ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ - ภาค 2 เล่ม 1 ตอนที่ 2-4
“เคยขับรถสปอร์ตไหมครับ”
ระหว่างที่อินซอบซึ่งนั่งอยู่ตรงที่นั่งคนขับมองไปรอบๆ ห้องโดยสาร อีอูยอนก็เอ่ยถาม
“ไม่เคยขับครับ แต่ผมขับได้”
“ฝึกเพราะผมเหรอครับ”
“ครับ”
พอได้ยินอีกฝ่ายตอบกลับคำถามที่คล้ายจะถามเล่นในทันที อีอูยอนก็หัวเราะออกมา
“หัวเราะทำไมครับ”
“บางครั้งผมก็ลืมน่ะครับ ว่าคุณอินซอบเป็นสตอล์กเกอร์”
อินซอบคาดเข็มขัดนิรภัยพลางหันหน้าไป แต่อีอูยอนก็ไม่พลาดที่จะเห็นติ่งหูของอีกฝ่ายที่ค่อนข้างแดง
“คาดเข็มขัดหรือยังครับ”
อีอูยอนขยับเข็มขัดนิรภัยที่คาดอยู่อย่างแน่นหนาให้เห็นแทนคำตอบ
“งั้นผมจะออกรถแล้วนะครับ”
อินซอบสตาร์ทรถตามคู่มือการใช้ที่ศึกษามาก่อนจะออกเดินทาง พอโผล่ออกมาที่ถนน รถก็ดึงดูดความสนใจของผู้ไว้เป็นตาเดียวอย่างที่กรรมการผู้จัดการคิมพูด
อินซอบขับรถด้วยความประหม่าเป็นที่สุด เพราะถ้าเขาพลาดไปนิดเดียวอาจจะเกิดรอยถลอกได้ เนื่องจากตัวรถนั้นต่ำ นอกจากเรื่องนั้นเขาก็สามารถขับรถได้อย่างปลอดภัย เพราะรถคันอื่นๆ พยายามหลบไปด้านข้างให้อยู่แล้ว
“วันนี้มีงานที่อิลซานใช่ไหมครับ”
“ครับ ใช่แล้วครับ”
อินซอบตอบพลางกำพวงมาลัยแน่น วันนี้เป็นวันที่อีกฝ่ายจะต้องไปอัดเสียงหนังสือเสียงในรายการที่มีชื่อว่า ‘ผู้ชายที่ช่วยอ่านหนังสือให้’ ซึ่งรายการนี้เริ่มต้นมาจากงานอาสาสมัครเพื่อผู้พิการทางสายตา ตอนแรกเป็นเพียงการสตรีมมิ่งในเว็บไซต์ของสถานีโทรทัศน์เท่านั้น แต่เนื่องจากมีคำขอให้ทำหนังสือเสียงของอีอูยอนขายแยกเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย หนังสือเสียงจึงถูกจัดทำขึ้นในเวลาต่อมา และครั้งนี้ก็เป็นการอัดเสียงครั้งที่สามแล้ว
“เคยฟังเสียงที่ผมอัดไว้ไหมครับ”
อีอูยอนเอ่ยถามในสภาพที่กอดอกและเอนตัวพิงหน้าต่างรถ
“ครับ ครั้งสองครั้งน่ะครับ”
อินซอบโกหกอย่างเลี่ยงไม่ได้ ไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้ง แต่เขาฟังเป็นร้อยครั้ง แม้จะไม่แสดงท่าทีออกมา แต่ชเวอินซอบชอบตารางงานในครั้งนี้ของอีอูยอนมากๆ ในคืนที่นอนไม่หลับ เขาจะเปิดหนังสือเสียงของอีอูยอนทิ้งไว้จนถึงเช้า ในน้ำเสียงของอีอูยอนมีพลังที่ปลอบโยนคนได้…ถึงจะมีกรณีที่ตรงกันข้ามอยู่บ้างก็ตาม
“เป็นยังไงบ้างเหรอครับ”
“ดีครับ การออกเสียงกับระดับเสียงก็ดี สำเนียงก็ยอดเยี่ยมมาก…สักครู่นะครับ”
อินซอบขยับมือบอกให้รถคันที่เปิดไฟเลี้ยวไว้ผ่านไปก่อน แม้คนขับรถยนต์สีเทาจะเห็นการทำมือของอินซอบแล้ว แต่กลับไม่กล้าแซงไป อินซอบตั้งใจขยับมืออีกครั้ง แต่ก็ไม่มีใครกล้าแซงรถซูเปอร์คาร์ที่ซื้อขายกันในราคาหลายร้อยล้านไป
