Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน - ตอนที่ 256 ความรักส่งผลต่อความก้าวหน้าของเขา
- Home
- Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน
- ตอนที่ 256 ความรักส่งผลต่อความก้าวหน้าของเขา
หลินเยวียนไม่ได้สังเกตเห็นปฏิกิริยาของน้าโจว ขณะนั้นเขาดำดิ่งอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน รู้สึกดื่มด่ำเพลิดเพลินเหลือเกิน เขาถึงขั้นไม่กล้าเชื่อด้วยซ้ำว่านี่เป็นบทเพลงที่เขาดัดแปลงเอง…
เอาเถอะ ก็ไม่ใช่เขาจริงๆ นั่นแหละ
อันที่จริงหยางจงหมิงต่างหากที่เป็นผู้ดัดแปลงเพลงนี้
องค์ความรู้ด้านการประพันธ์เพลงของหยางจงหมิงนั้นลึกซึ้งเหลือเกิน
ต่อให้เป็นบทเพลงคลาสสิกอย่างวิวาห์ในฝัน เขาก็สามารถพลิกแพลงออกมาได้สารพัดรูปแบบ
เมื่อมีความสามารถของการ์ดตัวละครนี้ ไม่ช้าก็เร็ว หลินเยวียนก็หาเพลงที่เข้ากับภาพยนตร์ได้!
ในท่อนสุดท้ายของบทเพลง
ม่านค่อยๆ คล้อยลงช้าๆ ประหนึ่งบทครวญของกวี เหลือไว้เพียงโน้ตเปียโนซึ่งล่องลอยอยู่ไม่กี่ตัว
หลินเยวียนหยุดการบรรเลง ก่อนจะหันไปถามความคิดเห็นจากกู้ซี “ที่ผมดัดแปลงไปเมื่อกี้ฟังออกมั้ยครับ”
กู้ซีตะลึงงันอยู่กับที่
หลินเยวียนเอ่ยถาม “ฟังอยู่หรือเปล่าครับ”
กู้ซีราวกับเพิ่งตื่นจากความฝัน ทั้งรู้สึกประดักประเดิดและอึดอัดใจเล็กน้อย ระคนไปกับความตะลึงงันเฉกเช่นเดียวกับน้าโจว
“ฟังอยู่ค่ะ ฉันรู้สึกว่าการเปลี่ยนแปลงในเวอร์ชันนี้ดีมากเลยล่ะ ทำนองเพราะมากจริงๆ แต่ไม่รู้ว่าจะเข้ากับหนังที่นายว่าหรือเปล่า…”
“เรื่องนั้นผมตัดสินใจเอง”
หลินเยวียนเอ่ย “เดี๋ยวคุณลองทำความคุ้นเคยกับเพลงต้นฉบับอีกสักรอบก็ได้ เพราะไม่ว่าจะดัดแปลงยังไงก็มาจากพื้นฐานของเพลงต้นฉบับ ผมไม่ได้คิดจะดัดแปลงให้มากเกินไป”
“นายหมายถึง…”
ทรวงอกของกู้ซีกระเพื่อมขึ้นเบาๆ คล้ายกับว่าลมหายใจของเธอค่อยๆ ถี่กระชั้นขึ้นมาในชั่วพริบตา “นายมอบสิทธิ์ให้ฉันเล่นวิวาห์ในฝันแล้วเหรอ”
“แน่นอนอยู่แล้ว”
หลินเยวียนบอก “ก่อนหน้านี้ผมเคยบอกไปแล้ว ว่าจะไม่ให้คุณช่วยงานฟรีๆ หรอก เพลงนี้ผมยกให้คุณเลยก็ได้ แต่ขอให้รอหนังออกฉายก่อนนะครับ”
ใบหน้าของกู้ซีพลันแดงก่ำ
ทว่าทันใดนั้น เธอก็ไม่ได้ห่วงภาพลักษณ์อีกต่อไป เพียงแต่กระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุข ราวกับได้รับรางวัลตอบแทนที่ดีที่สุดจากการตามวนเวียนอยู่ในชีวิตของหลินเยวียน!
