮาจุนเท่านั้นแต่ผู้คนที่ได้ยินเสียงนั้นต่างก็เงยหน้าหันไปมองด้วย
รถสปอร์ตสีส้มที่เด่นชัดในความทรงจำจอดเทียบไหล่ถนน พร้อมเปิดไฟฉุกเฉินตรงทางไปป้ายรถเมล์อยู่ ตาของฮาจุนเบิกโพลง เขารีบหันหัวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วและย่ำเท้าไวๆ ถึงอย่างนั้นแล้วรถยนต์ก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวตามเขาไป ‘ปี๊นปี๊น’
เสียงบีบแตรดังขึ้นอีกสองครั้งราวกับประท้วง ฮาจุนก้าวเท้าเร็วขึ้นอีก จากนั้นเสียงบีบแตรก็ดังนานขึ้นอีกเช่นกัน
‘ปี๊นนนนนนน’
“อะไรเนี่ย”
“ท่าทางจะเพี้ยนไปแล้ว แจ้งความดีไหม”
“คนพวกนี้ขับรถยนต์ราคาแพงแล้วมันยังไง ไร้สมองเหรอ”
ผู้คนต่างขมวดคิ้วและบ่นพึมพำกับมลพิษทางเสียงที่เจตนาทำให้หูอื้อ ฮาจุนที่ได้ยินเสียงตำหนิเหล่านั้น ถอนหายใจพร้อมหยุดเดินในที่สุด เมื่อเขาหันไปด้านข้างเสียงบีบแตรจึงหยุดลง ฮาจุนไปยืนตรงที่นั่งข้างคนขับรถยนต์ หน้าต่างรถจึงเลื่อนลง
แน่นอนมูคยอมที่เปลี่ยนไปสวมชุดนอกเครื่องแบบกำลังควงพวงมาลัยรถยนต์อยู่ รอยยิ้มปรากฏขึ้นเล็กน้อย กับสีหน้าซุกซนราวกับกำลังคิดว่าลองดูสิ นายจะทำอะไรได้
“ขึ้นรถ”
ฮาจุนเปิดประตูอย่างหงุดหงิดและก้าวขึ้นรถพร้อมตะคอกใส่
“ปิดหน้าต่างรถสิ”
“ทำไม อยากอยู่ในพื้นที่มิดชิดกับฉันเหรอ”
“ตอนนี้ผู้คนข้างนอกด่านายกันหมด ถ้าไม่อยากโดนถ่ายรูปไปด่าเพิ่มก็รีบปิดกระจกสิ”
มูคยอมพยักหน้าหงึกๆ แล้วยกกระจกปิดหน้าต่างรถ รถยนต์เคลื่อนเฉียงบนไหล่ทางเข้ามาบนถนนและเริ่มวิ่ง
“ก็บอกว่ามาคุยกันหน่อยไง ทำไมเอาแต่หนีอยู่เรื่อย กลัวฉันจับไปกินหรือไง”
“ถ้าจู่ๆ นายพูดอะไรแบบนั้นขึ้นมา ฉันต้องตอบใช่เสมอเลยหรือไง”
มูคยอมยิ้มแกมเอ็นดูราวกับว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ
“ดูออกจะเรียบร้อย ฉุนเฉียวง่ายอยู่นะ ถึงจะเดาไว้แล้วก็เถอะ”
ฮาจุนไม่ตอบ มองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเดียว ครั้งแรกที่ที่นั่งข้างคนขับของรถยนต์ลัมโบร์กีนีเป็นผู้ชายนั่ง ไม่คิดว่าจะได้นั่งตรงนี้ถึงสองครั้งเลย
“ฉันไม่ได้ตั้งใจจะมาพูดอะไรแย่ๆ หรอกนะ แต่ก็อย่างที่ฉันพูดไปก่อนหน้านี้ เพราะครั้งนี้ฉันมีงานถ่ายแบบด้วยเลยตั้งใจว่าต่อไปนี้จะเลิกหลับนอนอย่างวันไนต์สแตนด์กับคนที่ไม่ค่อยรู้จักแล้วน่ะ”
“…….”
