เอ่อ...ขอโทษนะ แต่แกจะขโมยสกิลแบบนี้ไม่ได้นะ - ตอนที่ 250 : ชีวิตของหญิงสาวผู้อยู่ในทางระหว่าง 2 โลก [ EXTRA เนื้อหาตัวละครเมดลำดับที่ ... ]
- Home
- เอ่อ...ขอโทษนะ แต่แกจะขโมยสกิลแบบนี้ไม่ได้นะ
- ตอนที่ 250 : ชีวิตของหญิงสาวผู้อยู่ในทางระหว่าง 2 โลก [ EXTRA เนื้อหาตัวละครเมดลำดับที่ ... ]
ย้ำ ห้ามสปอยนะ!!
…….
“ ม ม ม ไม่นะ อย่าเข้ามา! อย่าเข้ามาาา ไม่!! ออกไป ออกไป!! ”
ท่ามกลางความมืดมิดที่ไร้ที่สิ้นสุด หญิงสาวผู้โชคร้ายกำลังนั่งอยู่ในสถานที่แห่งนั้น นั่งอยู่เพียงตัวคนเดียวโดยรอบกายเองก็มีบางอย่างกำลังก่อตัวขึ้น เปลวไฟสีฟ้าและแดงมากมายนับร้อย นับพัน มันต่างจุดขึ้นจากที่ห่างไกลและไล่เรียงเข้ามาหาเธอ เด็กสาวผู้นั้นจึงได้แต่เพียงหลับตาและตะโกนออกมาด้วยความหวาดกลัว
“ ออกไป อ๊ะ!! กรี๊ดดดด!! ”
พรึบ พรึบ พรึบ
ทว่าแม้ว่าเธอจะพยายามไล่มันออกไปแค่ไหนก็ช่างไร้ประโยชน์สิ้นดี เปลวไฟพวกนั้นมันยังคงเข้าห้อมล้อมเธอแล้วเริ่มจะเผาไม่ร่างเล็กๆนั้น ร่างของเด็กน้อยจนเกิดเป็นแผลไหม้ตามร่างกายนับไม่ถ้วน แผลไหม้ที่เหมือนกับถูกบางอย่างกัดและทุบตี
“ อ๊ะ อา… ม ม ไม่นะ…. ไม่…. ”
ร่างของเธอค่อยๆล้มลงไป นอนแน่นิ่งกับพื้นที่ไร้ที่สิ้นสุด เปลวไฟยังคงเผาไหม้ร่างของเธอ และดวงตาที่เคยสดใสก็จางหายไปเสมือนกับในใจลึกๆของเธอตอนนี้ได้ตายไปแล้ว
“ ไม่เป็นไรแล้วนะ… ”
อย่างไรเสียท่ามกลางความสิ้นหวังและความตาย ตรงหน้าของเธอก็ปรากฎขึ้นซึ่งเงาบางอย่าง เงารูปร่างคล้ายคนสีดำ มันกล่าวกับเธอด้วยเสียงที่อ่อนโยนพร้อมกับยื่นมือเข้ามาหา หญิงสาวได้แต่เงยหน้าขึ้นแล้วคว้ามือนั้นเอาไว้… มือที่แสนจะอบอุ่น
ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด
“ อ๊าาาา!! ”
แต่แล้วจู่ๆเสียงบางอย่างก็ดังขึ้น นั้นทำให้หญิงสาวผมสีม่วงผู้มีใบหน้างดงามผู้นี้ สะดุ้งตื่นขึ้นมาพร้อมกับพยายามควานหาอะไรบางอย่าง และเมื่อเจอมันเธอก็ยกขึ้นมากอดเอาไว้ หมอนข้างที่มีปลอกหมอนเป็นลวดลายของเด็กหนุ่มผมดำปลายสีแดงกำลังเปลือยกายท่อนบนอยู่ เด็กคนนั้นเป็นที่รักและที่พักพิงใจเพียงไม่กี่แห่งของเธอ…และหญิงสาวผู้นี้ก็คือ เพนเท เธอกอดและหอมมันก่อนจะสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่พร้อมกับลุกขึ้นแล้วกระโดดลงจากเตียง
ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด ฉับ
“ ไอนาฬิกาเวร!! แก๊!!! ”
เสียงนั้นยังคงดังอยู่ เสียงของนาฬิกาปลุกตอนเช้าทว่าเมื่อเพนเทเท้าลงแตะพื้น เธอก็จัดการหั่นครึ่งมันในทันทีทำให้ห้องเงียบสงบลงอีกครั้ง กระนั้นก็ตามใบหน้าของเพนเทกลับแดงก่ำพร้อมกับมองดูมันด้วยสายตาที่โกรธเกรี้ยว ทว่าก็เป็นแค่ครู่เดียวก่อนที่เธอจะเก็บมีดกลับไปไว้ที่ใต้หมอนแล้วเริ่มวันใหม่นี้ตามปกติที่ควรจะเป็น
“ ชิ… กำลังฝันดีอยู่เลยแท้ๆ ”
พึบ พึบ ปุก ปุก
เธอเริ่มเก็บที่นอนของตนเองอย่างรวดเร็วพร้อมกับบ่นไปด้วย ทว่าใบหน้าของเธอกลับดูยิ้มแย้มมีความสุข ก่อนที่ไม่นานเธอจะเดินไปเปิดหน้าต่างออกเพื่อให้แสงสว่างและอากาศจากข้างนอกเข้ามายังด้านใน
“ ฮ่าห์…เมืองของนายท่าน ช่างงดงามจริงๆเลย ”
อย่างไรก็ตามพอเป็นหน้าต่างออกไปแล้ว เพนเทก็หยุดแล้วมองดูข้างนอกด้วยรอยยิ้ม ภาพของเมืองที่แสนจะรุ่งเรือง ตึกสูงมากมาย รถไฟฟ้าที่วิ่งไปมา และเมืองที่เต็มไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตาหลากอารมณ์กำลังเดินกันจนเต็มด้านในถึงขนาดที่ต่อให้อยู่ไกลแค่ไหนก็มองเห็นและรับรู้ได้
วิ้วๆๆ
“ อื้มมม วันนี้อากาศก็ยังหอม ฝนคงไม่ตกสินะ อืื้ออ เยี่ยม… ”
และด้วยการที่เธอเปิดหน้าต่างเอาไว้ก็ทำให้อากาศข้างนอกเริ่มจะเข้ามาในห้อง กลิ่นหอมของต้นหญ้า กลิ่นหอมของป่าไม้ที่อยู่เบื้องล่าง และกลิ่นอากาศที่เย็นสบาย เพนเทหันกลับเข้าไปในห้องของตน ห้องที่ดูเหมือนจะเรียบง่าย กำแพงสีขาว เตียงสีขาว เพดานสีขาว แม้แต่หลอดไฟหรือเครื่องใช้ไฟฟ้าหรือกระทั่งพรมเช็ดเท้าเองทั้งหมดก็เป็นสีขาว
“ งืมๆ วันนี้ใส่ชุดอะไรดีน้า??? เดรสโกธิคก็… ไม่ได้ ไม่ได้ นั้นมันชุดทำงาน! ใส่ไปเดี๋ยวคนจะอึดอัดกันหมด ไม่สิ!! มันจะเด่นเกินไป งั้น อืมมม?? ”
