เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า - บทที่ 1953 พูดเตือน
เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า นิยาย บท 1953
“สหายลู่เป็นคนที่ไหนเหรอ? ”
บนรถม้า ลู่ฝานมองไปที่เจี่ยหมิงอย่างยิ้มแย้ม
อาจจะเป็นไปได้ที่รอยยิ้มของเขานั้นมันช่างดูโหดร้ายเกินไป จนทำให้เจี่ยหมิงรู้สึกอึดอัดไปบ้าง
“เขตตะวันตก ฉันมาจากประเทศเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในเขตตะวันตก ซึ่งเป็นประเทศเล็ก ๆ ที่สหายเงามืดไม่เคยได้ยินมาก่อนแน่ ดังนั้นฉันก็คงไม่ต้องไปอธิบายอย่างละเอียดแล้ว”
เจี่ยหมิงพูดขึ้นด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
ซึ่งแตกต่างกับลักษณะท่าทางเมื่อครู่นี้อย่างมาก หรือว่าตอนนี้เจี่ยหมิงจะเป็นมิตรกับลู่ฝานมากขึ้นแล้ว
อาจเป็นเพราะเมื่อครู่ลู่ฝานได้ช่วยเขาขับไล่ผู้หญิงที่น่ากลัวออกไป และก็อาจเป็นไปได้ที่เขาเห็นว่าลู่ฝานมีวิทยายุทธที่แข็งแกร่ง ขนาดเซียนบู๊เมื่อเผชิญหน้ากับลู่ฝานแล้ว ก็ยังต้องหลบหนีไปในทันที ดังนั้นจึงเกิดความหวาดกลัวในใจขึ้นบ้างแล้ว
ลู่ฝานยิ้มและพูดว่า “โอ้ว คนเขตตะวันตก สหายลู่อ่า ฉันเรียกนายว่าสหายเจี่ยดีกว่าไหม ฉันนั้นมีเพื่อนที่มีแซ่ลู่มากมายเลย หากเรียกนายว่าสหายลู่อีก ฉันรู้สึกว่ามันไม่ค่อยเคยชิน เมื่อเทียบกันแล้ว ฉันชอบชื่อเจี่ยหมิงของนายมากกว่า”
เจี่ยหมิงหัวเราะเหอะเหอะและพูดว่า “ก็ตามใจ สหายเงามืด ตามใจนายเลย เรียกอะไรก็ได้ ผู้ที่เดินทางตระเวนไปทั่วใต้หล้านี้ ใครบ้างล่ะที่ไม่มีสมญานามกับชื่อเรียกที่ปลอมแปลงบ้าง”
ลู่ฝานพยักหน้าและพูดว่า “งั้นก็ดีเลย สหายเจี่ย ฉันมีกี่คำถามที่อยากจะถามนาย รบกวนสหายเจี่ยตอบคำถามฉันหน่อยนะ”
เจี่ยหมิงส่ายมือไปมาและพูดว่า “ถามมาได้เลย สหายเงามืด ตอนนี้นายก็คือเพื่อนของฉันแล้ว ระหว่างเพื่อน ยังจะมีอะไรที่ถามกันไม่ได้อีกล่ะ เพียงแค่นายไม่คิดที่จะนำวิชาทั้งหมดของฉันไปก็พอแล้ว ส่วนเรื่องอื่น ตามสบายเลย! ”
ลู่ฝานยิ้มและพูดว่า “อย่างนั้นฉันก็จะถามแล้วนะ สหายเจี่ย ฉันได้ยินมาว่าสมญานามที่เป็นผู้ฝึกทั้งบู๊และชี่ของนายนั้น ได้โด่งดังและเผยแพร่มาจากประเทศตันเซิ่ง ในเมื่อนายเป็นคนเขตตะวันตก แล้วทำไมถึงได้ไปยังประเทศตันเซิ่งในแดนตะวันออกได้ล่ะ? ระยะทางห่างไกลกันมากเลยทีเดียวนะ และในตอนนั้น เขาสี่โลกก็ยังไม่เปิดขึ้นเลยด้วย! ”
