Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน - ตอนที่ 204 สู้ไม่ไหวก็เข้าร่วมเลยสิ
ตอนที่ 204 สู้ไม่ไหวก็เข้าร่วมเลยสิ
ในเขตที่พักอาศัยอันหรูหราสักแห่ง
เฉินจื้ออวี่นั่งอยู่บนโซฟา
ผู้จัดการซึ่งอยู่ห่างออกไปกำลังคุยโทรศัพท์
หลังจากวางสายหนึ่งแล้ว ผู้จัดการก็หันมามองเฉินจื้ออวี่ เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “บริษัทบันเทิงยักษ์ใหญ่ของทั้งฉินกับฉีส่วนมากมีข้อเสนอร่วมงาน เงื่อนไขที่ยื่นมาให้ไม่เลวเลย นายมีไอเดียอะไรไหม”
“ไม่มีครับ”
เฉินจื้ออวี่ตอบอย่างลังเล
ผู้จัดการพูดอย่างจริงจัง “ไม่ว่านายจะไปไหน ฉันก็ไปกับนายด้วย พวกเราร่วมงานกันมาหลายปี เข้าใจกันดีมากพอแล้ว พวกเราไม่ได้แค่เป็นผู้จัดการกับศิลปิน ในเวลาเดียวกันก็เป็นเหมือนพี่น้องที่ดีต่อกันด้วย!”
เฉินจื้ออวี่ “…”
ในตอนนั้นเอง ก็มีสายเข้ามาหาผู้จัดการอีกด้วย หลังจากเขากดรับ และพูดคุยอีกไม่กี่ประโยค จู่ๆ สีหน้าก็เปลี่ยนไป
“มีอะไรเหรอครับ”
เมื่อผู้จัดการวางสาย เฉินจื้ออวี่เอ่ยถาม
สีหน้าของผู้จัดการแลดูแปลกชอบกล “สตาร์ไลท์บอกว่า ถ้าพวกเราไป…เซี่ยนอวี๋สามารถทำเพลงให้นายได้”
“เหอะ”
เฉินจื้ออวี่แค่นหัวเราะแดกดัน
ผู้จัดการก็แค่นหัวเราะ “เซี่ยนอวี๋คนนี้…แย่งอันดับหนึ่งเรามาหลายครั้งขนาดนี้ พวกเราจะไปร่วมงานกับเขาได้ยังไง! คิดว่าตัวเองเป็นพ่อเพลงหรือไง”
“ฝันไปเถอะ”
เฉินจื้ออวี่กระชากเสียง
ผู้จัดการพยักหน้า สายตาหม่นลง “ไปไหนก็ได้ที่ไม่ใช่สตาร์ไลท์! เซี่ยนอวี๋คิดว่าตัวเองเป็นใคร ทำเราแพ้มาตั้งหลายครั้ง คิดว่าจะมาโยนเพลงให้ แล้วพวกเราจะตามไปอยู่กับสตาร์ไลท์หรือไง งั้นพวกเราก็ไม่มีจุดยืนเกินไปแล้วล่ะมั้ง! ฉันละอยากเห็นจริงๆ ว่าจะส่งเพลงแบบไหนมา ฟังจบแล้วเรามาตัดสินกัน!”
“มาตัดสินกัน!”
เฉินจื้ออวี่พยักหน้าหงึกๆ
ผู้จัดการเปิดอีเมล ก่อนจะกดเล่นเพลงในนั้นทันที จู่ๆ เฉินจื้ออวี่ก็พูดขึ้นมาว่า “เดี๋ยวนะครับ ผมเปิดลำโพงก่อน”
“ก็ได้ ยิ่งฟังชัดเท่าไหร่ ยิ่งตัดสินง่ายเท่านั้น! นายนี่ฉลาดจริงๆ!”
“แน่นอน…เอาละ เล่นเลย”
“ครับ”
ไม่นานเสียงดนตรีสังเคราะห์ก็ดังขึ้น
เฉินจื้ออวี่และผู้จัดการฟังไปได้ครู่หนึ่ง ก็สบตากัน พวกเขาเอ่ยขึ้นด้วยความคิดที่เหมือนกัน
“ก็แค่นี้แหละ”
ผ่านไปหลายนาที บทเพลงก็จบลง
เฉินจื้ออวี่เอ่ยเสียงเรียบ “เพลงนี้ธรรมดา”
ผู้จัดการเห็นด้วย “ไม่เท่าไหร่จริงๆ”
เฉินจื้ออวี่วิจารณ์ “เมโลดีธรรมดามาก”
ผู้จัดการกล่าวเสริม “อินโทรลากยาวสุดๆ”
เฉินจื้ออวี่ค่อนแคะ “ไม่ได้ร้องยากอะไรด้วย”
ผู้จัดการกล่าวสรุป “ก็แค่เพลงติดหู”
หลังจากผลัดกันประเมินแล้ว
เฉินจื้ออวี่ก็เอ่ยปากว่า “พวกเราไปสตาร์ไลท์แล้วกัน ผมจะร้องเพลงนี้ จะใช้ความสามารถพิสูจน์ว่าเพลงนี้ไม่ได้เรื่องเลย!”