ชเวอินซอบก้มหัวให้คนขับรถคันข้างๆ เหมือนกับรู้สึกเสียใจจริงๆ ก่อนจะเพิ่มความเร็วขึ้นอีกครั้ง รอยยิ้มของอีอูยอนที่มองท่าทางนั้นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
“ไม่มีใครขับเฟอร์รารี่ได้สุภาพไปกว่าคุณอินซอบอีกแล้วล่ะครับ”
อีอูยอนมั่นใจว่าต่อให้พาบุตรสาวในตระกูลขุนนางชั้นสูงสมัยโชซอนมา ก็ยังไม่สามารถขับได้เรียบร้อยเท่านี้
“ขอโทษครับ”
อินซอบรีบขอโทษ
“ลองเพิ่มความเร็วดูสิครับ”
“แต่ผมจะทำให้เกิดพวกรอยถลอกที่รถเพราะก้อนหินกระเด็นใส่ไม่ได้นะครับ”
“รู้หรือเปล่าครับว่าพ่อของกรรมการผู้จัดการคิมน่ะเป็นเศรษฐีถึงขนาดที่ซื้อตึกตั้งแต่ตรงโน้นมาจนถึงตรงนี้ไว้หมดแล้ว”
“ยะ อย่างนั้นเหรอครับ”
“เขาต่างจากคนที่มีฐานะธรรมดาๆ อย่างเราๆ ครับ”
“…เหมือนจะมีแค่ผมนะครับที่เป็นคนธรรมดา”
ชเวอินซอบนึกถึงบ้านของอีอูยอนที่เคยเห็นที่อเมริกาพลางเอ่ยตอบ ขนาดของอาคารเหมาะที่จะเรียกว่าคฤหาสน์มากกว่าบ้าน
“ผมถูกตัดขาดจากที่บ้านแล้วนะครับ”
อินซอบกลั้นหายใจดัง เฮือก
“ไม่เป็นไรครับ จะทำอะไรได้ล่ะครับ ผมเป็นแค่คนที่เขาคลอดออกมานี่”
“พ่อแม่จะต้องภูมิใจในตัวคุณอูยอนแน่ๆ ครับ คุณได้รับรางวัลมากมาย แล้วก็ทำงานเก่งถึงขนาดนี้…”
“เขาเรียกผมว่าความอับอายของวงศ์ตระกูลนะครับ”
“เอ่อ คือว่า…”
อีอูยอนมองด้านข้างของอินซอบที่ทำตัวไม่ถูกเพราะตื่นตระหนกอย่างมีความสุข อินซอบกังวลใจเพราะหาคำพูดที่เหมาะสมไม่ได้อยู่สักพักและกล่าวขอโทษว่า ‘ขอโทษนะครับที่ผมพูดอะไรไร้สาระออกไป’
อีอูยอนมองระบบนำทาง อีกสักพักกว่าจะออกจากโซล น่าเสียดาย เขาอยากจะจอดรถในที่ดีๆ สักที่ และโลมเลียริมฝีปากของอินซอบจนกระทั่งช่วงล่างปวกเปียก
“เฮ้อ”
พอเห็นอีอูยอนถอนหายใจอย่างที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก อินซอบก็ตกใจเหลือบมองด้านข้าง
“มีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ”
“โซลน่ะดีทุกอย่างเลยนะครับ แต่กลับไม่มีที่ที่เหมาะจะจอดรถ”
“ครับ? ทำไมถึงต้องจอดรถด้วยล่ะครับ”
อีอูยอนยื่นมือไปลูบติ่งหูของอินซอบแทนคำตอบ
“จะ จะเกิดอุบัติเหตุเอาได้นะครับ”
“เพราะแบบนั้นผมถึงลูบอย่างเดียวไงครับ”
แม้จะพยายามหนีจากมือของอีกฝ่ายหลายครั้ง แต่อีอูยอนก็ลูบติ่งหูของอินซอบอย่างดื้อดึง แม้จะพยายามไม่เป็นแบบนั้น แต่พอนึกถึงคำแปลกๆ ต่างๆ ที่อีอูยอนเคยพูด อินซอบก็มีสมาธิกับการขับรถได้ยากจึงรีบยื่นบทที่วางอยู่ข้างๆ ให้อีกฝ่ายอย่างรวดเร็วเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ
“อะไรเหรอครับ”
“บทละครครับ ลองอ่านดูสิครับ”
พอได้อ่านตัวอักษรที่เขียนอยู่ที่หน้าปก อีอูยอนก็โยนบททิ้งไปที่เบาะหลัง
“มะ ไม่อ่านเหรอครับ”
“ถ้าอ่านหนังสือในรถ ผมจะเมารถน่ะครับ”