เจี่ยหมิงได้ยินดังนั้น ก็อ้าปากค้าง และพูดขึ้นว่า “เอ่อ……ฉันเคารพเลื่อมใสในประเทศตันเซิ่ง ดังนั้นจึงเดินทางไปเยี่ยมชมที่นั่นโดยเฉพาะ โดยที่ระยะทางนั้นค่อนข้างจะไกลสักหน่อย แต่คนเรานั้น จะต้องออกเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ เพื่อเพิ่มพูนประสบการณ์ความรู้ ไม่อย่างนั้นก็จะไม่พัฒนาย่ำอยู่กับที่ ซึ่งก็ไม่แตกต่างอะไรกับกบในกะลา”
ลู่ฝานยิ่งยิ้มแย้มมากขึ้น และพูดว่า “โอ้ว เป็นอย่างนี้นี่เอง แต่ว่า ประเทศตันเซิ่งไม่ใช่ว่าไม่ให้คนนอกเข้าไปหรอกเหรอ นั่นคือประเทศปิด แล้วนายเข้าไปด้านในได้อย่างไรล่ะ? ”
เจี่ยหมิงเหงื่อออกที่ศีรษะ จากนั้นก็เช็ดเหงื่อที่ไหลออกมาบนศีรษะแล้ว ก็พูดว่า “เรื่องนี้……เอ่อ……ฉันเป็นผู้ฝึกทั้งบู๊และชี่ยังไงล่ะ ฉันจึงใช้วิธีการพิเศษแอบเข้าไปด้านใน สำหรับวิธีการพิเศษอะไรนั้น สหายเงามืดก็คงไม่ต้องถามแล้ว มันเป็นความลับเกี่ยวกับการฝึกฝนของฉัน ไม่สะดวกที่จะตอบ”
ลู่ฝานพยักหน้าและพูดว่า “อืมอืม เรื่องนี้ฉันไม่ถาม ฉันก็แค่อยากจะรู้ว่า ภายในประเทศตันเซิ่งเกิดเรื่องอะไรขึ้น ฉันได้ยินมาว่า เกิดความวุ่นวายไม่น้อยเลยทีเดียว แม้แต่คำสั่งศักดิ์สิทธิ์ของอริยบุคคลอมตะก็ยังประกาศออกมาแล้วเลยว่า จะต้องตามหาตัวนายให้พบจนได้”
เจี่ยหมิงเผยความหวาดกลัวในสายตาออกมาเล็กน้อย และพูดว่า “มีเรื่องนี้ด้วยเหรอ? ”
ลู่ฝานพูดว่า “สหายเจี่ย นายไม่รู้เหรอ อริยบุคคลทั้งใต้หล้า ใครบ้างล่ะที่ไม่เคยได้ยินชื่อของลู่ฝาน ในตอนนี้ อริยบุคคลอมตะก็อยู่ในเมืองฉิงเทียน นายช่างกล้าหาญเสียจริง ไม่กลัวเขาจะมาหาเรื่องสร้างปัญญากับนายบ้างเหรอ”
ลมหายใจของเจี่ยหมิงเริ่มที่จะร้อนรนขึ้นมาบ้างแล้ว และพูดขึ้นด้วยริมฝีปากสั่นว่า “ฉันนึกว่าแค่สามอริยบุคคลอยากที่จะพบฉันเท่านั้น ที่จริงแล้วยังมีอริยบุคคลอมตะด้วยเหรอ พระเจ้า”
ลู่ฝานพูดต่อว่า“ไม่เพียงเท่านี้ ผู้ฝึกชั่วร้ายก็เหมือนจะกำลังตามหาตัวนายอยู่ด้วย โอ้ การฝึกทั้งบู๊และชี่นี่มันดีจริง ๆ เลย เมื่อใช้พลังออกมา ก็จะมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วใต้หล้าแล้ว สหายเจี่ยช่างองอาจเลิศล้ำจริง ๆ ไม่เห็นใต้หล้าอยู่ในสายตาเลย ต่อให้คนในใต้หล้าต่างก็กำลังตามหาตัวนายอยู่ นายก็ยังกล้าที่จะมาเข้าร่วมการแข่งนานาประเทศ ความกล้าหาญที่ไม่หวาดกลัวต่อความตาย และไม่เกรงกลัวต่อยอดฝีมือนี้ ทำให้ฉันชื่นชม และถึงขนาดเคารพเลื่อมใสอย่างมากเลย! ”
เจี่ยหมิงเช็ดเหงื่อที่ไหลย้อยลงมาจากศีรษะไม่หยุด พยักหน้าและพูดขึ้นอย่างตกใจว่า “ยังมีผู้ฝึกชั่วร้ายด้วยเหรอ! พระเจ้าช่วย หากรู้ตั้งแต่แรกฉันก็คงไม่ควรที่จะ……”
ลู่ฝานยิ้มและมองไปที่เขาแล้วพูดว่า “ไม่ควรอะไรเหรอ? ”