เธอเดินมาถึงยังตู้เสื้อผ้าที่มีกระจกบานใหญ่อยู่บนบานเปิดของตู้ แน่นอนล่ะว่าทันทีที่มาถึงก็เปิดประตูแล้วเลือกชุดที่จะใส่ทันที โดยส่วนใหญ่ชุดที่อยู่ด้านในนั้นก็เป็นชุดเดรสโกธิค กับชุดชั้นในที่หรูหราและมีความเป็นผู้ใหญ่ อย่างไรก็ตามเธอไม่ได้เลือกพวกมัน วันนี้นั้นต่างออกไป
กริ๊ก ครืดดดดดด
“ วันนี้คุมโทนให้เข้ากับอากาศดีๆ ดีกว่า!! ”
เพนเทกดปุ่มแล้วเสื้อผ้าในตู้ก็เริ่มจะเลื่อนวนไปอย่างช้าๆ มันเปลี่ยนจากชุดเดรสที่แสนจะหรูหรา มาเป็นชุดสบายๆสีขาว สีสดใสแทน เธอเลือกที่จะสวมชุดเปิดไหล่สีขาว กับกางเกงยีนส์ขาสั้นสีน้ำเงินเข้ม และจบด้วยรอยเท้าผ้าใบสบายๆสีเดียวกับเสื้อของเธอ ก่อนจะหยิบตลับสีเงินใส่ในกางเกงยีนส์ของเธอ
“ ฮึบ!! ”
ซึ่งเมื่อเลือกเสื้อผ้าเสร็จ เพนเทก็มุ่งตรงไปยังโต๊ะแต่งหน้าทันทีแล้วก็ลงมือแต่งหน้าของเธอ โดยวันนี้ก็สดใสไม่ใช่น้อย ขอบตาที่ดำก็ลงรองพื้นจนหาย แถมแก้มเองก็มีการปะแป้งเล็กน้อยเพื่อให้แดงและดูชุ่มชื้น เธอแต่งหน้าของตัวเองอยู่สักครู่ก่อนจะลุกขึ้นหยิบเอาเครื่องประดับไม้กางเขนมาสวมใส่ ทั้งต่างหู ทั้งสร้อยคอ ทว่าแหวนที่ใส่กลับเป็นแหวนหัวกะโหลกสีขาวผิดกับธีมเสื้อผ้าที่ใส่ เธอสวมมันไว้ที่นิ้วนางข้างซ้ายของเธอ
ตึก ตึก ตึก ตึก ฉึบ
" ไปละนะคะ!! *
ฟิ้วววววววว ฟุบ
อย่างไรก็ตามเมื่อแต่งตัวเรียบร้อยแล้วเพนเท ก็ได้ลุกขึ้นแล้วเดินไปยังหน้าต่างบานเดิม ก่อนจะปีนขึ้นไปยืนบนนั้นแล้วกระโดดออกไปที่ด้านนอก แล้วทิ้งตัวลงไปตามแรงโน้มถ่วง จากหน้าต่างที่อยู่บนหน้าผาของภูเขาขนาดใหญ่นั้น ร่างของเธอลอยลู่ลมลงไปเรื่อยๆและเมื่อเข้าใกล้กับพื้นจู่ก็มีพื้นที่ว่างเกิดขึ้นที่พื้น พื้นที่มืดมิดที่ดึงเอาร่างของเธอเข้าไป
ฟุบ ฟิ้ววววววววววว
“ โอร่าาาาาาา!!! ฮีโร่!! แลนดิ่ง!! ”
ตึงงงง!
แล้วก็เป็นเวลาเพียงไม่ถึงเสี้ยววินาที ร่างของเพนเทก็พุ่งออกมาจากช่องว่างอีกแห่ง ที่คราวนี้มันมาปรากฎอยู่ที่เหนือกำแพงของเมืองที่เพนเทเคยมองดู และเธอที่โพยพุ่งออกมาแล้วก็ใช้แรงส่งนั้น พุ่งเข้าไปดาดฟ้าของอาคารอาคารหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปไม่มากนัก
แปะ แปะ แปะ
“ เป๊ะ!! 10 10 10!! เย้!! วันนี้เราก็ยังงดงามเหมือนเดิมเลย ”
ตึก ตึก ตึก
“ ไหนดูซิ… ”
เมื่อลงมาได้แล้วเพนเท ก็ปรบมือพร้อมกับชมตัวเองอย่างร่าเริง ก่อนจะรีบวิ่งไปยังขอบของดาดฟ้านี้ พร้อมกับก้มหน้ามองลงไปยังด้านล่างเพื่อมองตามหาอะไรบางอย่าง โดยการมองนั้นก็ไม่ใช่การมองด้วยตาเปล่าๆ เธอมองผ่านพื้นที่สีดำที่ลอยอยู่ตรงหน้า และสิ่งที่เห็นก็คือดวงไฟมากมายที่วนเวียนไปมาอยู่
“ จะว่าไปแล้วถ้าเทียมกับเมื่อก่อน ถ้าเราทำแบบนี้มีหวังตายชัวร์ๆเลย ฮ่าๆ … น่ากัววววอ่าาาา ”
อย่างที่เพนเทพูดออกมา ถ้าเป็นเมื่อก่อนเธอคงทำอะไรแบบนี้ไม่ได้แน่ๆ ทั้งการพุ่งลงจากผาแล้วใช้สกิลดีดตัวเองไปยังสถานที่อื่น หรือแม้แต่ลงจอดบนดาดฟ้าด้วยความสูงขนาดนั้นโดยไม่เจ็บตัวอะไร ทั้งหมดต้องขอบคุณพลังที่เธอมี เส้นทางวิญญาณ
[ แต่พอคิดแล้ว ก็อดคิดถึงนายท่านไม่ได้เลยน้า…. แสงเทียนที่อบอุ่น ถ้าไม่มีสิ่งนั้น เราเองก็ทำอะไรแบบนี้ไม่ได้อยู่ดี ไม่สิ ไม่สิ ถ้าเราเข้าไปแบบไม่มีแสงนั้นมีหวังโดนรุมฆ่าตายก่อนได้ออกมาแหงๆ ]
แต่การมีสกิลที่แสนจะสะดวกสบายและสามารถใช้มันได้จากการมีพลังของมาร์มาช่วย ก็ไม่ได้ความว่ามันจะทำให้ชีวิตเธอสะดวกสบายขึ้นเป็นทุกอย่าง เพราะแม้ตอนแรกที่เธอจะได้แสงเทียนจากนายท่านมานั้น แสงเทียนก็มีความสามารถเพียงแค่ป้องไม่ให้เธอโดนวิญญาณร้ายเข้ามารุมล้อม ทั้งมันก็ไม่ได้นำทางเธออย่างสมบูรณ์แต่อย่างใด
[ กี่เดือนกันน้าที่เราฝึกอยู่ในนั้น เวลาของวิญญาณ 1 ปี? 4 ปี?? หรือ 10 ปี??? ]
นั้นทำให้เพนเทต้องอาศัยสัญชาตญาณของตนเองล้วนๆ แล้วก็ฝึกอยู่ในทางเดินวิญญาณที่มีช่วงเวลาเร็วกว่าโลกภายนอก โดยเธอก็ใช้เวลาฝึกใช้มันหลายปีจนขนาดตัวเองก็ลืมไปแล้ว และการฝึกนั้นก็เกือบจะพลาดท่าบาดเจ็บอยู่หลายหน ไม่สิเกือบตายเลยก็ว่าได้ เช่น บางทีเธอก็ไปโผล่บนท้องฟ้าบ้าง ในทะเลบ้าง ไม่ก็เกือบจะฝังร่างของตนเองไว้ในกำแพง อย่างไรก็ตามพอใช้หลายๆครั้ง จับหลายๆทาง เธอก็มองเห็นอะไรเล็กๆน้อยๆ นั้นคือ ดวงวิญญาณสิ่งมีชีวิตที่ยังไม่ตายผ่านการเปิดประตูเพียงครึ่งเดียว