“ไม่มีปัญหา”
ผู้จัดการพยักหน้าหงึกๆ ประหนึ่งความคิดเชื่อมโยงกับเฉินจื้ออวี่ “ต้องไปสตาร์ไลท์! ต้องร้องเพลงนี้ให้ได้! ต้องคว้าอันดับสองให้ได้! ทำให้ปลาตัวนั้นรู้ว่าเขาก็ได้แค่นี้แหละ!”
“…”
บรรยากาศค่อยๆ เงียบลง
เรื่องนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ตัวอย่างเช่นในชั้นเรียน ขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยกันอย่างครึกครื้น
คุยไปคุยมา ไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลใด จู่ๆ ทุกคนก็ไม่พูดไม่จาขึ้นมา
ผ่านไปเนิ่นนาน
กว่าเฉินจื้ออวี่จะมองไปยังผู้จัดการ “คุณคิดว่าคุณตลกมากเลยหรือไง”
สีหน้าของผู้จัดการซับซ้อน “ฉันว่านายเองก็ตลกอยู่เหมือนกันนะ”
พูดจบ ผู้จัดการก็พึมพำเสียงเบาว่า “ตอนแรกก็คิดว่าจะยื่นข้อเสนอกับพวกเขา ให้เซี่ยนอวี๋เขียนเพลงให้เรา เราถึงจะไป นึกไม่ถึงว่าพวกเขาถึงกับออกตัวส่งเพลงของเซี่ยนอวี๋มาให้ถึงที่เลย”
“นั่นสิ”
เฉินจื้ออวี่ไม่เสแสร้งอีกต่อไป “เพลงนี้เขียนได้แทงใจดำผมสุดๆ เลย เปลี่ยนตัวเองเป็นสิ่งที่ผมอยากทำมาตลอดเลยใช่มั้ยล่ะครับ เซี่ยนอวี๋นี่สมแล้วที่เป็นเซี่ยนอวี๋ คนที่แพ้ให้เขาหลายครั้งหลายหนอย่างผมยังยอมใจ เปิดเพลงอีกรอบเลยครับ”
“ได้”
ผู้จัดการกดเปิดเพลงอีกรอบ
ในครั้งนี้ เฉินจื้ออวี่หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ฟังไปพร้อมกับอ่านเนื้อเพลง
หลังจากฟังจบ
เฉินจื้ออวี่สูดลมหายใจเข้าลึก “ประโยคนั้นว่าไงนะ”
“สู้ไม่ไหว…ก็เข้าร่วมเลยสิ…”
เฉินจื้ออวี่กับผู้จัดการมองหน้ากัน ทันใดนั้นก็ตบเข่าฉาด หัวเราะลั่นออกมา บรรยากาศในห้องเปี่ยมไปด้วยความครื้นเครง
……
เฉินจื้ออวี่มาสตาร์ไลท์แล้ว!
นับตั้งแต่ที่เฉินจื้ออวี่กับผู้จัดการก้าวขาเข้ามาในประตูบริษัทสตาร์ไลท์ ข่าวนี้เริ่มแพร่สะพัดออกไปถึงหูแผนกต่างๆ อย่างรวดเร็ว
“ลูกคนรองตลอดกาลตัวจริงเสียงจริง!”
“ฉันอยากจะไปคำนับ”
“ถูกเซี่ยนอวี๋กดไว้ตั้งหลายครั้ง สุดท้ายดันมาเข้าสตาร์ไลท์เรา หรือว่าเฉินจื้ออวี่จะเป็นสต็อกโฮล์มซินโดรม[1]?”
