God Level Demon ระบบความเกลียดชังปีศาจ - ตอนที่ 1336
ทักษะหล่อหลอมเปลวไฟสามขีด?!
ได้ยินเช่นนี้ ผู้คนที่อยู่รอบๆก็หูผึ่งขึ้นมาทันที พวกเขาต่างก็ตั้งใจฟัง เพราะว่าสาเหตุที่พวกเขาเดินทางเข้ามาในพื้นที่เทือกเขาแห่งนี้ไม่ใช่เพราะว่าทักษะหล่อหลอมเปลวไฟสามขีดนี่หรือ? ตอนนี้ทักษะลับนี้อยู่ในมือของเจ้าอู๋ตี่อย่างนั้นหรือ?
ลู่หู่ที่อยู่ภายในหลุมลึกก็เงียบไป กำลังตั้งใจฟังคำตอบของเซี่ยปิง
ทว่าไม่ทันรอให้เซี่ยปิงได้พูดอะไรออกมาอีก กลุ่มของผู้คนก็ได้ตะโกนขึ้นมา
“แม่เจ้า นี่มันไม่ใช่แก๊งเขี้ยวหมาป่าองค์กรที่ใหญ่ที่สุดในเมืองภูมิภาคตะวันตกหรือ? ทำไมพวกเขาถึงมาที่นี่ได้?”
บางคนที่ตะโกนออกมาทันที พวกเขาจดจำกลุ่มผู้คนกำลังจำนวนนับหมื่นที่เข้ามาได้ คนเหล่านี้ต่างก็สวมใส่ชุดสีดำ ซึ่งด้านหลังเสื้อนั้นก็มีรูปศีรษะของหมาป่าที่ปรากฏอยู่ เผยให้เห็นเขี้ยวสีแดง
นี่คือสัญลักษณ์ประจำตัวของแก๊งเขี้ยวหมาป่า
“บรรดาหัวหน้าระดับสูงของแก๊งเขี้ยวหมาป่าก็ได้ปรากฏตัวอยู่ที่นี่เช่นกัน นี่มันเป็นการระดมพลทั้งแก๊งก็ว่าได้” ผู้คนจำนวนมากต่างก็ตื่นตระหนก
เพราะว่าชื่อเสียงของแก๊งเขี้ยวหมาป่านั้นมากกว่าแก๊งเสือดำเสียอีก ยิ่งไปกว่านั้นนี่ก็ยังองค์กรที่ก่อตัวขึ้นมาจากกลุ่มคนที่โหดเหี้ยมอย่างมาก ไม่ว่ากลุ่มอิทธิพลธรรมดาใดๆที่เผชิญหน้ากับแก๊งเขี้ยวหมาป่านี้ก็มักที่จะถูกทำลายไปจนไม่เหลือซาก
เมื่อใดที่แก๊งเขี้ยวหมาป่านี้ปรากฏตัวขึ้นมา โดยปกติแล้วผู้คนส่วนใหญ่ก็จะยอมจำนนและล่าถอยออกไป ซึ่งผู้ที่กล้าท้าทายแก๊งเขี้ยวหมาป่านั้นก็จะมีเพียงแค่ความตายเท่านั้นที่รออยู่ ไม่มีใครกล้าที่จะให้ความช่วยเหลือ
“ไม่ใช่มีเพียงแค่แก๊งเขี้ยวหมาป่าเท่านั้น แก๊งหมียักษ์ของเมืองหยาดฝนตะวันออกก็ได้มาที่นี่เช่นกัน”
บางคนที่ตะโกนออกมาพร้อมกับมองไปที่กลุ่มของผู้คนที่มีรูปร่างสูงใหญ่ แต่ละคนมีความสูงกว่าสองเมตรห้า แข็งแกร่งเหมือนกับหมีทมิฬ มีพลังอำนาจที่เหนือธรรมชาติ
กลุ่มของคนเหล่านี้ก็ปรากฏตัวขึ้นมาที่นี่ เป็นเหมือนกับภูเขาลูกเล็กก็ว่าได้ สร้างความกดดันที่น่าสะพรึงกลัวออกมา
ผู้คนที่อยู่รอบๆต่างก็รู้สึกหนาวเหน็บ หากฝ่ายตรงข้ามต้องการ ก็สามารถที่จะใช้มือจับพวกเขาเหมือนกับเหยี่ยวที่จับไก่ก็ว่าได้ มือขนาดใหญ่ที่บีบรัด สามารถที่จะบดขยี้ศีรษะของพวกเขาจนระเบิดออกมา
ยิ่งไปกว่านั้นแก๊งหมียักษ์นี้ก็ไม่ได้มีอิทธิพลที่ด้อยไปกว่าแก๊งเขี้ยวหมาป่าเลย
