เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 6 บทที่ 171 สับสน
เล่มที่ 6 บทที่ 171 สับสน
ครั้งแรกที่ฮ่องเต้เรียกนางเข้าเฝ้า เป็นเพราะอยากรู้ว่าเซียนแพทย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วเมืองหลวงเป็นคนเช่นไร ครั้งนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะเรื่องของไท่จื่อ
หยางซื่อกับทุกคนต่างก็ร้อนใจจนตาแดง หากพระหมื่นปี[1] ท่านนี้เกิดอยากจะหาเรื่องบุตรสาวเพื่อล้างแค้นให้โอรสของตน เช่นนั้นบุตรสาวจะยังกลับมาได้หรือไม่? ปีใหม่เช่นนี้ ซั่งกวนเซ่าเฉินไม่อยู่ในเมืองหลวงไม่ว่า ก็ไม่เหมาะที่จะไปรบกวนให้ผู้อื่นช่วยเหลือ นี่จะทำเช่นใดดี?
“วางใจเถิดท่านแม่ ฝ่าบาทเพียงทรงเรียกเข้าเฝ้าเท่านั้น ไม่มีเรื่องใหญ่ใดหรอกเจ้าค่ะ ข้าไปเดี๋ยวเดียวก็กลับ”
หลิงมู่เอ๋อร์ส่งสายตาให้ทุกคนวางใจ จากนั้นก็มองหลิงจือเซวียน เป็นสัญญาณให้เขาดูแลบิดามารดาให้ดี จากนั้นก็ตามขันทีที่มาประกาศราชโองการไป
ข้าวมื้อหนึ่งกินมาได้ครึ่งทางตัวเอกก็ไม่อยู่เสียแล้ว หัวใจของคนทั้งหมดก็พุ่งขึ้นมาอยู่ที่ลำคอ วิตกกังวลอย่างมาก
“ทุกคนอย่าได้กังวล ข้าจะไปหาพี่ชายเดี๋ยวนี้ เขาจะต้องมีวิธีอย่างแน่นอน” เจาหยางก็มองความร้ายแรงของเหตุการณ์ออกเช่นกัน หลังจากนางกล่าวกับหลิงจือเซวียนสองสามคำแล้ว ก็พาสาวใช้กลับจวนจวิ้นอ๋องไปอย่างเร่งร้อน
วังหลวงได้ส่งเกี้ยวมารับตัวหลิงมู่เอ๋อร์ แต่ตลอดทางเงียบสงัด มิว่าหลิงมู่เอ๋อร์จะถามสิ่งใดกงกงก็ไม่ยอมตอบ เบื่อจนหลิงมู่เอ๋อร์ใกล้จะหลับแล้ว ตนก็มาถึงหน้าประตูพระตำหนักเฉียนชิงเสียแล้ว
“หลิงมู่เอ๋อร์ถวายความเคารพฝ่าบาท ขอถวายพระพรให้ฝ่าบาทเต็มไปด้วยโชควาสนาในปีนี้เพคะ!”
โขกศีรษะคารวะ ในยามช้อนสายตาขึ้นมาจะเห็นได้ว่าฝ่าบาทสีพระพักตร์แดงก่ำ สายพระเนตรเลื่อนลอย เห็นได้ชัดว่างานเลี้ยงเมื่อครู่ทรงดื่มสุราไปไม่น้อย ทั่วทั้งพระวรกายดูจะทรงเมามาย
“ไม่ต้องแล้ว ลุกขึ้นเถิด” น้ำเสียงราบเรียบ ทำให้คนฟังไม่ออกว่ายินดีหรือกริ้วโกรธ
หลิงมู่เอ๋อร์ลุกขึ้น แอบคาดเดาถึงวัตถุประสงค์ที่ฮ่องเต้เรียกนางมา แต่รออยู่นาน ด้านในของพระตำหนักเฉียนชิงอันโอฬารมีแต่ความเงียบสงัด ทำให้คนมิกล้าแม้แต่จะหายใจแรง
“ฝ่าบาท?” หลิงมู่เอ๋อร์ถามอย่างลองเชิง กงกงที่อยู่ด้านข้างเมื่อเห็นเช่นนั้นก็ส่งเสียงตำหนิ ถูกฮ่องเต้ยกพระหัตถ์เป็นสัญญาณห้ามไว้