เขาเห็นอีอูยอนอ่านหนังสือหรือบทในรถที่กำลังวิ่งอยู่บ่อยๆ อินซอบกลั้นหายใจในขณะที่มองคนรักรูปงามที่พูดโกหกได้อย่างหน้าตาเฉย
“…ไม่ชอบขนาดนั้นเลยเหรอครับ”
“อะไรเหรอครับ”
“การมีข่าวฉาวกับคุณแชยอนซอน่ะครับ”
รอยยิ้มของอีอูยอนชะงักไป เจ้าตัวตอบว่า ‘เปล่าครับ’ อย่างห้วนๆ พร้อมกับหันกลับไปมองข้างหน้า
“ถ้าไม่ได้ไม่ชอบ…”
“แต่คุณไม่ชอบนี่นา”
คำตอบที่เหมือนกับโดนมีดสับถูกโยนกลับมา ชเวอินซอบปรับการจับพวงมาลัย
“ผมไม่เป็นไรครับ”
อินซอบปรับลมหายใจอย่างใจเย็นก่อนจะพูดต่อ
“อาจจะทำให้คุณอารมณ์ไม่ดี แต่ผมไม่ได้กังวลใจมากเท่าที่คุณอีอูยอนคิดหรอกครับ คุณไม่ได้คบกันจริงๆ ซะหน่อย ยังไงซะผมคิดว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของการแสดงก็ได้ครับ”
เราไปเอาคำพวกนั้นมาจากไหนเนี่ย คำพูดต่างๆ พรั่งพรูออกมาอย่างไหลลื่นจนตัวเขาเองยังตกใจ
“น่าเสียดายมากเลยครับที่จะยอมแพ้กับละครเรื่องนี้ด้วยเรื่องแบบนั้น ลองอ่านบทสักครั้งเถอะครับ”
อีอูยอนไม่ยอมพูดอะไรเลย เขาเพียงแค่มองตรงไปข้างหน้าด้วยสีหน้าที่ไม่สามารถรู้ได้ว่าคิดอะไรอยู่
“แล้วก็อย่างที่คุณอูยอนพูด ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกซะหน่อยนี่ครับ ข่าวฉาวน่ะ”
อินซอบพูดเล่นด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำเป็นสดใส หัวใจของเขาเต้นตึกๆ เหงื่อออกที่มือจนเขาต้องปรับการจับพวงมาลัยอยู่ถึงหลายรอบ
“คุณชเวอินซอบครับ”
“ครับ ครับ?”
ชเวอินซอบเกือบจะจับเบรกแล้ว การเรียกชื่อรวมไปถึงนามสกุลเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยเกิดขึ้น
“นี่คุณขอร้องหรือเปล่าครับ”
น้ำเสียงของอีอูยอนต่ำลงแปลกๆ เขาสามารถเดาถึงความไม่พอใจของอีกฝ่ายได้ไม่ยาก
น่ากลัว เขาไม่อยากเห็นอีอูยอนโกรธตน แต่เขากลับไม่อยากเห็นอีกฝ่ายทิ้งงานที่ดีไปเพราะตนยิ่งกว่า
“ครับ ผมขอร้องครับ”
อินซอบรวบรวมความกล้าและตอบออกไป อีอูยอนเอี้ยวตัวไปหยิบบทที่ถูกโยนทิ้งไปที่เบาะหลังขึ้นมา และเริ่มอ่านบทเงียบๆ
อินซอบขับรถให้สุภาพที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อไม่ให้รบกวนอีกฝ่าย ไม่นานพวกเขาก็ข้ามแม่น้ำฮันและเข้าสู่ถนนมอเตอร์เวย์จายู[1]
อีอูยอนปิดบทลง อินซอบสำรวจใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างระมัดระวัง
“…เป็นยังไงบ้างครับ”
“ครับ ดีครับ”
บทสนทนาไม่ได้ดำเนินต่อไปอีก ความเงียบที่น่าอึดอัดใจก่อตัวขึ้น อินซอบพูดโพล่งออกไป เพราะคิดว่าเขาควรจะพูดอะไรสักอย่าง
“เรื่องนี้จะต้องเป็นผลงานที่กลายเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตการแสดงของคุณอีอูยอนแน่ๆ เลยครับ ถึงเรตติ้งน่าจะดีอยู่แล้ว แต่ก็ ก็อาจจะได้รับรางวัลด้วยนะครับ แล้วก็…”
ยิ่งเขาพูด อากาศก็ยิ่งเย็นยะเยือก