“ฉันไม่เคยคบใครคนเดียวนานๆ แบบตายตัว แต่อย่างพวกเราก็ไม่เสียหายนี่ ไหนๆ ในทีมก็มีผู้ชายกันเอง ที่เจอกันทุกวัน ไม่น่าจะมีอะไรอึดอัดในสายคนอื่นนะ นายเองก็จำเป็นต้องประจันหน้าด้วยไง”
ไฟสีเหลืองกะพริบบอกสัญญาณไฟจราจรซึ่งห้อยอยู่กลางอากาศ รถยนต์ที่วิ่งเคียงข้างกันค่อยๆ เริ่มชะลอตัวลง มูคยอมถามราวกับว่าเพิ่งนึกถึงความเป็นไปได้ที่ไม่คาดคิด
“นายมีคนที่คบอยู่หรือเปล่า นอกจากฉันยังมีคนอื่นอีกไหม”
“ไม่มี”
“ถ้าอย่างนั้น จะเป็นไรไป ลองคบหากับฉันแบบเปิดเผยน่ะ”
แม้จะได้รับข้อเสนอ ฮาจุนก็ยังนั่งเงียบ ระหว่างที่เงียบงัน ไฟแดงเปลี่ยนเข้ามา รถยนต์หยุดสนิท มูคยอมวางมือบนพวงมาลัย เงยหน้าขึ้นและจ้องมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ฮาจุนปริปากช้าเกินไป
“…หมายถึงสิ่งนั้นใช่ไหม”
“สิ่งนั้น”
“เซ็กส์…”
“แน่นอน นึกว่าฉันขอคบเป็นแฟนหรือไง เรื่องนั้นนายเองก็เบื่อเหมือนกันนี่นา”
มูคยอมยกริมฝีปากเพื่อจะตอบ ตอนนั้นเองฮาจุนถึงสบตาเขา มูคยอมหยอกล้ออีกแล้วสินะ
“ทำไม อยากคบกับฉันเหรอ”
อย่างไรก็ตาม ฮาจุนเมินคำถามนั้นและถามซ้ำอีก
“ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“อะไร?”
“จะชวนไปทำแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่”
“มันก็ขึ้นอยู่กับนายนั่นละ ตอนนี้เลยฉันก็ไม่เกี่ยง”
“วันนี้ไม่ได้หรอก”
ฮาจุนพูดอย่างเฉียบขาด
“ถ้างั้น?”
“ก่อนเกมเยือนครั้งนี้… ฉันจะลองคิดดูแล้วกัน ”
“ได้เลย”
ไหนๆ ก็เป็นความสัมพันธ์ที่คุ้นเคยกันมาแล้ว ต้องกลับไปคิดอะไรอีก มูคยอมรู้สึกไม่พอใจเลยแสร้งตอบ เหมือนไม่ได้ใส่ใจ เป็นอย่างนั้นตั้งแต่วันแรกเลย แต่อีฮาจุนดูเป็นคนสนุกสนาน ร่าเริง ออกจะเล่ห์เหลี่ยมจัดกว่าที่เห็นเสียอีก ดีจัง พยายามปรับตัวเข้าหาเขาอีกครั้งเถอะ มูคยอมยิ้มอยู่ในใจ
ไฟสีเขียวเข้ามาแทน รถยนต์จึงเริ่มเคลื่อนออกไปอีกครั้ง ว่าแต่ว่ารถคันนี้จะไปที่ไหนกันนะ ฮาจุนที่ขึ้นรถยนต์ทั้งๆ ที่ไม่รู้แม้กระทั่งที่หมาย เพิ่งมาคิดได้เอาป่านนี้ มูคยอมถามราวกับอ่านความในใจออก
“ไหนๆ ก็ขึ้นมาแล้ว เดี๋ยวไปส่ง กลับบ้านใช่ไหม”
“อืม”
“บอกที่อยู่มา”
………………………………………………