“อืม เหตุใดเจิ้นจึงลืมไปได้ว่าด้านล่างยังมีคนรออยู่” ก็มิรู้ว่าสับสนจริงๆ หรือแสร้งสับสน ฮ่องเต้ทรงสูดพระปัสสาสะเข้าลึกครั้งหนึ่ง ในยามที่มองหลิงมู่เอ๋อร์อีกครั้ง สายพระเนตรที่เคลิ้มลอยเมื่อครู่ก็แจ่มใสขึ้นไม่น้อย
“สงสัยมากว่าเหตุใดเจิ้นจึงเรียกตัวเจ้าเข้าวังใช่หรือไม่?” ฮ่องเต้ตรัสถาม
หลิงมู่เอ๋อร์พยักหน้าตามความจริง “มิกล้าคาดเดาพระประสงค์ของฝ่าบาท แต่ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการให้เข้าเฝ้า ย่อมต้องมีเหตุผลของฝ่าบาทเพคะ”
“เจ้ากลับรู้จักความเหมาะสม”
ฮ่องเต้ทรงแย้มสรวลบาง มือข้างหนึ่งชันอยู่บนโต๊ะ อีกมือหนึ่งเล่นถ้วยผลึกแก้ว ในยามที่ทอดพระเนตรหลิงมู่เอ๋อร์อีกครั้ง ดวงพระเนตรสีนิลก็เย็นยะเยือกและลึกลับ ทำให้คนรู้สึกยากจะหยั่งถึง
“ว่าอย่างไร วิธีการของเจิ้นทำให้เจ้าพอใจหรือไม่?”
คำถามที่ถามมาอย่างกะทันหัน ถามจนหลิงมู่เอ๋อร์งุนงงไปหมด นางรีบช้อนตาขึ้น “หม่อมฉันโง่เขลา มิเข้าใจความหมายของฝ่าบาทเพคะ”
ฮ่องเต้โค้งพระโอษฐ์เป็นรอยยิ้มหยัน เห็นได้ชัดว่าทรงคิดไม่ถึงว่า หลิงมู่เอ๋อร์จะบังอาจถึงขั้นกล้าแสร้งทำเป็นโง่งมกับเขา
ช่างเถอะ ผู้ใดใช้ให้วันนี้เป็นคืนฉูซี[2] เล่า
“หากมิใช่เพราะเจ้า เจิ้นจะปลดไท่จื่อได้อย่างไร หลิงมู่เอ๋อร์เจิ้นได้ยินว่าในเมืองหลวงมีคุณชายไม่น้อยคอยวนเวียนอยู่รอบตัวเจ้า แม้เจิ้นจะไม่รู้ว่าเจ้าไปนำเสน่ห์มากถึงเพียงนั้นมาจากที่ใด แต่เจิ้นคิดว่า สตรีที่แปลกประหลาดเช่นเจ้าไม่ควรปรากฏตัวอยู่ในเมืองหลวง”
พระดำรัสที่ไม่เร็วไม่ช้า แต่กลับมีสำเนียงที่ประชดประชัน หลิงมู่เอ๋อร์เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็รีบคุกเข่าลงกับพื้นทันที
“หม่อมฉันไม่ทราบว่าได้ล่วงเกินฝ่าบาทในที่ใด ขอฝ่าบาททรงโปรดเมตตาด้วยเพคะ”
“เจิ้นได้ปลดตำแหน่งไท่จื่อให้เจ้าแล้ว เจ้ายังคิดให้เจิ้นเมตตาเช่นใดอีก?” พระสุรเสียงของฮ่องเต้ไม่ดัง แต่เปี่ยมพลังกดดันที่ทำให้ผู้ฟังจิตใจหวาดหวั่น รู้สึกเพียงแผ่นหลังหลั่งเหงื่อเย็นเยียบเต็มไปหมด
นี่ฝ่าบาทจะทรงไล่นางออกจากเมืองหลวงสินะ
ในใจของหลิงมู่เอ๋อร์แม้จะมีโทสะแต่ก็ไม่กล้าบ้าบิ่นต่อหน้าฮ่องเต้ เพื่อทักษะการแพทย์ของตนจะสามารถถูกเผยแพร่ให้กว้างไกลออกไป นางไม่รู้ว่าไปนำความกล้ามาจากที่ใด ช้อนตาขึ้นสบตากับฮ่องเต้
“ฝ่าบาท หม่อมฉันมิกล้าคาดเดาพระประสงค์ แต่หม่อมฉันขอบังอาจทูลถามฝ่าบาท ที่ทรงปลดไท่จื่อเป็นเพราะหม่อมฉันจริงหรือเพคะ?”