อินซอบกัดริมฝีปากล่างเบาๆ
เขานึกถึงคำพูดของกรรมการผู้จัดการคิมที่บอกว่า ‘ไม่มีใครรักและเข้าใจอีอูยอนเท่านายอีกแล้ว’ ถึงแม้การแสดงความรู้สึกออกมาตรงๆ จะเป็นเรื่องที่ดี แต่ตอนนี้เขาอยู่ในฐานะที่ต้องช่วยเรื่องงานของอีกฝ่าย เขาจำเป็นที่จะต้องตั้งใจดูว่าทิศทางไหนที่เขาจะสามารถช่วยอีอูยอนได้มากที่สุด …เหนือสิ่งอื่นใดคือสำหรับเขาแล้วนี่เป็นความรับผิดชอบที่ควรจะต้องทำ
“ผมอยากเห็นคุณอีอูยอนที่เป็นนักแสดงที่ยอดเยี่ยมแสดงผลงานที่ดีชิ้นนี้ครับ”
อินซอบรอคอยคำตอบของอีกฝ่ายเงียบๆ อีอูยอนที่ปิดปากสนิทมองออกไปนอกหน้าต่างอยู่สักพัก
“จอดรถครับ”
“ครับ?”
“ผมสั่งให้จอดรถ”
ตรงนี้คือกลางถนน อินซอบกระสับกระส่ายทำอะไรไม่ถูกเพราะคำขอร้องที่กะทันหันของอีกฝ่าย พอเห็นอินซอบเป็นแบบนั้น อีอูยอนก็หักพวงมาลัยทั้งอย่างนั้น รถหยุดอย่างกะทันหันตรงไหล่ทาง
“ลงไปครับ”
อีอูยอนปลดเข็มขัดนิรภัยพลางพูด เสียงแจ้งเตือนของเข็มขัดนิรภัยดังขึ้น และในขณะเดียวกันเสียงแจ้งเตือนก็ดังขึ้นในหัวของอินซอบด้วย
“ไม่ลงเหรอครับ”
อีอูยอนเปิดประตูรถออกไปเต็มที่ อินซอบปลดตัวล็อกเข็มขัดนิรภัยช้าๆ และลงจากที่นั่งของคนขับ อีอูยอนนั่งลงตรงที่นั่งฝั่งคนขับ และพยักพเยิดหน้าสั่งให้อินซอบไปนั่งตรงที่นั่งข้างคนขับแทน
“ไม่เป็นไรครับ ผมขับเองครับ”
“ไปนั่งครับ อย่าให้ผมต้องพูดเป็นครั้งที่สอง”
อินซอบเดินไปนั่งตรงที่นั่งข้างคนขับอย่างเลี่ยงไม่ได้
“คุณอินซอบ”
เสียงที่เข้ามาใกล้อย่างกะทันหันของอีกฝ่ายทำให้อินซอบห่อไหล่และรู้สึกประหม่า อีอูยอนคาดเข็มขัดนิรภัยให้เขาด้วยตัวเองและพูดต่อ
“ผมชอบที่คุณอินซอบร้องไห้จริงๆ นะครับ เพราะผมไม่เคยเห็นใครที่ร้องไห้ได้สวยเหมือนคุณ”
อีอูยอนค่อยๆ ยืดตัวอย่างช้าๆ เขาคาดเข็มขัดนิรภัย กำพวงมาลัยรถก่อนจะยิ้ม
“แต่คนแบบผมก็มีช่วงที่อยากทำดีด้วยเหมือนกับคนปกติอยู่บ้างเหมือนกันนะครับ”
รถเคลื่อนตัวแล้ว
“ผมไม่อยากเห็นคุณอินซอบร้องไห้”
และความเร็วก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อินซอบมองมาตรวัดความเร็วและใบหน้าของอีอูยอนสลับกันไปมาอย่างไม่สบายใจ
“เข้าใจไหมครับว่าผมชอบตอนที่คุณร้องไห้ แต่ก็ไม่อยากเห็น”
พออินซอบไม่สามารถตอบได้ในทันที อีอูยอนก็อมยิ้ม
“จะว่าไปแล้วตัวผมเองยังไม่เข้าใจเลยครับ ใครจะไปเข้าใจล่ะ”
เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มกลางถนน
“คือว่าความเร็ว…”
อีอูยอนแตะเกียร์ก่อนจะเพิ่มความเร็ว อินซอบกลั้นหายใจดัง เฮือก พร้อมกับคว้าประตูรถไว้
“ทนได้ไหมครับ”
“พูดอะไร คะ คุณอูยอน ลดความเร็ว…”
อินซอบมองตัวเลขบนมาตรวัดความเร็ว และไม่เชื่อในสายตาของตัวเอง
“คุณอินซอบนี่ขี้กลัวนะครับ”
“ข้างหน้า…!”