“ โอ้!! เดินเล่นอยู่คนเดียวจริงด้วย!! ก็แหงล่ะนะ… เคนโทรติดเรียนยังกลับมาไม่ได้นี้น่า หุหุ งั้นขอทำคะแนนนำไปก่อนน้าาค้าา ”
และก็ไม่นานที่เพนเทจะเจอกับคนที่เธอตามหา นายท่านของเธอ เขาในวันนี้ไม่ได้อยู่ในร่างพิเศษใดๆ เป็นเพียงเด็กหนุ่มผมสีดำปลายสีแดงที่หากมองผ่านๆก็จะไม่เห็นอะไรเป็นจุดเด่นมากไปกว่าความงดงามของเขา แน่นอนว่าใครเดินผ่านก็ต้องมีหันมามองบ้างเป็นธรรมดา
“ ไปล่ะ… ”
ฟุบ ตึก ตึก ฟุบ
“ จะเ… ”
เพนเท เธอยิ้มออกมาก่อนจะเปิดช่องว่างอีกครั้งแล้วก้าวเท้าเข้าไป มันเป็นช่วงเวลาอันสั้นเพราะเพียงพริบตาเดียวเพนเทก็ปรากฎตัวขึ้นข้างหลังนายท่านของเธอ เพื่อกะจะทำให้เขาตกใจสักหน่อย
“ มาด้อมๆมองๆนี้ยังไงกันน่ะหึ เพนเท!! ”
เพี๊ยะ
“ โอ๊ยยย นายท่านอ่าาาา เจ็บนะค๊าา!! ”
ทว่าแทนที่มันจะเป็นการเซอร์ไพรส มาร์กลับหันมามองเธอก่อนที่เธอจะได้ปรากฎตัวขึ้นเสียอีก มิหนำซ้ำยังดีดหน้าผากไปอีกหนึ่งทีทำเอาเพนเทถึงกับลงไปนั่งกุมหัวตัวเองเลย
“ เห้อออ โดนไปแค่นั้นมันจะเจ็บได้ยังไง?? เห้ออ ”
“ เจ็บสิคะ เจ็บใ… ”
เพี๊ยะ
“ อ๊าาา!! เจ็บบบ!! ”
“ เจ็บใจไหมล่ะ?? ”
เพนเทที่เล่นตอบมาร์แบบนั้น ก็เลยโดนเขาดีดหน้าผากไปอีกหน คราวนี้เธอถึงกับเงยหน้าแล้วกุมหน้าผากของตัวเองเลย อย่างไรก็ตาม มาร์ไม่ได้ทำไปด้วยความโกรธแต่อย่างใด เขานั้นยิ้มพร้อมกับมองดูเพนเทด้วยความเอ็นดูและตัวของเพนเทเองก็ไม่ได้จะเศร้าจริงๆเลยสักนิด จะว่ายังไงดี นี้เหมือนเป็นการทักทายตามปกติของทั้งสองมากกว่า
“ ว่าแต่วันนี้หยุดสินะ ถึงได้โผล่มาในชุดปกติน่ะเพนเท? ”
“ ค๊าาา!! วันนี้ตั้งแต่เช้าถึงเที่ยงเค้าหยุดล่ะ เค้าก็เลยรีบตื่นรีบมาหาไง! ”
“ เห… หยุดแค่ครึ่งวันเองเหรอเนี่ย? ทิเรียคงจัดตารางรอไว้ให้แน่นเลยสินะ ”
“ งืมๆ งานเยอะเลยล่ะค่ะ! ”
มาร์ถามเพนเทก่อนจะดึงเธอขึ้นมา ส่วนเพนเทเองพอได้จับมือกับนายท่านของเธอก็ทำให้เธอหน้าแดงเล็กน้อย แต่ว่าเธอก็ไม่ได้ะเขินอายจนพูดไม่ได้ หรือพูดติดๆขัดๆ และทันทีที่ลุกขึ้นมาได้แล้วเพนเทก็เข้าประชิดมาร์ด้วยการกอดแขนขวาของเขาในทันที
“ เห้ออ ”
“ ค๊าาา? ”
แล้วพอเพนเทเข้ามากอดแขนเขาจนหากมองข้างนอกนี้มันก็ไม่ต่างจากคู่รักหวานๆคู่หนึ่ง ซึ่งมาร์ก็ได้แต่ถอดหายใจแล้วก็ต้องยอมให้เพนเททำแบบนั้น ส่วนเพนเทพอนายท่านของเธอถอดหายใจก็ยื่นหน้าเข้ามามองอย่างใกล้ชิดแล้วก็ถามด้วยท่าทางที่น่ารักผิดกับเป็นเธอ
[ แบบนี้ทุกทีเลยน้า เพนเท…เดี๋ยวถ้าคนอื่นมาเห็นก็ได้ทะเลาะกันอีกแหงๆ เออออ ช่างเถอะ บ่นไปว่าไปก็เหมือนเดิมอยู่ดี ]
ส่วนสาเหตุที่มาร์ไม่ว่าหรือไม่ขัดขืนก็ไม่ใช่อะไร เขาน่ะเคยทำมาแล้วทั้งพยายามหนีทั้งพยายามดุเพื่อให้เพนเทหยุดเข้ามาเกาะเขา เพราะว่าถ้าพี่น้องของเธอ เมดคนอื่นๆมาเห็นก็จะมีเรื่องมีราวทะเลาะกันเพื่อแย่งชิงตำแหน่งข้างๆมาร์ โดยเฉพาะยูเรย์ หรืออีกชื่อก็คือเคนโทร ถ้าเธอมาเห็นอะไรแบบนี้ก็คงจบด้วยการท้าสู้กันแหงๆ
“ นายท่านค๊า? วันนี้ิออกมาข้างนอกจะไปไหนอ๋อค๊ะ? ”
“ อ่า… เอ่อ… ก็มาเดินเล่นเฉยๆ ”
เขาตอบไปเช่นนั้นด้วยสีหน้าที่นิ่งไร้ความรู้สึกใดๆ ผิดกับในใจที่เหงื่อไหลไม่หยุด เพนเทเองก็ยิ้มก่อนจะพยักหน้าแล้วมาเดินอยู่ข้างๆเขาโดยยังคงกอดแขนเอาไว้ ส่วนมาร์นั้นในหัวก็เริ่มจะทำงานหนักขึ้น เขาพยายามคิด คิดเพื่อเปลี่ยนแผนสำหรับวันนี้
[ ตอนแรก ก็กะว่าจะไปเที่ยวร้านเกมแล้วเย็นๆก็ไปบาร์หาอะไรดื่ม อืม…จ้างเด็กเอ็นสักคนมานั่งรินเหล้าให้ แต่…เพนเทมาแบบนี้ ไม่สิ กลับมาสแตนด์บายในยูโทเปียแบบนี้ก็ต้องเปลี่ยนแผนล่ะนะ ช่าย เปลี่ยนๆ ไม่เปลี่ยนแล้วเรื่องเราไปบาร์นั่งดริ๊งค์หลุดไปถึงยูเรย์ มีหวังโดนโทรมาบ่นยันหว่างแน่ เห้อออ ]
ย้ำอีกครั้ง ถึงมาร์รูปลักษณ์จะเป็นเด็กแต่ด้านในก็ยังคงเป็นทหารรับจ้างอายุจะ 50 กว่าแล้ว ดังนั้นชีวิตพักผ่อนของเขาถ้าไม่ไปยิงปืนหรือทำอะไรพิเรณๆ ก็จะมาจบกับเหล้าไม่ก็สาวนี้แหล่ะ ซึ่งตามปกติเจ้าตัวจะลงทุนสร้างแก่นมานาปลอมทิ้งไว้บ้านเพื่อให้คนอื่นเชื่อว่าเขาอยู่บ้าน แล้วลดมานาที่ปล่อยออกมาก่อนจะมาเดินในเมืองแบบนี้ ทว่าเพนเทน่ะ…ไม่ได้มองมานาแต่มอง วิญญาณเลยต่างหาก ดังนั้นหลอกเธอไม่ได้หรอก แถมถ้าเธอทำงานอยู่ในระยะใกล้ๆมาร์ก็มักจะดิ่งตรงมาหา เขาเลยไม่รู้ว่าเธอจะมาตอนไหนอะไรยังไง จะรู้ก็แค่ตอนจะโผล่มาแล้วเท่านั้น