คำพูดนี้ถามอย่างกะทันหัน ขันทีที่อยู่ด้านหลังล้วนถูกทำให้ตกใจไปแล้ว
“บังอาจ เจ้ามีฐานะใด เหตุใดจึงกล้ากล่าวกับพระหมื่นปีเช่นนี้?”
ช่างเป็นดั่งสำนวน ฮ่องเต้ไม่ร้อนใจ ขันทีร้อนใจแทนจริงๆ
ฮ่องเต้เมื่อได้ทรงสดับเช่นนั้น ก็ยกพระหัตถ์ขึ้นเป็นสัญญาณให้ขันทีหุบปาก หลิงมู่เอ๋อร์สบตากับพระองค์อย่างกล้าหาญ สายตามิได้หลบเลี่ยงแม้แต่ครึ่งส่วน
เมื่อได้รับสายพระเนตรของฝ่าบาทที่ส่งสัญญาณมา หลิงมู่เอ๋อร์ก็กล่าวต่อไปว่า “ไท่จื่อทรงร่วมมือกับองค์หญิงเหลียนเอ๋อร์ลงมือกับหม่อมฉัน กระทั่งมีเจตนาที่ไม่บริสุทธิ์ หากมิใช่เพราะจวิ้นอ๋องน้อยปรากฏกายได้ทันเวลา หม่อมฉันคงถูกคนทำร้ายไปแล้ว ความบริสุทธิ์ของสตรีมีความสำคัญเพียงใดทุกคนรู้ดี หากมิใช่เพราะหม่อมฉันโชคดี เกรงว่าคงต้องคิดสั้นไปแล้ว เป็นถึงองค์รัชทายาท กลับทำเรื่องต่ำช้าเช่นนี้ออกมา ฝ่าบาททรงปลดตำแหน่งไท่จื่อของเขา นั่นเป็นการลงมือกับญาติเพื่อคุณธรรม หม่อมฉันขอบพระทัยในพระเมตตาของฝ่าบาท แต่หากฝ่าบาททรงมีพระประสงค์จะเรียกร้องความเป็นธรรมให้หม่อมฉันจริง ทรงหาเหตุผลอื่นมาลงโทษก็ได้ หรือกล่าวอีกอย่างก็คือ ฝ่าบาททรงมีพระดำริที่จะปลดตำแหน่งไท่จื่อนานแล้ว ส่วนเรื่องนี้ เพียงแต่มอบโอกาสให้พระองค์พอดีเท่านั้น”
“หืม? เช่นนั้น จวิ้นอ๋องน้อยซูเช่อเล่า เหตุใดเขาจึงสามารถช่วยเจ้าจากอันตรายได้ตั้งแต่ในช่วงเวลาแรก?” ฮ่องเต้ทรงถามอย่างสนพระทัยยิ่ง “เจิ้นจำได้ว่า ครั้งก่อนเจ้าเคยบอกว่า จะไม่หลงละเลิงอยู่ในหมู่ผู้สูงศักดิ์ใดทั้งสิ้น เจ้าจะอธิบายเช่นไร?”