รถเฟอร์รารี่แทรกเข้าไปในเลนข้างๆ อย่างน่าหวาดเสียว และแซงรถข้างหน้าไป แม้ด้านหลังจะบีบแตรเพื่อแสดงการทักท้วง แต่เขาไม่ได้ยินเสียงแตรอีกต่อไปแล้ว เพราะพวกเขากำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่เร็วมหาศาล
“ร้องไห้แล้วนี่ครับ”
อีอูยอนหมุนพวงมาลัยเบาๆ พลางพูด พวกเขาเข้าไปใกล้รถคันอื่นๆ มากขึ้นพร้อมกับเสียงลมไวๆ และทิ้งห่างออกมาวนไปซ้ำๆ
“ผมถามว่าทนได้เหรอครับ”
“…”
ตอนนั้นเองอินซอบถึงได้เข้าใจคำพูดที่อีอูยอนพูด ถ้ายอมรับในความรักที่ร้อนแรงแล้ว ต่อให้พยายามวางเฉยมากแค่ไหน ก็ต้องเกิดเรื่องหลายๆ อย่างขึ้นอยู่ดี อินซอบกำเข็มขัดนิรภัยไว้เต็มแรง
“ทะ ทนได้ครับ”
ตัวเลขบนมาตรวัดความเร็วเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ปลายนิ้วของเขาสั่นเทา เขาอยากจะตะโกนของให้อีกฝ่ายหยุดรถเสียเดี๋ยวนี้ แต่อินซอบก็ทนไว้
อีอูยอนแตะเกียร์โดยไม่พูดอะไร เครื่องยนต์ส่งเสียงดังกระหึ่มจนอินซอบไม่เข้าใจว่ามีเสียงแบบนี้ดังออกมาจากรถได้อย่างไร อินซอบรู้สึกอยากจะอาเจียน เขารู้สึกเหมือนกำลังนั่งเครื่องเล่นที่ร่วงลงไปข้างหลังอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
“อย่าฝืนนะครับ”
ในระหว่างที่รถวิ่งไปด้วยความเร็วที่ถ้ากรรมการผู้จัดการคิมมาเห็นจะต้องควันออกหู อีอูยอนก็เฉยชาจนน่ากลัว
“มะ ไม่ได้ฝืนครับ ผมไม่เป็นไร…ครับ”
อินซอบตอบอย่างกระท่อนกระแท่น พอเขาตอบแบบนั้น อีอูยอนก็จอดรถอย่างกะทันหันที่ข้างถนน เขาลงจากรถไปทั้งอย่างนั้น ตอนนั้นเองอินซอบถึงได้พ่นลมหายใจออกมาและเอนตัวพิงเบาะรถ เขากำมือที่เย็นเป็นน้ำแข็งก่อนจะคลายออก และมองออกไปนอกหน้าต่าง อีอูยอนกำลังยืนอยู่ตรงนั้นพลางเอามือเท้าเอว เขาอยู่อย่างนั้นสักพักก่อนจะกลับเข้ามานั่งที่นั่งคนขับอีกครั้ง
“ขอโทษครับ”
อินซอบเหลือกตาด้วยไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะขอโทษ
“ไม่เป็นไรใช่ไหมครับ”
อีอูยอนทาบมือลงบนอกของอินซอบพลางเอ่ยถาม อินซอบพยักหน้า
“ผมไม่เป็นอะไรครับ ก็อย่างที่เคยบอก ผมไม่ได้แตกต่างกับคนทั่วไปมากนักหรอกครับ”
อินซอบทาบมือของตัวเองลงไปบนมือของอีอูยอนพลางเอ่ยตอบ อีอูยอนฝังหน้าของตัวเองลงกับไหล่ของอินซอบ
“แม่งเอ๊ย รู้ไหมครับว่าคุณแม่งแย่จริงๆ”