“ จะว่าไปแล้วนอกจากยูเรย์ ก็มีเพนเทเนี่ยล่ะนะที่เจอผมบ่อยแบบนี้ ”
“ เอ๋!! แหมๆ คงเป็นเรื่องของโชคชะตาล่ะมั้งค๊า?? แบบว่า ดวงเราต้องกันอะไรแบบนี้อ่ะ!! ”
“ ไม่ ไม่ ไม่ใช่แน่ๆล่ะ ”
อย่างที่มาร์ว่า เพราะนอกจากยูเรย์ที่ปกติเธอจะตัวติดอยู่กับมาร์ตลอดในฐานะน้องสาว ทว่าอีกคนนึงที่ตัวติดพอๆกันแต่ไม่เด่นเท่าก็คือเพนเท เธอคือหญิงสาวคนเดียวในหมู่เมดที่อาจจะเรียกได้ว่า กาลเวลาไม่มีผลกับเธอ เพราะเส้นทางวิญญาณที่เป็นเหมือนยานพาหนะของเพนเท ไม่ยึดติดกับเวลาโลกแห่งความจริง หมายความว่าข้างในข้างนอกจะหมุนไปไม่เท่ากัน ทำให้เธอไปมาหามาร์ได้โดยใช้เวลาในโลกของความจริงเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น ผิดกับคนอื่นๆที่อาจจะต้องใช้เวลาเป็นวันหรือสัปดาห์กว่าจะมาเจอเขาได้ และนั้นก็ทำให้เมื่อใดที่ยูเรย์ไม่อยู่กับมาร์ เพนเทก็จะแอบมาอยู่กับเขาแล้วคอยติดตามไปยังสถานที่ต่างๆ จนกว่าจะมีงานเข้ามาให้ทำ
“ เอ่อ… กินข้าวยังล่ะเรา? ”
“ ยังเลยค่ะ!! แหมๆ ถามแบบนี้จะชวนไปกินข้าวสินะค๊าาา ไปค่าา ไป ไป ”
“ เห้อออ ร่าเริงตลอดเลยนะ ผมเองก็ยังไม่ได้กินไง ว่าแต่เช้าๆแบบนี้แวะไปร้านไหนดีหนอ? ”
“ งืมมมม อื้อออ คิดไม่ออกอ่าาาา!! ”
ในระหว่างที่ทั้งสองกำลังเดินไปตามถนน มาร์นั้นก็ได้หันมาถามเพนเทที่ที่ยังคงเกาะแขนเขาอยู่ คำถามนั้นทำให้เธอถึงกับหลับตาคิดแล้วคิดอีกแต่ก็เหมือนจะไม่ได้คำตอบ ซึ่งมาร์ก็ได้แต่ยิ้มก่อนจะเดินนำเพนเทตรงไปยังที่หมายที่เปลี่ยนไป ทั้งสองเดินผ่านแนวตึกสูงทันสมัยมากมายมายังบริเวณที่มีเพียงบ้านหลังเล็กๆ กับร้านค้ามากมายที่ดูสบายๆ
“ ยังไม่ปิดเทอมกันแหะ ”
และตลอดทางเดินนี้นั้นจุดเด่นนอกจากสภาพบ้านเมืองที่เปลี่ยนไป ก็เริ่มจะเห็นได้ว่าทั้งสองข้างทางตอนนี้เต็มไปด้วยนักเรียนมากมายที่เดินมุ่งตรงกันไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง สถานที่ที่อยู่ห่างออกไปอีกไม่กี่กิโลเมตร โรงเรียนยูโทเปียที่เป็นสถานที่สำคัญสำหรับเด็กหรือใครที่อยากมาเรียน ทว่านักเรียนพวกนี้ก็ต่างจากเด็กนักเรียนที่โรงเรียนอื่นๆเล็กน้อย
[ อืม… แบกปืนกันอย่างกับอยู่ Texas เลย อย่างน้อยก็ใส่กล่องใส่ซองกันหน่อยสิ เห็นแบบนี้แล้วใจมันหวั่นๆไงไม่รู้ ]
สิ่งที่มาร์เห็นมันก็คือ นักเรียนพวกนั้นนอกจากจะสวมเครื่องแบบนักเรียนเป็นเสื้อเชิร์ตสีขาว กางเกงหรือกระโปรงตามใจ รองเท้าผ้าใบหรือหนังแล้วแต่จะเลือก และกระเป๋าสะพายที่ใส่อุปกรณ์เรียน พวกเขาและเธอทุกคนยังแบกปืนตามหลักสูตรของตัวเองอย่างเปิดเผย ลูกซอง ปืนพก ปืนกลมือ ปืนกลเบา ปืนไรเฟิล ปืนแอลซอร์ทไรเฟิล เห็นได้โดยทั่วไปแถมบางคนก็ใส่เวส ใส่เกราะกันมาพร้อมอย่างกับจะไปรบ
[ ถ้าเราออกกฎห้ามพกพาเปิดเผยมันจะเพิ่มภาระให้กับนักเรียนหรือเปล่าหว่า…?? ช่างมันเหอะ ต่อให้ใส่ซอง ใส่กระเป๋ายังไงทุกคนก็รู้แหล่ะว่ามันคือปืน อ๊ะ! นั้นไงร้าน… ประจำของเรา เชี้ย… ]
“ เพนเทรออยู่ตรงนี้แปปนึงนะ ”
“ ค๊า!! ”
เมื่อบอกกับเพนเทเรียบร้อยแล้ว มาร์ก็รีบวิ่งเข้าไปในร้านที่อยู่ตรงหน้าอย่างอย่างรวดเร็ว ร้านที่ตกแต่งเรียบๆไม่มีอะไรเป็นพิเศษ บรรยากาศมันเหมือนกับร้านกาแฟธรรมดาๆ เขาเข้าไปได้ไม่นานแล้วก็กลับออกมา กวัวมือเรียกให้เพนเทตามเข้าไป
กริ๊งๆ
“ ขออนุญาตนะค๊าา ”
“ โอ้!! เชิญเลยๆ ”
เพรเทที่ได้เข้าไปในร้านก็มองไปรอบๆ ร้านที่ด้านในไม่หรูหราอะไรเลย เก้าอี้ไม้โต๊ะไม้ที่ให้บรรยากาศอบอุ่น แสงไฟสีเหลืองนวลๆที่ให้ความรู้สึกสบายๆใจ กลิ่นของกาแฟและเบเกอรี่อบใหม่เองก็หอมไปทั่วร้าน โดยในร้านนั้นไม่ได้มีลูกค้ามากมาย อาจจะเป็นเพราะว่าตอนนี้เป็นช่วงเวลาเช้าตรู่ก็เลยยังไม่มีใครมานอกจากมาร์และเพนท ส่วนคนที่อยู่ด้านในสุดนั้น ชายวัยกลางคนผู้สวมชุดพ่อครัว เจ้าของร้าน เขาต้อนรับทั้งสองอย่างเป็นมิตรด้วยรอยยิ้ม ทว่าสายตากลับจ้องมองไปที่มาร์เหมือนกับกำลังจะต้องการจะคุยอะไรสักอย่าง
[ เห้อ… เค เค ]