หลิงมู่เอ๋อร์เชิดศีรษะ ยังคงไม่เร่งร้อนไม่ลนลาน “หม่อมฉันได้รู้ผูกมิตรจวิ้นอ๋องน้อยเพราะอาการเจ็บป่วย จวิ้นอ๋องน้อยทรงมีเมตตาและคุณธรรม หลังรู้ว่าหม่อมฉันมาถึงเมืองหลวง ก็คอยคุ้มครองดูแลในทุกเรื่อง บัดนี้พี่ชายคนโตหลิงจือเซวียน ก็ได้สมรสกับเจาหยางจวิ้นจู่น้อยอีก สกุลหลิงกับจวนจวิ้นอ๋องย่อมมีการไปมาหาสู่ที่เพิ่มมากขึ้น แต่หากฝ่าบาททรงไม่เชื่อ ยืนกรานจะทรงกำหนดโทษหม่อมฉัน หม่อมฉันก็มิกล้าขัดขืน และก็มิอาจขัดขืน เพียงแต่…”
นางจงใจอ้อมค้อม ดึงความอยากสงสัยใคร่รู้ของฮ่องเต้ขึ้นมาได้สำเร็จ
“เพียงแต่อะไร? เจิ้นอนุญาตให้เจ้าพูดให้จบ จะไม่ลงโทษอย่างเด็ดขาด”
หลิงมู่เอ๋อร์โค้งริมฝีปากยิ้มบาง “เพียงแต่คู่หมั้นของหม่อมฉันยามนี้อยู่ที่ด่านหน้ากำลังเข่นฆ่าศัตรูให้ฝ่าบาทอย่างกล้าหาญ หากจะทรงกำหนดโทษหม่อมฉันให้ได้ โปรดทรงปิดข่าวให้ดี มิเช่นนั้นซั่งกวนเซ่าเฉินจะเสียสมาธิ ผู้นำทัพสูญเสียสมาธิ ย่อมสั่นคลอนกำลังใจของกองทัพ ฝ่าบาททรงดำริว่าหม่อมฉันกล่าวถูกต้องหรือไม่เพคะ?”
กล่าวจบ แท่นฝนหมึกในพระหัตถ์ของฮ่องเต้ก็กระแทกลงบนโต๊ะอย่างหนัก
“บังอาจ! เจ้าถึงกับกล้าข่มขู่เจิ้นในพระราชตำหนักวังเฉียนชิงเชียวหรือ?”
ในก้นบึ้งของจิตใจหลิงมู่เอ๋อร์สั่นสะท้านด้วยความหนาวเหน็บครั้งหนึ่ง แต่บนใบหน้ากลับไม่ร้อนรน ไม่กระวนกระวาย ราวกับมิหวาดกลัวเช่นนั้น “เมื่อครู่ฝ่าบาททรงตรัสแล้วว่าจะไม่ทรงตำหนิโทษเด็ดขาด หรือฝ่าบาทจะทรงตรัสแล้วคืนคำ ลั่นพระวาจาแล้วมิอาจเชื่อถือได้หรือเพคะ?”
เป็นการถามกลับที่ยอดเยี่ยม ทำเอาขันทีตกใจจนพากันหลั่งเหงื่อเป็นสาย ฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตรหลิงมู่เอ๋อร์อยู่เป็นเวลานาน ดวงพระเนตรที่ลึกล้ำคู่นั้นเผยประกายเย็นเยียบออกมา ในยามที่ทุกคนคิดว่า จะทรงมีราชโองการให้เด็ดหัวหลิงมู่เอ๋อร์นั้น ฝ่าบาทกับทรงพระสรวลแล้ว
“ฮ่าๆๆ ช่างเป็นสตรีสามัญชนที่ขวัญกล้าบังอาจจริงๆ เจ้ารู้หรือไม่ เจ้าเป็นคนแรกที่คุกเข่าอยู่ที่นี่แล้วข่มขู่เจิ้น?”
หลิงมู่เอ๋อร์มิกล้าเปิดปาก เพียงแต่มองพระองค์เปลี่ยนสีพระพักตร์อย่างนิ่งๆ
เห็นได้ชัดว่า ฝ่าบาททรงพอพระทัยในความสงบมั่นคงของนางเป็นอย่างมาก
“เจิ้นรับปากแล้วว่าจะไม่เอาโทษ ย่อมไม่ฝืนกำหนดโทษเจ้า เจ้าพูดถูก เป็นไท่จื่อเขาดื้อรั้นทำสิ่งผิด ย่อมสมควรได้รับการลงโทษ โอรสสวรรค์ทำผิดโทษเท่าสามัญชน ไท่จื่อใช้วิธีการต่ำช้าหยามหมิ่นชื่อเสียงของสตรีผู้บริสุทธิ์ หากเจิ้นไม่ลงโทษเขาอย่างหนัก เขาย่อมไม่มีทางรู้ว่ากฎหมายของประเทศอยู่ที่ใด!”