“…”
“ถ้าคุณขอร้องด้วยวิธีแบบนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เหี้ยแค่ไหนผมก็จะทำให้หมดเลยครับ”
มีที่ไหนกันคำสารภาพที่ป่าเถื่อนและรุนแรงขนาดนี้ แต่อินซอบก็คิดว่าตัวเองที่ใจเต้นให้กับเรื่องแบบนั้นต้องเป็นคนโง่แน่ๆ ไหล่ที่หน้าผากของอีอูยอนซบอยู่อุ่นขึ้น อินซอบกล่าวขอโทษอย่างเนิบช้าว่า ‘ขอโทษครับ’
“งั้นสัญญากับผมอย่างหนึ่งนะครับ”
“…ครับ พูดมาเลยครับ”
อีอูยอนเงยหน้าขึ้นมาทั้งๆ ที่ยังซบกับไหล่ของอินซอบอยู่ก่อนจะพูด
“ต่อไปร้องไห้แค่ต่อหน้าผมนะครับ ห้ามไปร้องไห้ต่อหน้าคนอื่นเด็ดขาดเลย เข้าใจไหมครับ”
แม้อินซอบอยากจะแย้งว่า ‘น้ำตาไม่ใช่สิ่งที่ผมจะควบคุมได้นะครับ’ แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่บรรยากาศที่จะทำแบบนั้น อินซอบพยักหน้าโดยที่ไม่สามารถพูดอะไรได้
อีอูยอนบีบแก้มของอินซอบ อินซอบร้องโอ๊ยและนิ่วหน้า แต่อีกฝ่ายกลับไม่ผ่อนแรงลงเลย
“ผมที่ลุ่มหลงกับของแบบนี้นี่เป็นไอ้โง่จริงๆ”
อีอูยอนปล่อยมือออกหลังจากที่ดึงแก้มของอินซอบอย่างเต็มแรง
“ทีนี้เราไปกันเถอะครับ”
“เดี๋ยว…”
อินซอบรีบจับอีอูยอนที่กำลังจะลงไปจากที่นั่งฝั่งคนขับไว้
“ทำไมครับ จะให้ผมขับไหมครับ”
“ไม่ครับ ผมจะขับเอง แต่ว่าขออยู่แบบนี้แป๊บหนึ่ง…”
อีอูยอนก้มลงมองมือของอินซอบแล้วก็ต้องกลั้นการแสยะยิ้มเอาไว้ ดูเหมือนว่ามือและเท้าของอีกฝ่ายจะอ่อนแรง และแรงยังไม่กลับมา อีอูยอนสตาร์ทรถ
“ผมจะทำเองครับ! ผมจะขับรถเอง!”
อินซอบตะโกนสุดชีวิต เขาไม่อยากลิ้มรสของนรกนั้นอีกครั้ง เครื่องยนต์ส่งเสียงดังหึ่งเหมือนโกรธ
“แต่เราสายแล้วนะครับ”
ยังเหลือเวลาอีกพอสมควร เพราะพวกเขาพุ่งมาด้วยความเร็วที่มากพอที่จะได้ใบสั่งหลายสิบใบ อินซอบส่ายหน้าทั้งน้ำตาคลอเบ้า
“ไม่ครับ ไม่ ไม่สายครับ”
“นั่นแหละครับ เก่งมากครับ”
อินซอบไม่สามารถเข้าใจได้อย่างง่ายดายเลยว่าเก่งเรื่องอะไร อีอูยอนเหยียบคันเร่งเบาๆ ก่อนจะพูดต่อ
“ร้องไห้แค่ต่อหน้าผมแบบนั้นแหละครับ”
รถเฟอร์รารี่สีแดงส่งเสียงดังสนั่นก่อนจะเริ่มแล่นฉิว
[1] มอเตอร์เวย์จายู เป็นถนนมอเตอร์เวย์หลักจากใต้ไปเหนือ โดยมีจุดเริ่มต้นที่โซลไปจนถึงชายแดนที่กั้นระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้