“…”
น้าโจวซึ่งเดิมทีมีสีหน้าประหลาดใจ สีหน้าก็เปลี่ยนไปเป็นพิลึกกึกกือทันที
เธอไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่จ้องมองหลินเยวียนอย่างพินิจพิจารณา แววตาแลดูแฝงความนัยลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ
“จริงสิ”
หลินเยวียนไม่ได้รู้สึกว่าตนพูดอะไรผิด “ไม่ใช่แค่เพลงนี้นะครับ เพลงอื่นๆ ก็จะนำไปใส่ในหนังด้วย เดี๋ยวผมเล่นให้ฟัง จะได้ทำความคุ้นเคยไปก่อน”
หลินเยวียนพูดพลางนั่งลงเป็นครั้งที่สาม
ในบทของเรื่องนักปรับเสียงเปียโนที่ระบบจัดเตรียมไว้ให้ล่วงหน้า ประกอบด้วยเพลงจากภาพยนตร์ต้นฉบับ ซึ่งเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของแดนภารตะ และคุณภาพของบทเพลงใช้ได้ทีเดียว
แม้ว่าจะไม่อาจเทียบได้กับวิวาห์ในฝัน แต่โดยภาพรวมนั้นมีความสมบูรณ์ในระดับดีมาก ที่สำคัญที่สุดก็คือ มีความลงตัวกับภาพยนตร์สูงมาก
ในบางครั้ง สิ่งที่เหมาะสมที่สุด ถึงจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
ตัวอย่างเช่นภาพยนตร์แนวเรื่องราวประโลมโลก ก็คงไม่เข้ากับดนตรีประเภท ‘ซิมโฟนีหมายเลขห้า[1]’ สักเท่าไหร่หรอกใช่ไหมล่ะ
กล่าวคือ บทเพลงวิวาห์ในฝันนั้นไม่ได้หวือหวา สามารถผ่านการดัดแปลง และใส่ลงในภาพยนตร์เรื่องใหม่นี้ได้อย่างแยบยล
ในห้องนั้นเงียบสงัด
กู้ซีตั้งใจสดับฟังด้วยความคาดหวัง
น้าโจวก็กำลังจ้องมองหลินเยวียน
หลังจากที่หลินเยวียนนั่งลงเป็นครั้งที่สาม ไม่นานบทเพลงถูกถ่ายทอดจากปลายนิ้วของหลินเยวียน
บทเพลงนี้มีชื่อว่า ‘Woh Ladki[2]’
หลินเยวียนตั้งชื่อภาษาจีนให้เพลงนี้ว่า ‘คะนึงหา’
เพลงนี้เป็นเพลงช้า
หลังจากที่เสียงคู่แผ่วเบากลุ่มหนึ่งดังขึ้นข้างหู นิ้วมือของหลินเยวียนเคลื่อนไปตามคีย์เปียโนอย่างคล่องแคล่ว จังหวะที่หนักแน่นและแผ่วเบาให้ความสุขุมและสง่างาม
“ซอล~”
“ลา~”
“ซอล~”
มือทั้งสองไล่ตามกันไป แต่กลับไม่ทับซ้อนหรือรวมกันเป็นพัลวัน จังหวะของหลินเยวียนค่อยๆ เร่งเร็ว นี่คือส่วนที่สี่ของบทเพลง
ต๊ะ ตึงๆ!
ต๊ะ ตึงๆ!
หลังจากหยุดและเกริ่นอยู่หลายครั้ง โน้ตเพลงก็อัดแน่นขึ้นฉับพลัน ร่างกายของหลินเยวียนคลอนไปมาเล็กน้อยตามท่วงทำนอง ในเวลานี้สิ่งที่หลินเยวียนไม่เห็นก็คือ น้าโจวซึ่งนั่งอยู่กับที่ก็ลุกขึ้นมา ดวงตาจับจ้องจนกลมโต
ส่วนกู้ซีจดจ้องอยู่ที่โน้ตเปียโน สายตาราวกับหยุดนิ่ง
ในทัศนะของหลินเยวียน บทเพลงนี้สู้เพลงวิวาห์ในฝันไม่ได้
แต่หลินเยวียนกลับมองข้ามจุดหนึ่งไป…
บทเพลงนี้มีสไตล์ความเป็นอินเดีย สำหรับวงการเปียโนของบลูสตาร์ นี่เป็นสไตล์เพลงที่แปลกใหม่มาก!
เพราะบลูสตาร์ไม่มีแดนภารตะ
ดนตรีอินเดียและดนตรีจีนนั้นมีแนวทางที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง และในตอนนี้ สไตล์เพลงใหม่นี้ถูกสร้างสรรค์ขึ้นโดยหลินเยวียน!