มาร์ที่เห็นแล้วรับรู้ได้ก็เดินเข้าไปหาเจ้าของร้านในทันที ก่อนที่ตัวเจ้าของจะลากคอมาร์ไปยังห้องครัวแล้วมองดูเขาด้วยสายตาที่กดดันแปลกๆ มาร์เองก็ได้แต่ยิ้มแห้งก่อนจะกลืนน้ำอย่างช้าๆ
“ ตอนแรกก็วิ่งเข้ามาบอกยกเลิกแผนเย็นนี้ แล้วนี้อะไรอีกพานางแบบมาเฉย?? มันยังไงกันวะเห้ย?? ”
“ ใจเย็น จริงๆวันนี้ก็กะจะชวนแกไปนั้นแหล่ะ แต่ว่าระหว่างทางเพื่อนน้องเจออะเซ่ แถมน้องเขาก็ติดเราด้วย เนี่ยถ้ายังจะไปต่อล่ะก็… ”
“ อ่าาาา เข้าใจละไอตูดหมึก ถ้าเพื่อนน้องแกเอาไปเล่าให้น้องแกฟังก็ชิบหายสินะ หยึยยย ขนลุกว่ะ น้องแกยิ่งดุๆเรื่องแกไปเที่ยวอะไรแบบนี้ด้วยนิ คราวที่แล้วที่รู้ก็บุกมาถึงร้านข้าแถมยังจะถล่มร้านอีก ”
“ ด ด เดี๋ยวๆ นี้น้องตูบุกมาร้านเอ็งเรอะ?!? ”
“ อ้าว ไม่รู้หรือไง??? ”
ต่างฝ่ายต่างตกใจกับสิ่งที่พูดกัน เจ้าของก็มางงว่าไอเด็กหนุ่มตรงหน้าไม่รู้เรื่องน้อง ส่วนไอหนุ่มตรงหน้าก็สับสนว่าน้องเขามาถล่มร้านตอนไหน อย่างไรก็ตามตอนนี้ต่างฝ่ายต่างก็เข้าใจสถานการณ์ของตนเองและก็เพราะแบบนั้นมาร์จึงพยักหน้าเป็นที่รับรู้กับเจ้าของร้าน ก่อนจะเดินออกไปหาเพนเทที่มองตรงมาที่เขา เหมือนกับมองทะลุกำแพงเข้ามาเลย
“ สนิทกับเจ้าของร้านจังเลยนะค๊า? ”
“ ก ก ก็นะ แบบว่าเป็นร้านเดียวที่ตอนเช้ากับเที่ยงเงียบเหมือนบ้านร้างน่ะ นั่งแล้วสงบดี ”
“ เดี๋ยวๆ บ้านร้างบ้าอะไร ตอนเที่ยงก็มีคนมาเว้ย! เอ้า เมนู ”
เพนเทยิ้มก่อนจะถามมาร์พร้อมกับยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนจะชนกันอยู่แล้ว มาร์เองก็ถอยออกมาหน่อยก่อนจะเดินไปนั่งที่โต๊ะแล้วตอบคำถามของเธอด้วยท่าทีที่พยายามจะเป็นปกติที่สุด อย่างไรเสียคำถามนั้นก็ทำให้เจ้าของร้านเดินตรงเข้ามาก่อนจะวางเมนูลงบนโต๊ะด้วยท่าทางไม่พอใจนิดๆ
“ เอาน่านาย ผมมาตอนเที่ยงทีไรก็มีแค่ผมคนเดียวนี้ ผมเอาเป็นฮันนี่โทสต์กับกาแฟดำนะ ”
“ อ่าๆ เข้าใจแล้ว ว่าแต่ อะแฮ่ม คุณหนูสุดสวยวันนี้จะรับเป็นอะไรดีครับผม ”
“ เห้ย… ”
เมื่อรับออเดอร์ของมาร์มาอย่างส่งๆแล้ว เจ้าของร้านก็หันหน้ามาถามเพนเทด้วยท่าทีที่เปลี่ยนไปจากตอนแรกคุยกับมาร์อย่างห้วนๆไม่ใส่ใจ กลายมาเป็นคุณพ่อบ้านแสนดีและมอบรอยยิ้มกับการบริการระดับพรีเมี่ยมสุดๆให้กับหญิงสาวที่แสนงดงามที่นั่งอยู่ตรงข้ามมาร์
“ งืมมม งั้นเอาเป็นแบบที่เขาสั่งก็แล้วกันน๊าา อ๋อ แต่เปลี่ยนกาแฟดำเป็นนมร้อนแทนนน ”
“ รับทราบครับคุณหนู ถ้าเช่นนั้นรอสักครู่นะครับ ”
“ ค๊าาาา ”
[ แล้วกูล่ะ?!? ]
เจ้าของร้านเดินออกไปอย่างเร่งรีบ ทิ้งให้เพนเทกับมาร์นั่งอยู่ด้วยกันสองคนในร้านที่ไม่มีใครอื่น มาร์นั้นไม่รู้จะชวนคุยอะไร ส่วนเพนเทตอนนี้ก็เหมือนกับเป็นช่วงเวลาที่มีค่า เธอเอาแต่จ้องมองดูชายที่ตนรักโดยไม่แม้แต่จะหันไปมองอะไรอย่างอื่น
“ อ อ เอ่อ แล้วตอนบ่ายมีงานอะไรล่ะเพนเท? ”
“ ก็ทิเรียมีงานให้เค้าต้องไปเก็บกวาดน่ะ แถมงานก็เยอะด้วยวันนี้เลยมาได้แค่ครึ่งเช้าเอง แงงงง ”
“ อ๋อ แบบนั้นเองสินะ ”
[ เก็บกวาดงั้นเหรอ… งานเฉพาะของเพนเท ลอบฆ่าและโจรกรรม แต่เริ่มจากบ่ายๆคงโจรกรรมล่ะมั้ง? ไม่สิ ถ้าเป็นอีกฟากโลกก็จะมืดพอดี ]
เขาพอจะเข้าใจในสิ่งที่เพนเทต้องทำ หน้าที่ในหมู่เมดของเธอก็คือนักฆ่ากับสปายสายลอบทำลาย แถมเธอยังเป็นเพียงคนเดียวที่ทำอะไรแบบนี้ได้ ดังนั้นงานของเพนเทจะหนักกว่าเมดคนอื่นๆ ไม่สิ เรียกว่่ามีความเฉพาะเจาะจงจนทำให้มันยากกว่าคนอื่นจะเหมาะมากกว่า
ตึก ตึก ตึก
“ นี้่ครับคุณหนู มื้อเช้าที่สั่ง ฮันนี่โทสต์และนมอุ่นๆ ครับ ”
“ ว้าววว น่ากินจัง ”
“ แน่นอนครับ ผมตั้งใจทำอย่างสุดความสามารถเลยล่ะครับคุณหนู ”
อาหารได้ถูกนำมาเสิร์ฟให้กับเพนเท โทสต์ที่ทำเป็นอย่างดีสีเหลืองเกรียมกำลังงดงามบนจานหรูหราที่มีเหยือกจิ๋วสีขาวซึ่งใส่น้ำผึ้งเอาไว้ ส่วนนมเองก็ใส่ในแก้วกาแฟที่มีรูปหัวใจวาดเอาไว้ เครื่องชุดเงินสำหรับทานอาหารอย่างหรู อย่างไรก็ตามก็มีบางอย่างที่เหมือนจะขาดหายไป บางอย่างที่ทำให้มาร์มองหน้าเจ้าของร้าน
“ เอ่อ…แล้วของผมล่ะ? ”
“ หา?? สั่งด้วยเรอะ?? ”
“ เห้ยๆๆๆ!! ”