“ได้ยินว่าเซี่ยนอวี๋ให้เพลงมา”
“อุก…ทำไมฉันถึงอดหัวเราะไม่ได้นะ…”
“เฉินจื้ออวี่ที่โดนเซี่ยนอวี๋จัดการจนกลายเป็นลูกคนรองตลอดกาล เตรียมจะร่วมงานกับเซี่ยนอวี๋? งั้นพวกแกคิดว่าเพลงของพวกเขาจะได้ที่หนึ่งหรือที่สองล่ะทีนี้”
“…”
ยังไม่ต้องสนใจเรื่องซุบซิบนินทาในบริษัท
เฉินจื้ออวี่ตอบรับเร็วกว่าที่จ้าวเจวี๋ยคาดการณ์ไว้ ท่าทางเฉินจื้ออวี่จะพอใจกับเพลงเปลี่ยนตัวเองที่หลินเยวียนให้มามาก
เธอย่อมต้อนรับขับสู้เฉินจื้ออวี่เป็นอย่างดี แถมยังเรียกหลินเยวียนมาเพื่อการนี้
“ท่านนี้คืออาจารย์เซี่ยนอวี๋”
จ้าวเจวี๋ยกล่าวแนะนำอย่างยิ้มแย้ม
เฉินจื้ออวี่มองไปทางหลินเยวียน แววตาซับซ้อนเล็กน้อย “สวัสดีครับ อาจารย์เซี่ยนอวี๋ คุณยังดูอายุน้อยกว่าที่ผมคิดไว้อีกนะครับ”
“สวัสดีครับ”
หลินเยวียนเอ่ยตามมารยาท
ผู้จัดการของเฉินจื้ออวี่พูดอย่างประดักประเดิด “งั้นวันนี้เราเซ็นสัญญา แล้วพรุ่งนี้เตรียมตัวอัดเพลง?”
“ได้ค่ะ”
จ้าวเจวี๋ยตอบไปอย่างเฉียบขาด
หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายเซ็นสัญญากันแล้ว ผู้จัดการของเฉินจื้ออวี่ก็ออกตัวกล่าวเชื้อเชิญ “อาจารย์เซี่ยนอวี๋ถ้าไม่รังเกียจ ไปทานข้าวด้วยกันสักมื้อมั้ยครับ หลังจากนี้ทุกคนจะร่วมงานกันแล้ว จะได้คุ้นเคยกันสักหน่อยใช่ไหมล่ะครับ สถานที่คุณเลือกได้เลย!”
“ได้ครับ”
หลินเยวียนครุ่นคิด “ไปร้านหม้อไฟของเพื่อนผมก็แล้วกันครับ”
“ได้เลยครับ”
ทั้งสองไม่มีความเห็น
หลินเยวียนโทรศัพท์หาซุนเย่าหั่ว “ช่วงเย็นไปกินหม้อไฟที่ร้านของรุ่นพี่ได้มั้ยฮะ”
ซุนเย่าหั่วตอบอย่างกระตือรือร้น “ได้สิ ฉันจะจัดที่นั่งไว้ให้! มากี่คนล่ะ”
หลินเยวียนถาม “พี่จ้าวไปมั้ยครับ”
จ้าวเจวี๋ยโบกมือ “ช่วงเย็นฉันมีธุระ ไว้วันอื่นฉันจะพาพวกเธอไปเลี้ยง”
“สามคนครับ”
หลินเยวียนตอบ
ซุนเย่าหั่วเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม “ไม่มีปัญหา…เป็นเพื่อนของนายเหรอ”
หลินเยวียนอธิบายว่า “เฉินจื้ออวี่กับผู้จัดการครับ ไม่รู้ว่าพี่รู้จักหรือเปล่า ผมเตรียมจะร่วมงานออกเพลงใหม่กับเขา”
“…”
ปลายสายเงียบงันไปทันใด
หลินเยวียนคิดว่าสัญญาณไม่ดี จึงรอปลายพูดจบ ซุนเย่าหั่วก็เอ่ยว่า “วันนี้ฉันจะจองห้องส่วนตัวที่ดีที่สุดให้นาย…ขอให้พวกนายมีความสุขนะ”
“อ๋า?”
“ขอให้พวกนายร่วมงานกันอย่างมีความสุขนะ”
“รุ่นพี่ไม่ไปกินด้วยกันเหรอครับ ไม่ได้กินข้าวด้วยกันมาตั้งนานแล้ว”
“ให้ฉันไปด้วย…ได้เลย! ฉันไปกินด้วย”
ความรู้สึกของซุนเย่าหั่ว คล้ายกับว่าเจ็บปวดและโศกเศร้า
“เจอกันทุ่มนึงนะครับ”
หลินเยวียนวางสาย พูดกับเฉินจื้ออวี่ “ทุ่มนึงไปกินหม้อไฟกันครับ เพื่อนผมมาด้วย”
“ได้ครับๆ”
เฉินจื้ออวี่กับผู้จัดการตอบอย่างยิ้มแย้ม
…………………………………………………………..
[1] สต็อกโฮล์มซินโดรม (Stockholm Syndrome) หรือกลุ่มอาการสต็อกโฮล์ม เป็นอาการซึ่งผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ ตัวประกัน หรือเชลย จะเกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจหรือความรู้สึกทางบวกต่อผู้ที่กดขี่หรือทำร้ายตนเอง คำนี้ถูกใช้เป็นครั้งแรกหลังจากเหตุการณ์ปล้นธนาคารและจับพนักงานเป็นตัวประกัน ในเมืองสต็อกโฮล์ม ประเทศสวีเดน