เพราะฉะนั้น
ยามที่หลินเยวียนบรรเลงบทเพลงนี้ น้าโจวไม่เพียงไม่ได้รู้สึกว่าเพลงนี้สู้เพลงก่อนหน้าไม่ได้ มิหนำซ้ำดวงตายังเบิกกว่าง สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความเหลือเชื่อ!
“สไตล์นี้มัน…”
“ไม่เคยได้ยินมาก่อน…”
รับรู้ได้ กู้ซีย่อมรับรู้ได้เช่นกัน เพราะฉะนั้นทั้งกู้ซีและน้าโจวจึงตกตะลึงเช่นเดียวกัน
เพียงแต่กู้ซียอมรับเรื่องนี้ได้รวดเร็วกว่าสักหน่อย เพราะในใจของกู้ซียังคงเชื่อมั่นว่าหลินเยวียนมีความสามารถระดับพ่อเพลง!
“พ่อเพลง…”
เมื่อหลินเยวียนบรรเลงไปครึ่งหนึ่ง คำนี้ก็ผุดขึ้นในใจของน้าโจวทันที
เมื่อคำนี้ถูกนำมาแปะเพิ่มไว้ในบนหน้าผากของนักประพันธ์เพลงรุ่นเยาว์ ไม่ว่าคิดอย่างไรก็ยังไม่สมเหตุสมผลอยู่บ้าง
แต่ทว่า วันนี้ได้ยินการบรรเลงและการดัดแปลงบทเพลงของหลินเยวียนแล้ว น้าโจวก็รู้สึกว่า หลินเยวียนเหมาะสมมากเหลือเกิน!
การประเมินของกู้ซีไม่ผิดพลาด!
“เหมือนว่าผมจะดัดแปลงได้นะ?”
จู่ๆ หลินเยวียนก็พบว่าเพลงนี้ยังไม่ได้ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างสมบูรณ์แบบที่สุด
ความสามารถของการ์ดตัวละครหยางจงหมิง ทำให้ในใจของเขาเกิดความปรารถนาในการสร้างสรรรค์ออกมา!
ราวกับว่าความสามารถของหยางจงหมิง เมื่อเจอกับบทเพลงที่โดดเด่นแล้ว จะก่อเกิดเป็นพลังที่เกินต้านทาน
ดังนั้น หลินเยวียนจึงดัดแปลงเพลงจริงๆ และเป็นการด้นสดเล็กน้อย
ยังคงเป็นสไตล์อินเดียตามต้นฉบับ ทว่ามีการปรับเปลี่ยนจังหวะเล็กน้อย
เมื่อแนวทางของคอร์ดโดยภาพรวมยังคงเหมือนเดิม ความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้จึงเข้มข้นขึ้น
“ตึ้ง”
หลังจากปรับเปลี่ยนสามสี่เสียงสุดท้าย หลินเยวียนก็หยุดมือลง
ความคิดกะทันหันเช่นนี้ยังไม่สมบูรณ์แบบมากพอ ถึงอย่างไรผลงานต้นฉบับก็ใกล้เคียงกับพล็อตเรื่องมากแล้ว ตนจะต้องกลับไปขบคิดดูอีกสักหน่อย อีกทั้งต้องทำขณะที่เปิดใช้การ์ดตัวละครด้วย
“ฮู้ว”
เขาไม่ได้บรรเลงเพลงต่อ ทว่าหันกลับไปมองกู้ซี “ที่ผมมีโน้ตอยู่สามเพลง เดี๋ยวจะให้คุณไป คุณเล่นได้คุ้นเคยเมื่อไหร่ลองมาที่กองดูนะครับ เราจะได้ตัดสินใจกันว่าจะใช้เวอร์ชันไหน”
“ค่ะ…”
กู้ซีพยักหน้าอย่างสับสน
หลินเยวียนคิดว่าเรื่องที่ควรพูดก็พูดไปหมดแล้ว จึงไม่ได้สนใจอีกสองคนในห้องอีกต่อไป ถือโอกาสที่การ์ดตัวละครของหยางจงหมิงยังมีประสิทธิภาพอยู่ ลองเรียบเรียงและปรับแก้ดูสักหน่อย
จนกระทั่งการ์ดตัวละครหมดประสิทธิภาพ จึงได้พบว่าน้าโจวกับกู้ซียังอยู่ในห้อง
หลินเยวียนจึงเอ่ยเชิงขอโทษขอโพย “ขอโทษนะครับ เมื่อกี้ผมเล่นเปียโนจนลืมตัว”
“ไม่ต้องเกรงใจเลย!”