เจี่ยหมิงรีบเปลี่ยนคำพูดทันทีว่า “ก็ไม่ควรที่จะพูดชื่อจริงออกมาน่ะสิ ที่จริงแล้วชื่อเจี่ยหมิงนี้ ก็ไม่เลวเหมือนกันใช่ไหม”
ลู่ฝานหัวเราะเสียงดัง ปรบมือและพูดว่า “สหายเจี่ยช่างเป็นฮีโร่จริง ๆ ช่วงเวลาสำคัญที่เกี่ยวกับความเป็นความตายแบบนี้ ยังไม่เห็นว่าสีหน้าจะเปลี่ยนไปหรือใจเต้นอะไรเลย ยังคงที่จะพูดจาอย่างยิ้มแย้ม ฉันช่างเคารพนับถือนายจริง ๆ เลย”
เจดีย์เสวียนเก้ามังกรที่อยู่ในร่างของลู่ฝานก็หัวเราะเสียงดังและพูดขึ้นว่า “เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ท่านมองจากที่ไหนว่าเขาสีหน้าไม่เปลี่ยนหรือใจไม่เต้นอะไรเลย? ”
ลู่ฝานพูดตอบในใจว่า “หุบปากซะ! ”
เจี่ยหมิงฉีกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย โดยที่ร่างกายก็สั่นเทาอย่างไม่เป็นสุขแล้ว
เวลานี้ ถึงเห็นว่าตัวเขาใจฝ่ออย่างมากแล้ว ลู่ฝานเองก็ถือว่าเข้าใจแล้วว่า คนผู้นี้ก็แค่อยากที่จะมีชื่อเสียงก็เท่านั้นเอง ซึ่งเขาก็คิดไม่ถึงว่า ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจะหนักหนาถึงขั้นนี้เลย
ลู่ฝานหยิบเหล้าสองไหออกมาจากภายในห้องรถม้า ส่งมอบให้กับเจี่ยหมิงและพูดว่า “มา มา สหายเจี่ย พวกเรามาดื่มกันหน่อย ดูเหมือนว่าสหายเจี่ยเอง จะรับรู้เรื่องเหล่านี้ไม่มากเท่าไร ยังดีที่ตอนนี้รับรู้แล้ว ก็ยังไม่ถือว่าสายไปนะ! ”
เจี่ยหมิงเปิดไหเหล้าขึ้น แล้วก็เงยหน้าอุ้มขึ้นดื่มคำโต
เมื่อเหล้าตกถึงท้อง เจี่ยหมิงจึงดูดีขึ้นมาเล็กน้อย และก็พูดกับลู่ฝานว่า “ที่จริงแล้วฉันไม่รับรู้เรื่องเหล่านี้สักเท่าไร ดูเหมือนว่าประเทศฉิงเทียนนี้จะพักอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว ต้องขอบคุณสหายเงามืดที่กล่าวเตือน ฉันรู้แล้วว่าควรจะทำอย่างไรต่อดี”
ลู่ฝานขมวดคิ้วขึ้นและพูดว่า “สหายเจี่ยคงจะไม่หนีไปในตอนนี้เลยหรอกนะ ไม่ร่วมต่อสู้ในรอบสิบคนสุดท้ายแล้วเหรอ? นายต้องการที่จะถูกผู้คนทั้งใต้หล้าดูถูกเหยียดหยามหรือไง? ”
เจี่ยหมิงสีหน้าโศกเศร้า แทบจะร้องไห้ออกมาอย่างหนักแล้ว
เงียบสงบลงไปชั่วครู่ เจี่ยหมิงก็พูดขึ้นว่า “โธ่ ทำไมฉันต้องมาทนลำบากแบบนี้ด้วย ช่างเถอะ ยังไงก็ร่วมต่อสู้แล้วกัน แต่จากพลังความสามารถของฉันแล้ว คงจะไม่ผ่านรอบต่อไปอย่างแน่นอน”
ลู่ฝานพูดว่า “สหายเจี่ยทำไมถึงไม่มีความมั่นใจเลย? นายเป็นถึงผู้ฝึกทั้งบู๊และชี่ตามที่ร่ำลือกันเลยนะ ใช่แล้ว นายสามารถแสดงวิชาการฝึกทั้งบู๊และชี่ให้ฉันชมสักหน่อยได้ไหม? ฉันอยากที่จะเปิดหูเปิดตาบ้างน่ะ”