“ดูเร็ว แก๊งช้างอสูร แก๊งสิงโตกระหายเลือด แก๊งกระทิงวารีและแก๊งขนาดใหญ่อื่นๆต่างก็มาที่นี่เช่นกัน”
“นี่มันเป็นการระดมพลออกมาทั้งกองทัพ นี่มันเป็นการระดมพลออกมาทั้งกองทัพอย่างแน่นอน”
“องค์กรต่างๆของเมืองระดับต่ำที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงต่างก็ส่งกองกำลังออกมา”
“ถึงแม้ว่านี่จะไม่ใช่ยอดฝีมือทั้งหมดขององค์กร ทว่าส่วนใหญ่ก็ได้เดินทางมาที่นี่ กองทัพของผู้คนเช่นนี้ช่างน่าอัศจรรย์จริงๆ”
กลุ่มของผู้คนที่ตกตะลึง พวกเขารู้สึกได้ว่าในตอนนี้ ที่นี่ได้กลายเป็นสถานที่รวมตัวขององค์กรต่างๆนาๆซึ่งเกือบที่จะเป็นองค์กรมืดทั้งหมดที่อยู่ในบริเวณเมืองบใกล้เคียง มีจิตสังหารที่กำลังเดือดดาลออกมา
บางคนที่ทำการนับอย่างคร่าวๆนั้น อย่างน้อยก็มีผู้คนจำนวนนับแสนที่อยู่ที่นี่ ยิ่งไปกว่านั้นก็ยังมีกองกำลังอื่นๆที่กำลังเดินทางเข้ามา กองทัพเช่นนี้ช่างน่าสะพรึงกลัวจริงๆ
“โฮ่วซาน?”
เซี่ยปิงขมวดคิ้ว เขาก็สัมผัสได้ถึงออร่าของโฮ่วซานที่แฝงตัวอยู่ในกลุ่มผู้คนเหล่านี้เช่นกัน ถึงแม้ว่าจะหลบซ่อนตัวเป็นอย่างดี ทว่าก็ไม่สามารถที่จะหลบซ่อนไปจากการสัมผัสของจิตตระหนักรู้ศักดิ์สิทธิ์ของเขาได้
คาดการณ์ได้ว่าการที่เรื่องนี้รั่วไหลออกไป จะต้องฝีมือของเจ้าโฮ่วซานอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงส่งผลให้มีกลุ่มอิทธิพลจำนวนมากเช่นนี้ระดมกองทัพมาที่นี่
ทว่าสำหรับสถานการณ์นี้ เขาก็ได้คาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้ว เพราะว่าเขาตั้งใจให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น ไม่อย่างนั้นคงจะไม่ทิ้งชื่อของตนเองไว้กับโฮ่วซาน
“ก่อนที่จะเลื่อนระดับไปอยู่ในเมืองระดับกลาง ก็จะต้องก่อให้เกิดสงครามมหากาพย์ขึ้นก่อน ไม่อย่างนั้นเป็นไปได้อย่างไรที่จะคู่ควรกับชื่ออู๋ตี่นี้” เซี่ยปิงมีสายตาเป็นประกาย
ในการมาที่เมืองตะวันออกอันไกลโพ้นในครั้งนี้ เขาค้นพบว่ามีปลาสิวปลาสร้อยจำนวนมากที่เพ่งเล็งมาที่พวกเขา เหมือนกับจะเห็นพวกเขาเป็นจานอาหาร อยากจะกินอย่างไรก็กินได้
นี่คือสิ่งที่เรียกว่าม้าดีมักจะถูกคนขี่ คนดีมักจะถูกคนอื่นรังแก
หากไม่สังหารผู้คนไปจำนวนหนึ่ง คนอื่นๆก็คงจะไม่รู้ถึงความร้ายกาจของเขา
ดังนั้นเขาจึงต้องการที่จะต่อสู้ ลงโทษคนเหล่านี้ที่คิดว่าเขาเป็นเป้าหมายที่ง่ายดาย เชือดไก่ให้ลิงดู ทำให้พวกเขาต้องเผชิญกับความสูญเสีย