รอยยิ้มของน้าโจว ไม่ได้อบอุ่นอ่อนโยนเฉกเช่นก่อนหน้านี้ แต่คล้ายกับว่าจะมีอุณหภูมิร้อนระอุอยู่หลายส่วน “ส่วนที่ดัดแปลงเมื่อกี้คืออิมโพรไวซ์หมดเลยเหรอ”
“จะบอกว่าใช่ก็ได้ครับ”
หลินเยวียนพยักหน้า
น้าโจวใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความชื่นชม
ในตอนนั้นเอง ด้านนอกก็มีคนเรียกตัวแทนหลิน ในฐานะผู้เขียนบทภาพยนตร์ บางครั้งหลินเยวียนก็ต้องคอยแก้ปัญหา เขาทำได้เพียงบอกกับกู้ซีและน้าโจว “ผมออกไปก่อนนะครับ”
“งั้นเราไม่รบกวนแล้ว”
น้าโจวสะกิดกู้ซีพลางบอกลาหลินเยวียน
หลินเยวียนพยักหน้า ส่งโครงเรื่องนักปรับเสียงเปียโนให้กู้ซี “เรื่องนี้ขอให้เก็บเป็นความลับนะครับ คุณลองไปทำความเข้าใจก่อน สะดวกเมื่อไหร่เรามาคุยกัน”
อันที่จริงไม่ต้องเก็บเป็นความลับก็ได้
เพราะโครงเรื่องที่หลินเยวียนให้กู้ซีไปนั้นสั้นมาก ระบุไว้เพียงว่านี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร ไม่มีเนื้อหาโดยละเอียด เขาเพียงแค่บอกไว้เผื่อๆ ก็เท่านั้น
กู้ซีพยักหน้ารัว
ไม่กี่นาทีให้หลัง ทั้งสองก็กลับมาที่รถ น้าโจวและกู้ซีไม่ได้สนทนากัน รถยังไม่ได้ออกตัว ในรถมีเพียงความเงียบสงัด
ผ่านไปเนิ่นนาน
กว่าน้าโจวจะมองไปทางกู้ซี ใบหน้าผุดพรายรอยยิ้มซับซ้อน “หลานบอกว่าหลินเยวียนไม่มีแฟนใช่ไหม?”
กู้ซีงุนงง “อะไรนะคะ”
น้าโจวอดตื่นเต้นไม่ได้ “เด็กโง่! น้าบอกให้ไปตามจีบเขาเลย! ถ้าอยากเป็นแฟนเขา คนนี้น้าให้ผ่านฉลุย น้าไม่เคยเห็นเด็กหนุ่มที่มีพรสวรรค์ขนาดนี้มาก่อน!”
กู้ซี “…”
น้าโจวแลดูราวกับว่าไม่สามารถข่มอารมณ์ได้ “เพลงแรกของเขา เป็นเพลงระดับพ่อเพลงจริงๆ ส่วนเพลงที่สองเปลี่ยนสไตล์ไปอย่างสิ้นเชิง ถึงคุณภาพจะสู้เพลงแรกไม่ได้ แต่ก็ส่งผ่านจิตวิญญาณบางอย่างออกมา จิตวิญญาณแบบนี้แหละคือสิ่งที่พ่อเพลงควรมี”
“อ้อ?”
กู้ซียิ้มเอ่ย “ในที่สุดน้าโจวก็ยอมรับแล้วว่าหลินเยวียนเป็นพ่อเพลง ถ้าไม่ใช่พ่อเพลง หนูจะตามเขาไปไกลถึงขนาดนั้นทำไมล่ะคะ”
“พ่อเพลง…”
น้าโจวพึมพำ “ต่อให้ไม่ใช่ ก็ใกล้เคียงแล้วล่ะ เฮ้อ เธอไม่อยากเป็นแฟนเขาจริงๆ เหรอ”
“ขอร้องล่ะค่ะ”
กู้ซีเอ่ยอย่างจนใจ “น้าคิดว่าด้วยความสามารถของหลินเยวียน จะมีผู้หญิงมาชอบน้อยเหรอคะ หรือจะพูดง่ายๆ ก็คือ ในสายตาของเขาแล้ว หนูแทบจะไม่มีข้อได้เปรียบเลย”
“ก็จริง”
น้าโจวมองกู้ซีด้วยแววตาเสียดาย “ต่อให้เขาสนใจหลานแม้แต่แค่นิดเดียว ก็ไม่มีทางให้ผู้ดูแลความต่อเนื่องมาพาพวกเราเข้าไปหรอก น้าคิดว่าหลานน้าจะเป็นที่สนใจของหนุ่มๆ ซะอีก”
กู้ซี “…”
หนูก็เป็นที่สนใจจริงๆ นะ!