เจี่ยหมิงพูดขึ้นว่า “ตอนกลางวันที่ทำการแข่งขันนั้น สหายเงามืดคงน่าจะได้เห็นไปบ้างแล้ว ซึ่งฉันก็แค่ใช้วิชาของผู้ฝึกชี่และนักบู๊ได้ก็เท่านั้น ส่วนอย่างอื่นก็ไม่มีอะไรที่น่าแปลกแล้ว! ”
ลู่ฝานแกล้งทำเป็นสงสัยแล้วก็พูดขึ้นว่า “อย่างนั้นเหรอ? แล้วนายสามารถที่จะปล่อยพลังชี่ออกมาให้ฉันดูหน่อยจะได้ไหม ก็คือพลังชี่จากมือซ้าย พลังปราณจากมือขวา หรือว่าปล่อยทั้งสองพลังที่รวมเป็นหนึ่งเดียวออกมาให้ฉันชมสักหน่อย”
สีหน้าท่าทางของลู่ฝาน ก็เหมือนกับนักบู๊ที่มีความอยากรู้อยากเห็น
เจี่ยหมิงกลับสงบนิ่งไปชั่วครู่ แล้วก็พลันพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ตกตะลึงเล็กน้อยว่า “สหายเงามืด พลังแบบนี้ จะแสดงให้คนอื่นดูโดยง่ายได้อย่างไร ต้องขอโทษด้วย สิ่งที่นายพูดนั้น ฉันไม่สามารถแสดงออกมาให้นายดูชมได้”
ลู่ฝานพูดขึ้นอย่างผิดหวังเล็กน้อยว่า “อย่างนั้นเหรอ? ในเมื่อไม่สามารถดูได้ อย่างนั้นนายสามารถช่วยฉันกลั่นยาสักเตาจะได้ไหม ในช่วงที่ผ่านมาฉันรวบรวมสะสมวัตถุดิบยาสมุนไพรได้จำนวนไม่น้อย แต่ขาดแค่ผู้ฝึกชี่ ในเมื่อสหายเจี่ยเป็นถึงผู้ฝึกทั้งบู๊และชี่ อย่างนั้นก็คงจะสามารถกลั่นยาได้ใช่ไหมล่ะ”
เจี่ยหมิงพลันลุกยืนขึ้น และพูดเสียงดังว่า “สหายเงามืด สิ่งเหล่านี้ที่นายพูดนั้น ฉันไม่มีเวลาที่จะช่วยเหลือนายจริง ๆ ฉันคิดขึ้นได้อย่างกะทันหันว่า ฉันยังมีธุระที่ต้องไปจัดการอีก วันนี้ดื่มเหล้ากันเพียงเท่านี้เถอะ ต้องขอโทษที่อยู่ร่วมดื่มด้วยไม่ได้แล้ว หยุดรถเดี๋ยวนี้! ”
เมื่อตะโกนขึ้น สิบสามก็ค่อย ๆ หยุดรถม้าลง
เจี่ยหมิงเดินลงมาจากรถม้า ซึ่งดูเหมือนจะมีอารมณ์โกรธพอสมควร จากคำพูดของลู่ฝานที่ไปยั่วยุจนเกิดความโมโหขึ้น
ลู่ฝานเลื่อนผ้าม่านที่หน้าต่างออก มองไปยังแผ่นหลังของเจี่ยหมิงและพูดว่า “สหายเจี่ย นายไม่ตอบฉันไม่เป็นไร กลับไปแล้วค่อย ๆ คิดทบทวนถึงคำถามที่ฉันถามนายในวันนี้นะ หากมีอยู่วันหนึ่ง คนอื่นมาถามเข้า นายควรจะตอบกลับอย่างไรดี? ”
เจี่ยหมิงชะงักฝีเท้าลงเล็กน้อย จากนั้นก็เร่งฝีเท้าจากไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักก็หายตัวไปท่ามกลางค่ำคืนที่มืดมิด
ลู่ฝานใบหน้ายิ้มแย้มและพูดกับสิบสามว่า “หวังว่าคำเตือนของฉันนี้ จะสามารถทำให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไปอีกหลายวัน ถ้าเป็นแบบนี้แล้ว ความกดดันของพวกเราก็จะลดลงไปไม่น้อย คืนนี้ ช่างน่าสนุกเสียจริงเลย! ”
สิบสามเองก็ยิ้มแย้ม แล้วก็สะบัดแส้ให้รถม้าขับเคลื่อนไปข้างหน้าต่อไป