เชื่อว่าไม่มีอะไรที่น่าตกใจไปกว่าผลงานในการเอาชนะองค์กรมืดจำนวนมาก เชื่อว่าหลังจากการต่อสู้ครั้งนี้ จะไม่มีใครที่กล้าเข้ามาสร้างปัญหาให้กับเขาอีก
อย่างน้อยพวกแมลงที่อ่อนแอก็จะไม่มีความคิดเช่นนี้ผุดขึ้นมา
ยิ่งไปกว่านั้นนี่ก็จะดึงดูดคะแนนความเกลียดชังมาได้อย่างมหาศาล นี่เป็นแผนการที่ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว
“บัดซบ เจ้านี่หรืออู๋ตี่? ช่างมีใบหน้าที่เหมาะสมกับพฤติกรรมที่ไร้ยางอายของตนเอง เห็นแล้วก็อยากจะประเคนหมัดใส่ใบหน้าของเขาทันที” ในกลุ่มฝูงชน โฮ่วซานกำลังกัดฟันอย่างแน่นพร้อมกับจ้องมองไปที่เซี่ยปิง
ในช่วงเวลานี้ หน้าผากของเขานั้นก็มีรอยปูดขนาดใหญ่ ถึงแม้ว่าจะทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้น ทว่ามันก็ยังคงเจ็บปวด เหมือนกับว่าเส้นประสาทแต่ละเส้นกำลังถูกทิ่มแทงก็ว่าได้
เมื่อนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้เจ้าบัดซบนี่ได้ใช้อิฐทุบเขา อีกทั้งยังปล้นชิงสมบัติทั้งหมดไป เกือบที่จะไม่หลงเหลือแม้แต่กางเกงในนั้น เขาก็รู้สึกเคียดแค้นขึ้นมาทันที ปรารถนาที่จะล้างแค้นให้กับความบาดหมางครั้งนี้
ดังนั้นด้วยความที่โมโหอย่างถึงที่สุดนั้น เขาจึงได้ปล่อยข่าวเรื่องทักษะหล่อหลอมเปลวไฟสามขีดออกไปทันที บอกว่าผู้ที่ครอบครองมันอยู่ก็คืออู๋ตี่
ในที่สุดก็เป็นไปตามคาด กลุ่มอิทธิพลจำนวนนับไม่ถ้วนก็ได้ส่งกองกำลังออกมา
เชื่อว่าการที่มียอดฝีมือจำนวนมากเช่นนี้อยู่ที่นี่ ชายคนนี้จะไม่สามารถหลบหนีออกไปได้ต่อให้จะมีปีกก็ตาม
โฮ่วซานคาดหวังไว้อย่างมากว่าจะได้เห็นเจ้าอู๋ตี่นี่ถูกอัดอย่างป่าเถื่อน การที่ต้องการจะปล้นชิงทรัพย์สมบัติของเขาไปนั้น เป็นไปได้อย่างไรที่จะไม่ต้องชดใช้
“อู๋ตี่ เจ้ารีบส่งทักษะหล่อหลอมเปลวไฟสามขีดมาให้ข้าทันที คัมภีร์ลับนี้ไม่ใช่สิ่งที่นักต้มตุ๋นอย่างเจ้าจะครอบครองได้ รีบส่งมาซะและข้าจะละเว้นความตายของเจ้า”
กู๋หย่งหัวหน้าแก๊งเขี้ยวหมาป่าได้พูดขึ้นมา จิตสังหารของเขากำลังเดือดดาล เขาเสนอทางเลือกให้กับเซี่ยปิงทันที
“คัมภีร์ลับ? ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้ากำลังพูดถึงเรื่องอะไร เจ้ากำลังเข้าใจผิด ข้าเพิ่งที่จะมาที่นี่ได้ไม่นาน เป็นไปได้อย่างไรที่จะครอบครองทักษะหล่อหลอมเปลวไฟสามขีด? คนสารเลวที่ไหนกันที่ยุให้รำ ตำให้ชั่วเช่นนี้?”
เซี่ยปิงพูดปฏิเสธออกไปทันที
คนสารเลว? ใครกันที่เป็นคนสารเลว?!