ฮ่องเต้ทรงพิโรธอย่างหนัก แต่ในชั่วพริบตาก็คืนสู่ความสงบนิ่งอีกครั้ง “หลิงมู่เอ๋อร์ เจิ้นได้ยินว่า วันนั้นก่อนที่ซูเช่อจะช่วยเจ้า คู่หมั้นของเจ้าได้เคยปรากฏขึ้นมาก่อน? หลังจากเขาช่วยเจ้าออกมาแล้ว พาเจ้าไปที่ใดกัน?”
สายพระเนตรของฮ่องเต้หรี่ลงครึ่งหนึ่ง แต่จับจ้องดวงตาของนางอย่างตั้งใจ คิดจะมองหาช่องโหว่ออกมาจากความเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ ของนาง
เขาอ้อมค้อมวกวนถามเรื่องที่อยู่ ขอเพียงหลิงมู่เอ๋อร์กล่าวแล้ว เขาก็จะส่งองครักษ์ลับไปตรวจสอบทันที
หลิงมู่เอ๋อร์เกือบจะหลุดปากพูดถึงจวนพักตากอากาศของซูเช่อออกไปแล้ว แต่เมื่อใคร่ครวญดู วันนี้ซูเช่อได้นำไท่จื่อเข้าวังมาเข้าเฝ้าต่อหน้าพระพักตร์ก่อน ยามนั้นนางหมดสติอยู่ ไม่มีทางไปที่จวนของซูเช่อเพียงลำพังได้ ไม่เพียงจะทำร้ายซั่งกวนเซ่าเฉิน ยังจะทำให้ซูเช่อเดือดร้อนไปด้วย
“หลังจากจวิ้นอ๋องน้อยทรงช่วยหม่อมฉันออกมาแล้ว ก็พาหม่อมฉันกลับมาส่งที่จวนสกุลหลิง ระหว่างนั้นมิได้พบซั่งกวนเซ่าเฉินเพคะ”
นางเบิกตาโตไม่เกรงที่จะสบตากับฮ่องเต้ เนื่องจากที่นางพูดล้วนเป็นความจริง นางมิได้พบพี่ใหญ่จริงๆ คนผู้นั้นมาอย่างเร่งร้อนและยังหายตัวไปอย่างกะทันหัน นางกลับอยากพบ แต่น่าเสียดายที่เจ้าคนผู้นั้นมิได้มอบโอกาสนี้ให้นาง
ฮ่องเต้ทรงพบคนมานับไม่ถ้วน แววตาของคนผู้หนึ่ง การกะพริบตาของคนผู้หนึ่งล้วนสามารถทำให้เขาล่วงรู้ถึงจิตใจ แต่แววตาของหลิงมู่เอ๋อร์ใสบริสุทธิ์ ทำให้คนมองข้อผิดพลาดไม่ออกแม้แต่น้อย หรือว่าเป็นไท่จื่อกำลังโป้ปดจริงๆ?
“เจ้ารู้หรือไม่ว่า ทูลความเท็จต่อกษัตริย์ล่วงเกินเบื้องสูงมีโทษถึงประหารด้วยการตัดหัว เจิ้นให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง เจ้าคิดให้ดี ที่แท้ได้พบซั่งกวนเซ่าเฉินหรือไม่!”
ฮ่องเต้ทรงไล่ถามต่อ ครั้งนี้ สายพระเนตรที่หนาวเหน็บของพระองค์มิได้จับจ้องหลิงมู่เอ๋อร์อีก
แต่คำตอบของนางกลับแน่วแน่ยิ่งกว่าเมื่อครู่เสียอีก “ทูลฝ่าบาท ไม่มีเพคะ”
เพล้ง
ถ้วยแก้วผลึกที่ถืออยู่ในมืออย่างมิได้ใส่ใจหล่นลงพื้นโดยไม่ทันระวัง กระแทกจนแตกละเอียดเป็นผง ฮ่องเต้แสร้งทำเป็นตกพระทัยอย่างมาก “แย่แล้ว นี่เป็นถ้วยแก้วผลึกที่เจิ้นชอบมากที่สุด เหตุใดจึงแหลกละเอียดจนหมดสิ้นเช่นนี้ เฮ้อ อย่างที่คิด ไม่ยอมอยู่ในมือของเจิ้นอย่างเชื่อฟังดีๆ นี่ก็คือผลลัพธ์”
หลิงมู่เอ๋อร์รู้ว่า คำพูดนี้ตรัสกับนาง แต่นางยังคงสงบมั่นคงเช่นเดิม ไม่นอบน้อมไม่ต่อต้าน
“ฝ่าบาท วันนี้เป็นวันส่งท้ายปี นี่เป็นครั้งแรกที่หม่อมฉันฉลองปีใหม่กับครอบครัวในเมืองหลวง คนที่บ้านยังรอหม่อมฉันกลับไป หากฝ่าบาททรงมิมีเรื่องอื่น ทรงอนุญาตให้หม่อมฉันกลับบ้านได้หรือไม่เพคะ”
เขากำลังข่มขู่นางอยู่นะ? สตรีที่บังอาจผู้นี้กล้าเมินเฉยต่อคำข่มขู่ของเขาราวกับมองไม่เห็น แถมยังคิดจะกลับบ้านอีก?