ก็นั้นแหล่ะ ของเพนเทมีแต่ของมาร์ดันไม่มี ตรงหน้าของเขาไม่มีแม้แต่จานไม่สิ ขนาดมีดหรือส้อมก็ไม่มี นั้นทำให้มาร์เริ่มจะอารมณ์เสีย ส่วนเจ้าของร้านที่ไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของมาร์ก็หาได้จะแคร์ความรู้สึกนั้นไม่ ทว่าเพนเท…เธอไม่ได้สนใจทั้งสองสักเท่าไหร่ในตอนนี้เพราะเธอกำลังถ่ายรูปอาหารตรงหน้าด้วยโทรศัพท์ของตนเองอยู่
แชะ
“ อื้มม ไว้ส่งให้พี่สาวทีหลังดีกว่า อ๊ะ ของพี่มาร์ยังไม่ได้อย่างงั้นอ๋อคะ?? เห?!? ไม่เป็นไรไม่เป็นไร เดี๋ยวกินกับเค้าก็ได้เนอะ เอ้า นี้ อ้ามมมม ”
“ อ้าาา อื้มมม อร่อยดีนะเนี่ย อร่อยกว่าตอนสั่งปกติอีก ”
และเมื่อถ่ายรูปเสร็จเรียบร้อยแล้ว เพนเทก็เงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับถามมาร์ด้วยความเป็นห่วง ซึ่งคำถามนั้นก็ทำให้เจ้าของร้านถึงกับหันกลับมามองเธอในทันที ส่วนมาร์เองก็แสยะยิ้มก่อนจะอ้าปากรับคำเสนอของเพนเท
“ ม่ายยยยยย!! ”
“ นี้ๆ เพนเทก็ลองทานดูบ้างสิ อ่ะ อ้าามมมม ”
“ อั้มม อื้มมม อย่อยยยย ”
“ หยุดดดดดด!! ”
เพื่อเป็นการล้างแค้นที่ข้าวเช้าของเขาถูกลืม มาร์ก็ได้ใช้ส้อมอันเดิมนั้นจิ้มฮันนี่โทสต์แล้วยื่นให้เพนเท ส่วนเพนเทเองพอชายผู้เป็นที่รักยื่นโอกาสที่จะได้จูมทางอ้อมมาแบบนี้ ก็รีบคว้าเอาไว้ด้วยการงับเอาฮันนี่โทสต์ชิ้นนั้นมากินอย่างมีความสุขในทันที และเจ้าของร้านที่ได้เห็นทุกอย่างก็ลงไปนั่งคุกเข่าร้องอย่างเจ็บปวดทว่าก็ไม่มีใครใส่ใจเขาเลย
… …
กริ๊งๆ แกรก
“ อืม…อร่อยจังแหะ ปริมาณเพิ่มราคาเท่าเดิมแบบนี้ คุ้มจริงๆเลยเนอะ ”
“ งื้มๆ แต่ว่าอร่อยแค่ไหนก็สู้ที่นายท่านทำให้ทานไม่ได้หรอกค่ะ!! ”
“ เห?? งั้นเหรอ? ถ้าว่าแบบนั้นไว้วันนัดรวมตัวผมจะทำให้ทานก็แล้วกันนะ ”
“ ค๊าา!! จะตั้งหน้าตั้งตารอเลยล่ะ!! ”
ทั้งสองเมื่อทานอาหารเช้ากันเสร็จแล้วก็ได้ออกจากร้านกาแฟนั้นมาอย่างอิ่มเอม ทว่าทันทีที่ออกจากร้านไปแล้ว ประตูร้านก็พลิกป้ายจาก [เปิด] เป็น [ปิด] ในทันที ทั้งสองเดินไปคุยไปจนกลับเข้ามาถึงยังตัวเมือง อย่างไรก็ตามเวลาก็ผ่านไปยังไม่สายเลย มาร์เองก็เปลี่ยนแผนสำหรับวันนี้แล้วแถมไม่ได้คิดอะไรเพื่อไว้สักนิดด้วย
“ อ๊ะ… นั้นมันห้างใหม่นิ? เห มีสวนสัตว์ด้วยงั้นเหรอ? ”
“ จริงด้วย?!? ห้างใหม่!! แต่สวนสัตว์? มันคืออะไรอย่างงั้นเหรอคะ??? ”
“ เพนเทคงยังไม่เคยได้ไปสวนสัตว์สินะ ถ้างั้นไปกันไหมล่ะเพนเท ”
“ เอ๋!! แหมๆ ถ้านายท่านว่าแบบนั้นก็รบกวนด้วยนะคะ!! ”
และในระหว่างที่เดินๆ มาร์ก็สังเกตุเห็นอาคารขนาดใหญ่ที่พึ่งสร้างเสร็จ และอาคารนี้ก็มีความต่างจากอาคารอื่นๆที่มันสามารถมองเห็นได้ว่าแต่ละชั้นมีอะไรผ่านการประดับตกแต่งกระจกด้วยสติ๊กเกอร์ภาพสีของสิ่งที่อยู่ในชั้นนั้นๆ โดยที่เด่นสุดคงเป็นรูปสัตว์มากมายที่อยู่ราวๆชั้นที่ 16 และก็เพราะแบบนั้นทั้งสองจึงได้มุ่งตรงไปยังชั้นดั่งกล่าวในทันที
“ ตั๋วผู้ใหญ่ 2 นะคะ ”
ครืดดด ครืนนน
“ ว้าว…นั้นมันสัตว์จากในหอคอยนี่?! ”
“ เห นี้สินะสาเหตุที่ทำไมราคาของมอนสเตอร์ในดันเจี้ยนแบบเป็นๆถึงเพิ่มขึ้น ”
สถานที่ตรงหน้าหลังจากประตูกั้นเปิดออก มันเป็นเหมือนสวนสัตว์ทั่วๆไปในโลกก่อนของมาร์ ทว่ามันก็ต่างออกไปหน่อยที่สัตว์ทุกตัวนั้นจะอยู่ในห้องกระจกหนา เพราะพวกมันไม่ใช่สัตว์ธรรมดาแต่เป็นมอนสเตอร์ดังนั้นพวกมันสามารถทำร้ายผู้เข้ามาเยี่ยมชมได้อย่างไม่ยากเลย ส่วนเพนเทนั้นเธอที่พึ่งได้เจอสถานที่แบบนี้เป็นครั้งแรกก็รีบวิ่งไปดูมอนสเตอร์พวกนั้น ทั้งกระต่าย ทั้งแกะ แพะ มากมายหลายชนิด ทว่ามันก็เป็นการมองผ่านๆเท่านั้น
[ ดูท่าจะสนุกใหญ่เลยน้าเพนเท แต่ก็ดีแล้ว ตาเศร้าๆเหมือนปลาตายนั้นก็ดูดีขึ้นเยอะเลย อ๊ะ? อ่า?…ชอบของExotic เหรอเนี่ย ก็นะ สมกับเป็นเพนเท ]
มาร์นั้นได้แต่เดินตามแล้วมองดูเพนเทที่กำลังสนุกสนานกับสิ่งที่มอนสเตอร์พวกนั้น ทว่าเธอก็หยุดลง ไม่ได้เดินต่อไปยังมอนสเตอร์ถัดไป เธอหยุดยังสถานที่แห่งหนึ่งมันเป็นห้องที่เต็มไปด้วยตู้กระจกมากมายและในนั้นก็เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตที่มีเกล็ด พวกมันกำลังเลื้อยไปมาในตู้นั้น
“ ชอบงูเหรอเพนเท? ”
“ ค ค่ะ… พวกมันเหมือนกับเค้าเลยค่ะ ถึงจะงดงามแต่ก็อันตราย ”
เพนเทตอบกลับมาร์ด้วยเสียงสงบนิ่ง ทั้งสายตาของเธอก็มองตรงเข้าไปในดวงตาของงูตรงหน้านั้น งูสีขาวเหลื่อมม่วงที่กำลังเลื้อยเข้ามายังกระจก มันหยุดอยู่ตรงนั้นก่อนจะค่อยๆยกตัวขึ้นแล้วยื่นหน้าเข้ามาหาเธอ ก่อนจะยกตัวเอียงไปมาเหมือนกับกำลังสำรวจเพนเทอยู่