แต่หลินเยวียนเหมือนหนุ่มๆ ธรรมดาพวกนั้นซะที่ไหน
กู้ซีกลอกตา ในใจรู้สึกหดหู่อยู่บ้าง เธอรู้สึกอ่อนแอเมื่ออยู่ต่อหน้าหลินเยวียน แลดูราวกับเป็นคนช่างประจบ แต่ปัญหาก็คือถ้าไม่ประจบ หลินเยวียนก็แทบจะไม่มีทางสนใจเธอด้วยซ้ำ
จะว่าไปแล้ว
ประจบแล้วมีตรงไหนไม่ดีล่ะ ตอนนี้ก็ได้โน้ตเพลงมาแล้วด้วย ตนเป็นผู้บรรเลงเพลงวิวาห์ในฝัน นอกจากนั้นหลินเยวียนยังให้โน้ตเพลงสไตล์แปลกใหม่กับตนอีกหลายเพลง ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการเติบโตในอนาคตของตน ถึงขั้นทำให้ปณิธานในการประจบประแจงต่อไปของกูู้ซีทวีคูณขึ้นด้วย!
ประจบจนวินาทีสุดท้าย!
สิ่งที่ควรมีก็มีแล้ว!
ขณะที่กู้ซีกำลังขบคิดเรื่องนี้อยู่นั้น จู่ๆ น้าโจวก็อุทานขึ้นมา “ที่แท้หลินเยวียนก็คือเซี่ยนอวี๋?”
“อะไรนะคะ”
กู้ซีชะงักไป
น้าโจวชี้ไปยังเรื่องย่อของนักปรับเสียงเปียโน ในนั้นเขียนว่าเซี่ยนอวี๋ และในวงเล็บเขียนว่าหลินเยวียน
“ที่แท้หลินเยวียนก็มีตัวตนถึงระดับนี้!”
กู้ซีตกใจสุดขีด ก่อนจะเกิดความรู้สึกชื่นชมยิ่งขึ้นไปอีก “งั้นหลินเยวียนก็เก่งมากเลยล่ะค่ะ ไม่ได้แค่เชี่ยวชาญการเขียนเพลงเปียโน แต่ยังเขียนเพลงฮิตทั่วไปได้ แถมเขียนบทหนังได้อีก!”
“เธอสู้ไม่ได้เลย!”
ทันใดนั้นน้าโจวก็ถลึงตาใส่กู้ซีอย่างไม่สบอารมณ์ “รู้จักอัจฉริยะแล้วแท้ๆ แต่กลับคว้าไว้ไม่ได้ ถ้าน้าโจวอายุสักยี่สิบแบบเธอนะ จะจับรวบหัวรวบหางให้เขาหนีไปไหนไม่ได้เลย!”
“น้าโจวอย่าล้อเล่นสิคะ!”
จู่ๆ กู้ซีก็รู้สึกหัวเสียขึ้นมา “อย่าว่าแต่เขาไม่สนใจหนูเลย ต่อให้เขาสนใจหนู หนูก็ไม่ตอบตกลงหรอก เพราะเขาเป็นอัจฉริยะตัวจริงยังไงล่ะ!”
“แล้วยังไง”
น้าโจวเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ
สายตาของกู้ซีแน่วแน่ “ความรักส่งผลกระทบต่อความก้าวหน้าของหลินเยวียน เขาคู่ควรกับโลกศิลปะเท่านั้น!”
………………………………………………..
[1] ซิมโฟนีหมายเลขห้า (Symphony No. 5) โดยบีโธเฟน บทเพลงนี้อยู่บนบันไดเสียงซีไมเนอร์ (C Minor) กล่าวกันว่าเป็นการแสดงความดุดันเยี่ยงวีรบุรุษ ใช้กับผลงานที่มีความเข้มข้นหรือต้องใช้การถ่ายทอดทางอารมณ์สูง
[2] Woh Ladki เพลงประกอบเรื่องบทเพลงในโลกมืด (AndhaDhun) ขับร้องโดยอาริจิต ซิงห์