ที่นี่คือวังหลวงนะ และเขาก็เป็นถึงฮ่องเต้เชียวนะ หรือสตรีนางนี้ หลังคบกับซั่งกวนเซ่าเฉินแล้ว แม้แต่นิสัยก็เหมือนเขาไม่มีผิดเพี้ยนจริงๆ
“วันนี้เจิ้นดื่มมากไปแล้วจริงๆ จึงได้เรียกตัวเจ้าเข้าวังมา ช่างเถอะ เจิ้นจะให้คนส่งเจ้าออกจากวัง”
พระหัตถ์ใหญ่โบกครั้งหนึ่ง ฮ่องเต้ทรงลุกขึ้นช้าๆ อย่างมึนงง ดื่มมากไปแล้วจริงๆ ร่างของเขาไม่มั่นคง เกือบจะหกล้ม ขันทีรีบประคองร่างของพระองค์แล้วร้องเสียงดังด้วยความตกใจ “พระหมื่นปี ทรงไม่เป็นไรกระมัง?”
“เจิ้นสบายดีมาก” ยืนกรานมิให้ขันทีประคอง ฮ่องเต้สะบัดตัวอยู่ครู่หนึ่ง ก้มศีรษะลงมองหลิงมู่เอ๋อร์จากที่ไกล “เจ้ายังเหม่ออะไรอยู่อีก เจิ้นอนุญาตให้เจ้าออกจากวัง เจ้ายังไม่รีบไป รอเจิ้นเปลี่ยนใจหรือ?”
ผู้ใดจะกล้าอยู่ต่ออีกแม้นาทีเดียว หลิงมู่เอ๋อร์รีบลุกขึ้นจากไป
“ช้าก่อน…”
ฮ่องเต้ผู้ลึกลับพลันทรงค่อยๆ เอ่ยพระโอษฐ์อย่างกะทันหัน ร่างของหลิงมู่เอ๋อร์ชะงัก หากเป็นไปได้แล้วละก็ นางอยากจะผ่าสมองของฮ่องเต้ออกดูจริงๆ ว่าที่แท้ด้านในใส่อะไรอยู่กันแน่ สรุปจะให้ไปหรือไม่ให้ไป ก็มอบความรวบรัดให้หน่อยมิได้หรือ?
เป็นอย่างที่คิด นางไม่เหมาะกับวังหลังที่วุ่นวายนี่จริงๆ
“ก่อนจากไป เจิ้นยังมีคำพูดหนึ่งจะมอบให้เจ้า” ฮ่องเต้ด้านหนึ่งตรัส อีกด้านค่อยๆ เสด็จลงบันได “จำไว้ให้ดี สตรีที่ขวัญกล้า มิใช่ว่าจะสามารถดึงดูดความสนใจของผู้อื่นได้ทุกครั้ง เจ้าถือว่าโชคดีกว่า ทว่าครั้งหน้าก็ไม่แน่แล้ว”
รอจนหลิงมู่เอ๋อร์หันกายกลับไปอย่างสงสัย ฮ่องเต้ก็ทรงหายพระองค์ไปจากพระตำหนักเฉียนชิงแล้ว ด้านหลังมีขันทีเปิดประตูพระตำหนัก “แม่นางหลิง จ๋าเจียจะส่งท่านออกจากวัง เชิญเถอะ”
เชิงอรรถ
[1] พระหมื่นปี หมายถึง ฮ่องเต้
[2] คืนฉูซี คือ คืนส่งท้ายปี