“ ดูท่ามันเองก็จะถูกใจเพนเทเหมือนกันนะ? ”
“ นั้นสินะ…คะ ”
มาร์ได้แต่มองดูเพนเทอยู่อย่างนั้น สายตาของเธอของเธอมันเป็นครั้งแรกเลยที่เป็นแบบนี้ สายตาที่สนใจในสิ่งมีชีวิตอื่นๆนอกจากเขาและพี่น้องของเธอ สายตาที่ดูมีชีวิตชีวา มีความเป็นเด็กไม่เหมือนกับปกติที่เหมือนกับว่าทุกอย่างรอบตัวเธอเป็นเพียงภาพมายาอันแสนน่าเบื่อ เธอจะตื่นเต้นกับมันได้ชั่วครู่ก่อนจะเมินแล้วเลิกสนใจ
… … …
“ ได้เวลาแล้วนะเพนเท ”
“ คะ?!? อ อ เอ๋!! จะเที่ยงแล้วเหรอเนี่ย!?? เห!! ”
แล้วก็ด้วยความสนใจในงูนั้น เพนเทกับมันก็ต่างจ้องมองกันนานจนเวลาผ่านไปหลายชั่วโมงจนเกือบเที่ยง มาร์เองก็ได้แต่ยืนมองอย่างประหลาดใจกับเหตุการณ์ทั้งหมด แม้จะต้องยืนอยู่หลายชั่วโมงแต่ว่าในเมื่อเพนเทมีความสุขเขาก็ไม่อยากจะไปขัดขวาง จนกระทั่งเวลาหมุนมาจนจะเกือบเที่ยง มาร์ก็ถึงจะทักให้เพนเทได้รู้ตัว
“ อื้ม อีก 5 นาทีก็จะเที่ยงแล้วนะแบบนี้จะไปทันรับงานเหรอ?? ”
“ จริงด้วย!! ถ้าแบบนั้นเค้าไปก่อนนะค๊า!! ”
วูบ…ฟุบ
“ เห้อ… ทุกทีเลยน้า ไปไหนมาไหนไม่บอกแบบนี้ ”
เพนเทพอรู้ตัวแล้วก็เปิดช่องว่างสีดำขึ้นมาก่อนจะรีบกระโดดหายเข้าไปในทันที ส่วนมาร์เองก็ได้แต่ยืนยิ้มกับสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นประจำแบบนี้ เพนเทที่มาไปไม่บอกไม่ลาจนกลายเป็นเรื่องธรรมดาของเขาไปซะแล้ว แต่แม้ว่าเพนเทจะออกไปทำงานแล้ว มาร์ก็ไม่ได้จะเดินออกจากที่นี้แต่อย่างใด เขาหันกลับไปมองยังงูสีขาวที่เพนเทเคยจ้องมอง มันค่อยๆเลื้อยกลับไปหลบอยู่ของประดับภายในตู้นั้น เจ้าตัวถอดหายใจออกมาเบาๆก่อนจะหันไปหาพนักงานที่ยืนอยู่ใกล้ๆ
“ คุณพนักงานครับ ”
“ ครับผม มีอะไรให้ผมรับใช้อย่างงั้นเหรอครับ? ”
“ รบกวนช่วยเรียกผู้จัดการมาทีนะ อ๊ะ ไม่สิ ติดต่อเจ้าของมาเลยก็ได้แล้วบอกว่า มาร์ ซันเบิร์นอยากขอคุยด้วยน่ะ ”
“ ม ม ท ท่าน มาร์… ซันเบิร์น?!? รับทราบครับผม!! ”
เขาพูดกับพนักงานหนุ่มนั้นด้วยรอยยิ้ม ทว่าพอพนักงานรู้ชื่อของชายที่อยู่ตรงหน้าก็ทำให้เขาเหงื่อตกทันที ก่อนจะรีบก้มหัวแล้ววิ่งออกไปอย่างเร่งรีบ ส่วนมาร์ก็ยังคงยืนอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบสงบทว่าในหัวก็กำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ บางอย่างที่เขาก็ได้แต่ขำอยู่ในใจ
… …
…
ฟุบ
“ อ๊าาา!! สายแล้ว!! ”
ส่วนที่อีกด้านหนึ่ง ภายในห้องสีขาว เพนเทก็ปรากฎตัวขึ้นแล้วก็รีบวิ่งตรงไปยังตู้เสื้อผ้าทันทีก่อนจะถอดเสื้อผ้าของตนเองจนหมดแล้วเปลี่ยนเป็นชุดโกธิคสีดำแล้วก็หยิบเอาอุปกรณ์ของตนเองมาใส่เพิ่ม ซองมีด สายรัดขา ปลอกแขนติดตั้งจอภาพ หน้ากากหมอกและหน้ากากกันแก็สพิษ ซึ่งพอทุกอย่างพร้อมแล้วเพนเทก็กระโดดเข้าไปในช่องมิติอีกครั้ง
ฟุบ
“ มาแล้วค๊า!! ”
“ ช้าไป 1 นาที 12 วินาทีนะเจ้าคะเพนเท ”
“ ขอโทษค๊า!! ”
และสถานที่ที่เธอมาโผล่นั้นก็คือห้องทำงานห้องหนึ่งที่เต็มไปด้วยจอฉายข้อมูลมากมาย โดยที่โต๊ะทำงานในห้องก็คือคนที่คอยแจกงานให้กับเหล่าเมดมาโดยตลอด ทิเรีย เธอนั่งนิ่งมองดูเพนเทที่ยืนอยู่ตรงหน้าพร้อมกับถือนาฬิกาเอาไว้บนมือ ส่วนเพนเทเองก็รีบแก้เขินด้วยการเดินมายืนตรงหน้าโต๊ะ พร้อมกับก้มหัวยื่นมือขอรับงานในทันที
“ รู้ตัวก็ดีแล้วเจ้าค่ะ นี้…รายชื่อ ใบหน้ากับที่อยู่ของขยะพวกนี้ ยังไงก็รบกวนจัดการให้เสร็จไวๆด้วยนะเจ้าคะ ”
“ รับทราบค๊า!! งั้นไปก่อนนะคะ!! ”
ฟุบ
เพนเทเมื่อรับภารกิจมาแล้ว ก็รีบกระโดดหายกลับไปอีกครั้ง ส่วนทิเรียก็ก้มหน้านั่งทำงานต่อไปตามปกติของเธอ อย่างไรก็ตามในระหว่างที่อยู่ในทางเดินวิญญาณนั้น เพนเทก็ได้หยิบเอาแผ่นเอกสารพวกนั้นขึ้นมาดูโดยใช้แสงสว่างของเทียนไขสีดำในการมองดู
“ หืม… พวกเวรนี้ นายท่านอุตส่าห์มอบความเมตตาให้แท้ๆ ”
ในรายชื่อและหน้าตาบนเอกสารนั้น ทำให้เพนเทโกรธเป็นอย่างมาก พวกมันเป็นประเภทที่เพนเทเกลียดที่สุด พวกทรยศ ใบหน้า ชื่อ ยศ พวกมันทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นคนของยูโทเปียทว่าหมายเหตุแห่งการกำจัดทิ้งล้วนเป็นเพราะพวกมันทำในสิ่งต้องห้ามตามกฎของกลุ่มผี และยูโทเปีย