โฮ่วซานโมโหอย่างมาก ความตายอยู่ใกล้แค่เอื้อมแต่กลับต้องการที่จะพูดจาใส่ร้ายเขาอีก เจ้านี่ช่างเป็นบุคคลที่ไร้ยางอายอย่างถึงที่สุด
“อย่าเสแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นที่นี่ ทักษะหล่อหลอมเปลวไฟสามขีดอยู่ที่เจ้าแน่นอน เจ้าไม่สามารถปิดบังความจริงไปจากพวกเราได้” ยูเต๋าหัวหน้าแก๊งหมียักษ์ได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำ เขากำหมัดขนาดใหญ่ขึ้นมา ส่งเสียงดัง แสดงท่าทางที่ข่มขู่
“จะมัวมาพูดจาไร้สาระกับเจ้าเด็กนี่กัน การที่เจ้านี่ไม่เห็นโรงศพก็คงจะไม่หลั่งน้ำตา ทักษะหล่อหลอมเปลวไฟสามขีดจะต้องอยู่ที่เขาอย่างแน่นอน แค่กำจัดเขาก็จบ สมบัติทั้งหมดจะตกลงมาเอง”
ผู้ที่พูดออกมานี้ก็คือจางเฮาหยินหัวหน้าแก๊งช้างอสูร เขาไม่ต้องการที่จะพูดจาไร้สาระใดๆ การที่สังหารเจ้าอู๋ตี่นี่ไปโดยตรงก็จะรู้ได้เองว่าทักษะหล่อหลอมเปลวไฟสามขีดอยู่ที่เขาหรือไม่
นี่ก็เป็นวิธีการยืนยันที่รวดเร็วที่สุดเช่นกัน ต่อให้เด็กนี่จะไม่มีทักษะลับนั้นจริงๆ ถึงอย่างไรก็เป็นแค่การสังหารคนๆหนึ่ง เป็นเรื่องเล็กน้อยมากสำหรับแก๊งอาชญากรอย่างพวกเขา
“เอาล่ะ ข้ายอมรับว่าทักษะหล่อหลอมเปลวไฟสามขีดอยู่ที่ข้าจริงๆ”
เซี่ยปิงยืนไขว้มือไว้ข้างหลังทั้งสองข้างพร้อมกับถอนหายใจออกมา “ทว่าบอกตามตรง ท่านบรรพบุรุษเปลวไฟสามขีดนั้น อันที่จริงเป็นบรรพบุรุษในตระกูลอู๋ของข้า ทักษะลับนี่ที่เป็นมรดกตกทอดจากเขานั้น ในฐานะที่ข้าเป็นทายาทของตระกูลอู๋ ข้ามีสิทธิที่จะได้ครอบครองทักษะลับนี้ นี่เป็นเรื่องที่มีความเป็นธรรมอย่างมาก เรียกได้ว่าได้รับการเห็นด้วยจากทุกผู้ทุกนาม นี่คือโชคชะตาฟ้าลิขิต”
“การที่พวกเจ้าต้องการที่จะใช้กำลังแย่งชิงมันไปนั้น นี่มันไม่ใช่เป็นการกระทำที่ล้ำเส้นไปหน่อยหรือ?”
เขามองไปที่ผู้คนรอบๆ
“ผายลม!”
ถังเจิ้นหัวหน้าแก๊งสิงโตกระหายเลือดได้ตะโกนออกมาอย่างโมโห “บรรพบุรุษเก่าแก่เปลวไฟสามขีดนั้นมีนามสกุลว่าเจิ้ง ไม่ใช่อู๋ เป็นไปได้อย่างไรที่เขาจะเป็นบรรพบุรุษในตระกูลอู๋ของเจ้า หากคิดที่จะโกหก ก็ควรที่จะโกหกให้แนบเนียนกว่านี้”
เขาได้เปิดโปงคำโกหกของเซี่ยปิง
“โอ้ ข้าจำผิดไป อันที่จริงบรรพบุรุษเก่าแก่เปลวไฟสามขีดนั้นเป็นสหายคนสนิทของบรรพบุรุษในตระกูลอู๋ของข้า เป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน ครั้งหนึ่งก็เคยกรีดเลือดสาบานร่วมกัน การที่จะบอกว่าเขาเป็นบรรพบุรุษในตระกูลอู๋ของข้านั้นก็ไม่ใช่การกล่าวเกินจริงเลย”
เซี่ยปิงพูดจากลบเกลื่อนได้อย่างรวดเร็ว
กลุ่มของผู้คนก็กัดฟันอย่างแน่น ชายคนนี้ช่างมีใบหน้าที่ด้านหนายิ่งกว่ากำแพงเมือง แม้แต่ปืนใหญ่ทำลายดวงดาวก็ไม่สามารถเจาะทะลวงผ่านใบหน้าของเขาได้ แม้ว่าจะถูกเปิดโปงแล้วนั้น ไม่คาดคิดว่ายังจะพูดจากลบเกลื่อนเช่นนี้อีก
ถึงอย่างไรท่านบรรพบุรุษเปลวไฟสามขีดนั้นก็ไม่รู้ว่าใช้ชีวิตอยู่ในยุคสมัยไหน ใครจะไปรู้กันว่าบรรพบุรุษเปลวไฟสามขีดสนิทสนมกับใคร มีใครเป็นสหาย เจ้านี่รู้หรือไม่ว่าตนเองกำลังพูดอะไรออกมา? ต่อให้จะพูดจาบิดเบือนความจริงก็ควรจะต้องมีข้อเท็จจริงอยู่บ้าง