“ ฆ่าคนนอกเหนือคำสั่ง… ข่มขืนลูกพ่อค้า… ใช้อาวุธปืนข่มขู่พลเมือง… ลักลอบร่วมมือกับศัตรู… รวมตัวเตรียมก่อกบฎ… ขูดรีดผู้อื่น… แต่ละอย่างนะ ”
เพนเทเก็บเอกสารนั้นเข้าไปในกระเป๋าที่เอว แล้วก็สวมหน้ากากหมอกของเธอพร้อมกับหยิบเอาตะขอสีดำออกมาจากซองเก็บของที่อยู่ตรงต้นขา ตะขอที่มีโซ่ทักยาว เธอกลั้นหายใจเพียงชั่วครู่ก่อนจะเงยหน้ามองขึ้นไปเหนือหัวของตนเอง
“ คนแรกเลยก็แล้วกัน ฮึบ ”
ฟุบ กิ๊งๆๆๆๆ
เธอเหวี่ยงตะขอนั้นขึ้นไปแล้วมันก็พุ่งลอยขึ้นไปอย่างรวดเร็ว พุ่งผ่านความมืดมิดขึ้นไปยังช่องว่างสีขาวที่อยู่เหนือขึ้นไปอีกตะขอนั้นพุ่งทะลุออกไปแล้วมุ่งเข้าใส่สิ่งๆหนึ่งโดยที่สิ่งนั้นไม่อาจจะรับรู้ถึงการมานี้ได้
“ ฮ่าๆ วันนี้ก็เก็บเครดิตมาเพิ่มได้อีกแล้ว แบบนี้อีกไม่นานชั้นก็จะได้เข้าไปอยู่ในพื้นชั้นในสัก… ฉึก!! กรี๊ดดดด!! ”
ตะขอที่ว่าเกี่ยวเข้ากับขาของหญิงสาวในชุดเครื่องแบบที่กำลังนั่งนับแผ่นเหล็กจำนวนมากบนโต๊ะ ตะขอนั้นเกี่ยวขาของเธอจนเกิดเป็นแผลขนาดใหญ่ อย่างไรก็ตามมันก็ไม่ได้จะปล่อยให้เธอหลุดรอดไปเพราะเพียงเสี้ยววินาทีที่เธอรู้สึกถึงความเจ็บปวด ร่างของหญิงสาวนั้นก็ถูกดึงลงสู่พื้นที่ที่มืดมิด
“ อึก… ท ที่นี้มันที่ไหนกัน?!? แสงไฟนั้น?!? เดี๋ยว เดี๋ยว อย่า อย่าเข้ามา กรี๊ดดด!! ร้อน!! ร้อน!! ”
พรึบ พรึบ พรึบ
เธอยังไม่ได้จะทำอะไร เปลวไฟสีฟ้าจำนวนมากก็เข้ามาห้อมล้อมเธออย่างรวดเร็ว พร้อมกับเผาไหม้ร่างของเธอ ทำร้ายร่างของเธอจนเกิดเป็นแผลมากมาย ทั้งแผลไหม้ แผลบาดเหวอะหวะ แผลตัดขาดบนร่างกาย และก็ไม่นานเลยที่ร่างนั้นจะแน่นิ่งไป
ฟู่มม ตู้ม…
“ เสร็จไป 1 เหลืออีก 23 คน ”
เสียงระเบิดดังขึ้นพร้อมกับเปลวเพลิงสีฟ้าที่ปรากฎขึ้น ณ จุดที่ร่างของหญิงสาวนั้นเคยอยู่ และทันทีที่เปลวไฟดับหายไป ก็ไม่เหลือทิ้งไว้ซึ่งร่างหรือร่องรอยของหญิงสาวผู้นั้นอีก ส่วนเพนเทผู้เป็นคนลงมือก็ไม่ได้จะใส่ใจเลยว่าการจัดการของเธอสำเร็จหรือไม่ เธอมุ่งหน้าตรงไปยังจุดถัดๆไป แล้วก็ทำแบบเดิม แบบเดิมไปเรื่อยๆ การโยนตะขอขึ้นไปแล้วเกี่ยวเอาร่างของคนนั้นลงมา ในดินแดนแห่งวิญญาณ สถานที่ที่คนเป็นไม่ควรจะมาอยู่
“ ไม่มีใครขัดขืนเลย… ชีวิตของพวกนี้มันน่าเบื่อ น่าเบื่อ ”
เวลาด้านนอกนั้นผ่านไปเพียงไม่กี่นาที คนหลายสิบคนก็เริ่มทยอยหายไปอย่างไร้ร่องรอย สิ่งเดียวที่มีทิ้งไว้คือรอยเลือดที่เปรอะบนพื้นที่คนคนนั้นเคยอยู่มาก่อน
ฟุบ
“ ฮึบบบ เสร็จงานสักที รีบ… เอ๋? ”
และเมื่อจัดการงานของตัวเองเสร็จ เพนเทก็กลับมายังห้องของตนเองทว่าแทนที่จะทิ้งตัวลงนอนตามปกติ วันนี้มีบางอย่างที่ต่างออกไป ห้องที่ควรจะมีแต่สีขาวและทุกอย่างเป็นระเบียบ ตอนนี้บนโต๊ะทำงานของเธอที่อยู่ข้างๆโต๊ะแต่งหน้ากลับมีกล่องที่มีผ้าคลุมเอาไว้ตั้งเอาไว้
พรึบ
“ เห…แก… หรือว่า… ”
เพนเทดึงผ้านั้นออกแล้วก็ได้เห็นว่า ใต้ผ้าคลุมนั้นคือกล่องกระจกใสที่ด้านในมีการจัดแต่งเป็นฉากให้มีสภาพแวดล้อมคล้ายป่ามอส ทว่าสิ่งหนึ่งที่ทกำให้เพนเทมองดูไม่ละสายตาไปไหนเลยคือเจ้าสิ่งมีชีวิตสีขาวที่นอนหลบอยู่ใต้ต้นบอนไซเล็กๆ
“ นายท่านน๊าา นายท่าน!! เห็นว่าเค้าชอบก็ซื้อมาให้สินะ อื้มม จะดูแลเป็นอย่างดีเลยล่ะ ช่าย…จะดูแล ดูแล หึหึ มานี้สิ ”
แกรก
เจ้าตัวนั้นยิ้มออกมา เธอรู้เลยว่าใครเป็นคนเตรียมสิ่งนี้ให้กับเธอ อย่างไรเสียแทนที่เพนเทจะมองดูอยู่เฉยๆ คราวนี้มันเป็นของเธอแล้ว ดังนั้นเพนเทจึงเลือกที่จะเปิดฝาครอบของมันออก ก่อนจะเอามายื่นลงไปอย่างช้าๆ ส่วนเจ้างูนั้นมันก็วนไปวนมาก่อนจะยกตัวขึ้นแล้วเลื้อยขึ้นมาพันตามแขนของเพนเท
!!!
อย่างไรก็ตามเมื่อมันขึ้นมาได้แล้วก็แผ่แม่เบี้ยอยู่ห่างจากหน้าของเพนเทไปเพียงช่วงมือเดียว แต่ว่าเพนเทก็ไม่ได้กลัวเลยกลับกันสายตาของเธอกลับจ้องมองสวนกลับไปในดวงตาสีม่วงของงูนั้น เธอจ้องมองก่อนจะเอื้อมมือซ้ายมาลูบหัวของมันอย่างช้าๆ ทำให้มันเริ่มจะสงบลง เช่นกันเธอก็หลุดยิ้มแล้วพูดออกมาอย่างช้าๆด้วยเสียงที่เย็นชาจนแม้แต่งูนั้นก็สั่นเทาแล้วหัดตัวลงไปอยู่เพียงปลายมือขวาของเพนเท
“ เด็กดีนะ… เด็กดี ช่าย…ถ้าเป็นเด็กไม่ดีเมื่อไหร่ล่ะก็…คงรู้สินะ…ว่าจะเป็นยังไง ”
……